ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 217 ตัวเอง…เมื่อแปดสิบปีก่อน!
ตอนที่ 217 ตัวเอง…เมื่อแปดสิบปีก่อน!
ทันใดนั้นตู้นิรภัยที่ทั้งแข็งแกร่งและใหญ่โตก็แตกเป็นรูอย่างกะทันหัน
อุณหภูมิโดยรอบก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
มือที่ผอมแห้งติดกระดูกนั้นอยู่ห่างจากชายชราในชุดกาวน์สีขาวที่กอดตู้นิรภัยเอาไว้ไม่ถึงสองเดซิเมตรเท่านั้น
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองดูมือโครงกระดูกนั้น สีหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย ราวกับว่าไม่มีความฮึกเหิมที่ขับเคลื่อนการกล่าวสุนทรพจน์ก่อนหน้านี้อีกต่อไป ร่างกายท่อนล่างของเขากำลังสั่นเทา ถ้าตัวเขาไม่ได้ล้มโผเข้าหาตู้นิรภัยคงจะทรงตัวแทบไม่อยู่ บางทีเขาอาจจะล้มลงกับพื้นแล้วก็ได้ในตอนนี้
เพราะเขาอยู่ใกล้มือนี้ที่สุด ดังนั้นความรู้สึกของเขาจึงสัมผัสได้ลึกซึ้งที่สุด โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตู้นิรภัยที่ก่อนหน้านี้ยังแข็งแกร่งมากพอที่จะทนต่อการกระแทกได้หลายครั้ง ดูเหมือนว่าในชั่วพริบตาได้กลายเป็นเป็นขนมปังกรอบที่กองทัพใช้กิน ทำเอางุนงงไปทั้งอย่างนั้น
ผู้คนที่ยังคงร้องเพลงมาร์ชทหารอยู่ในที่นี้ก่อนหน้านี้ต่างก็พากันเงียบพร้อมกัน พวกเขาทำอะไรไม่ถูกและหวาดกลัวเล็กน้อย
นี่เป็นศูนย์วิจัยของพวกเขา ในวันปกติทั่วไปแล้ว พวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายสร้างความหวาดกลัว ตอนนี้ดันสับเปลี่ยนสถานะ ทำให้พวกเขายากที่จะยอมรับได้
อ้อ ไม่สิ
ไม่ใช่ยอมรับไม่ได้ แต่เป็นการยากที่จะคุ้นเคย
‘กุกกัก…กุกกัก…กุกกัก…’
ในเวลานี้สลักขนาดใหญ่ของตู้แช่แข็งค่อยๆ แตกร้าวออกมาอย่างช้าๆ
ตามด้วยประตูตู้แช่แข็งถูกผลักเปิดออกอย่างเชื่องช้า
ร่างของชายชราก็ร่วงลงบนพื้นเช่นกัน เขาอยากจะรักษาการยืนทรงตัวเอาไว้ แต่ก็ไร้เรี่ยวแรงทรุดตัวลงบนพื้นและเงยหน้าขึ้นมองไปทางตู้แช่แข็ง
ในตู้แช่แข็งมีศพอยู่หนึ่งศพ ศพมีสภาพเสียหายรุนแรงมาก
ศีรษะครึ่งหนึ่งของศพได้หายไป ราวกับมันถูกตัดขาดในฉับเดียว และบาดแผลยังคงราบเรียบเป็นพิเศษ กระทั่งยังมีเงาวาววับแปลกๆ
ภายใต้ใบหน้าครึ่งหนึ่ง มีดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวปิดแน่น และไม่มีเค้าส่อให้เห็นว่าจะลืมตาขึ้นเลยแม้แต่น้อย รอยแตกพาดเป็นแนวยาวตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงท่อนล่างของร่างกาย เหมือนกับว่าขุดสร้างคูน้ำไว้บนร่างกาย
มีรอยแหว่งขนาดใหญ่ที่หน้าอกด้านซ้าย สามารถมองทะลุจากด้านนอกไปยังฝั่งตรงข้าม และมองเห็นซี่โครงด้านในได้อย่างชัดเจน
มือเท้าทั้งสี่ของศพบางส่วนมีเนื้อหนังปกคลุมอยู่ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นกระดูกเปลือยเปล่า เผยให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่ง
สิ่งที่ศพนี้ทำให้คนเกิดความรู้สึกที่ลึกล้ำที่สุดก็คือโครงกระดูกของเขา ราวกับหินหยกที่มีความโปร่งใสเต็มไปด้วยพลังอย่างหนึ่ง กระทั่งยังสามารถทำให้เกิดความรู้สึกที่น่าพึงพอใจแก่ผู้คนอีกด้วย
คนสวมชุดกาวน์สีขาวทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์เป็น ‘นักวิจัย’ ที่ทำการการทดลองกับสิ่งมีชีวิต พวกเขาได้ทำการทดลองที่โหดร้ายทารุณด้วยตนเองมานับไม่ถ้วน เป็นธรรมดาที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องขีดจำกัดของชีวิตมนุษย์เกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจถึง!
นี่เป็นคนที่ตายจนไม่อาจจะตายได้อีก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่ และไม่มีเหตุผลที่เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ว่ามีเพียงเขาคนเดียวในตู้นิรภัย ดังนั้นนอกจากเขาแล้วสิ่งที่กระแทกตู้นิรภัยก่อนหน้านี้จะเป็นใครไปได้
นอกเหนือจากนี้ ก็ยังเป็นมือของเขาที่เจาะทะลุตู้นิรภัยที่ทั้งหนาและกว้างนี้
ในขณะที่ฝูงชนกำลังร้องเพลง
ในขณะที่ฝูงชนกำลังตื่นเต้นที่สุด
เขาก็สาดน้ำเย็นใส่ทุกคน และเติมตัวหยุดลงในท่วงทำนองดนตรีเพลงนี้ทันที
ศพยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น รักษาท่ายกแขนขึ้นเพียงครึ่งหนึ่งไว้อย่างนั้น
นับตั้งแต่ที่ประตูนิรภัยค่อยๆ เปิดออกมาก็ไม่ขยับอีกเลย
เขานิ่งเงียบจนเหมือนกับผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความงดงาม จนกระทั่งสร้างความงดงามประหนึ่งเทพวีนัสแขนหักก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นฉากนี้ ชายชราที่ยังคงนั่งขวัญหนีดีฝ่ออยู่บนพื้นเมื่อสักครู่ก็ยกแขนของตัวเองชูขึ้นอีกครั้ง และตะโกนอะไรบางอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่น เขายังคงตื่นเต้น ยังคงลิงโลด และยังคงมองโลกในแง่ดีเช่นเดิม
บางที ในทุกๆ ทีมล้วนต้องมีคนลักษณะแบบเขาอยู่ ถึงจะสามารถคงสภาพจิตใจของทีมต่อไปได้ละมั้ง
แต่คราวนี้ ก่อนที่เขาจะทันได้แพร่ความรู้สึกแบบนี้ให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เดิมทีมือโครงกระดูกที่ไม่ขยับเขยื้อนก็หล่นลงมาอย่างเชื่องช้า ราวกับคิดว่าเขาส่งเสียงดังจนเกินไป ร่วงลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ ต้องการจะขัดจังหวะการพูดมากของเขา ทั้งยังเหมือนผู้อาวุโสที่เป็นห่วงเป็นใยคุณ อยากจะลูบหัวของคุณ
นี่เป็นสัมผัสแห่งความรัก
ชายชราไม่กลัว เพราะการเคลื่อนไหวของศพนั้นเชื่องช้ามาก กระทั่งสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เรียกว่าความอ่อนโยน
ชายชรายิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เขายิ่งเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่เป็นปาฏิหาริย์ที่เทพีแห่งแสงอาทิตย์มอบให้จักรวรรดิญี่ปุ่นอันยิ่งใหญ่ เป็นโอกาสสำหรับจักรวรรดิที่จะผงาดขึ้นครองมหาอำนาจ และเขาก็เป็นพยานและผู้ค้นพบ
ชื่อของเขา จะถูกกำหนดให้จารึกไว้บนตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของศาลเจ้าสันติรัฐ[1]ในวันหน้า!
การทำงานวิจัยประเภทนี้ในสถานที่นี้ บางคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิตใจและตัวตนของพวกเขาได้บิดเบี้ยวไปนานแล้ว
เช่นเดียวกับชายชราในเวลานี้ หลังจากผ่านความไม่กลัวในตอนแรกมาได้ ในใจของเขาก็ถูกความปีติยินดีเข้ามาแทนที่
นักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวในบริเวณใกล้เคียงเหล่านี้ไม่มีคนส่งเสียงกรีดร้อง พวกเขามีความหวาดกลัว พวกเขามีความกลัว แต่ไม่มีใครเลือกที่จะออกไป กลับกันต่างก็ยืนอยู่ที่เดิม ราวกับว่ากำลังรอคอยสถานการณ์ก้าวต่อไป
ก้นบึ้งในหัวใจของทุกคนล้วนมีความปีติยินดีเล็กน้อย และมีความคาดหวังอยู่นิดหน่อย มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าหากพระเจ้าต้องการเลือกที่จะเข้าข้างคนคนเดียวหรือคนกลุ่มหนึ่งแล้วละก็
เป็นไปได้มากว่าต้องเป็นตัวเองแล้วละ
จากนั้น สถานการณ์ก็มีความคืบหน้าขึ้น มือโครงกระดูกร่วงลงบนกลางศีรษะของชายชราเบาๆ
จากนั้น ใบหน้าของชายชราที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความสุขและความปีติ ในชั่วพริบตาก็คล้ายกับรูปปั้นน้ำแข็งที่ถูกราดด้วยน้ำร้อน เริ่มละลายไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขา เบ้าตาลึกของเขา จมูกที่ค่อนข้างแบนของเขา ศีรษะของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างบนหัวของเขาทั้งหมดต่างเน่าเปื่อยลงไปในชั่วพริบตา เกือบจะในพริบตาเดียวเท่านั้น หัวของชายชรากลายเป็นหัวกะโหลกศีรษะ
แต่ในเวลานี้
ชายชราที่ตระหนักถึงความรู้สึกนี้โดยตรงเพิ่งทำท่าจะกรีดร้องอย่างเจ็บปวดออกมา ปากของกะโหลกศีรษะเปิดกว้าง แต่เขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้อีกต่อไปแล้ว ราวกับว่าเขากำลังตะโกนแบบไร้ซุ่มเสียง!
เคยมีทหารญี่ปุ่นนายหนึ่งได้เขียนไว้ในบันทึกหลังจากที่ใช้ดาบซามูไรตัดศีรษะชาวจีนอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ ศีรษะของอีกฝ่ายที่ร่วงลงกับพื้นยังสามารถกะพริบตาได้
แต่ในครั้งนี้ ฉากนี้กลับมาในรูปแบบสุดขั้วและตรงไปตรงมามากขึ้น มันเป็นการเริ่มต้นใหม่ของการทดลองนี้!
หลังจากการตะโกนอย่างไร้ซุ่มเสียง ศพของชายชราก็ล้มลงตึงไปด้านข้างอย่างสลดใจ
พวกนักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวที่รวมตัวกันอยู่ภายในและภายนอกห้องทดลองถึงได้เริ่มชุลมุนขึ้นมา และเริ่มลนลานวิ่งหนีออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเผชิญกับฉากที่น่าทึ่งนี้ สภาพจิตใจของพวกเขาก็แตกกระเจิดกระเจิงทันที!
ภายใต้ผลกระทบกระเทือนทางจิตใจที่ไม่คาดคิดนี้ ความเคารพต่อจักรวรรดิและความจงรักภักดีต่อจักรวรรดินั้น เหมือนกับเศษกระดาษที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที!
ปีศาจ
ปีศาจตัวจริง
ปรากฏขึ้นแล้ว!
…
ในภาชนะที่ปิดอย่างมิดชิดนั้น มีศพที่น่าสยดสยองของแม่และลูกสาวที่ยังไม่ทันได้จัดการ พวกเธอนอนอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ
โจวเจ๋อไม่แน่ใจว่าดวงวิญญาณของพวกเธอจะยังอยู่หรือไม่ จะยังหยุดอยู่เพื่อดูทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่นี่หรือไม่
เพราะว่าในตอนนี้ มุมมองของโจวเจ๋อเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
แขนที่ขาดครึ่งๆ กลางๆ ดูว่างเปล่าและไม่ประสานกัน แต่โจวเจ๋อยังคงเดินไปทางนักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวทั้งสี่คนอย่างแน่วแน่
ในสายตาของนักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวทั้งสี่คน โจวเจ๋อเป็นหมาป่าหิวโซ หมาป่าหิวโหยที่บ้าคลั่ง
เดิมทีพวกเขาไม่มีความกลัวใดๆ ต่อมารุตะเลย แต่โจวเจ๋อนั้นแตกต่าง การทำร้ายตัวเองแบบนั้นก็เด็ดเดี่ยวน่าทึ่งมากพอแล้ว นอกจากนี้คนอื่นไม่รู้ แต่พวกเขารู้ว่า เสียงดังกระแทกที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งศูนย์วิจัยก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้วมัน กำลังตอบสนองต่อความถี่ในการกระตุกโซ่ตรวนของชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
ปีศาจ ถูกปล่อยออกจากกรงและได้บังเกิดมายังโลกแล้ว แต่ที่น่าขันคือ สิ่งแรกที่ปีศาจทำหลังจากที่มันมากลับเป็นการมาชำระบาปที่นี่ เพราะเขาพบว่าที่นี่เหมือนนรกมากกว่านรกที่เขาควรจะอยู่เสียอีก
เสียงไซเรนดังขึ้นในเวลานี้ ทหารพร้อมกระสุนจริงเริ่มเข้ามาจากทางเข้าหลายๆ ทางของศูนย์วิจัยอย่างต่อเนื่อง การมีอยู่ของพวกเขามีไว้เพื่อระงับเหตุจลาจลที่อาจจะเกิดขึ้นในศูนย์วิจัย
น่าเสียดาย พวกเขาที่รับคำสั่งมานั้นกลับไม่ได้รับแจ้งในเวลาเดียวกันว่าสิ่งที่พวกเขาต้องปราบปรามในครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่ามารุตะที่ไม่เชื่อฟัง แต่เป็นปีศาจที่เพิ่งหลุดพ้นจากพันธนาการ
เป็นปีศาจที่แท้จริงตนหนึ่ง!
ทหารหลายนายเมื่อเข้าไปในห้องทดลองแห่งนี้ พวกเขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่าทำไมมารุตะที่แขนหักสามารถทำให้นักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวทั้งสี่กลัวจนถอยหลังไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่พวกเขายังคงยกปืนขึ้นอย่างเชี่ยวชาญ และเล็งปากกระบอกปืนไปที่โจวเจ๋อ
โจวเจ๋อหยุดฝีเท้าที่เดินไปข้างหน้า หันข้างและหันหน้าไปอีกครั้ง มองปากกระบอกปืนสีดำที่จ่อมาที่เขา
นักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวทั้งสี่คนแทบจะตะโกนขึ้นพร้อมกัน คล้ายกับร้อนรนสั่งให้ทหารเหล่านี้ยิง ประหารชีวิตผู้ชายคนนี้ที่ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเหน็บในก้นบึ้งหัวใจ!
พูดตามตรง ไม่ว่าในชาติที่แล้วหรือว่าในชาตินี้ ดูเหมือนว่าโจวเจ๋อยังไม่เคยเผชิญหน้ากับปากกระบอกปืนมาก่อน โดยเฉพาะฉากยิ่งใหญ่ที่มีกระบอกปืนเรียงเป็นแถวอย่างนี้
ชัดเจนว่าตัวตนของเขาในตอนนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้เขาเพิ่งใช้การทำร้ายตัวเองเพื่อให้หลุดออกจากโซ่ตรวนเส้นบางๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้โจวเจ๋อกลับไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิดจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตื่นตระหนกเท่านั้น กลับยังคิดว่ามันตลกเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
ความรู้สึกแบบนี้มันประหลาดมาก คล้ายกับผู้ใหญ่คนหนึ่งมองเด็กน้อยที่อายุไม่ถึงห้าขวบกลุ่มหนึ่งถือปืนฉีดน้ำจ่อเขาและกำลังขู่เขา
กระทั่งโจวเจ๋อรู้สึกว่าพวกเขามีความน่ารักเล็กน้อย
โจวเจ๋อไม่แน่ใจว่าความคิดแบบนี้ของตัวเองมาจากไหน และไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้จองหองพองขนได้อย่างรวดเร็วและไร้เหตุผลมากขนาดนี้
แต่ในขณะที่ทหารเหล่านี้กำลังจะเหนี่ยวไก มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังพวกเขา
จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวเหมือนผีโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้าแม้แต่น้อย
“อ๊ากกกก!!!!!!”
“อ๊ากกก!!!!!”
ในชั่วพริบตา หลังจากที่ทหารติดอาวุธทั้งห้านายส่งเสียงกรีดร้องแล้วกลายเป็นศพแห้งๆ ล้มลงกับพื้น ชุดเครื่องแบบทหารของพวกเขาที่อยู่บนพื้นดูตัวใหญ่และหลวมอย่างเห็นได้ชัด
นักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวทั้งสี่คนตกใจจนบางคนทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง บางคนเอนตัวพิงผนังตัวสั่นเทา บางคนนั่งยองๆ กอดหัวก้มลงแล้วร้องไห้ ปากก็ตะโกนร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่หยุด
“ปีศาจ! ปีศาจ!!!!”
นาทีนี้ พวกเขาตระหนักได้ถึงมุมมองและความรู้สึกของตัวอย่างทดลองเหล่านั้นที่มองพวกเขาในห้องทดลองที่พวกเขาปฏิบัติการ
โจวเจ๋อมองชายที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคนนี้ ร่างกายของเขาพังเละจนไม่อาจจะเละไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ศีรษะของเขามีใบหน้าเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว รวมถึงตรงหน้าอกก็ทะลุเป็นโพรง
ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่แต่เดิมของอีกฝ่าย ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาในเวลานี้ ลึกเข้าไปในเบ้าตา มีช่องโพรงที่ทำให้คนรู้สึกถึงความหนาวเหน็บในก้นบึ้งหัวใจ
แต่มีความรู้สึกจริงๆ อย่างหนึ่งท่ามกลางความมืดมิด นั่นก็คือเขากำลังมองโจวเจ๋ออยู่เช่นกัน
สนิทสนม สนิทแบบแปลกๆ
นั่นคือสายเลือดเดียวกัน ไม่สิ มันเป็นความรู้สึกร่วมที่อยู่เหนือสายสัมพันธ์ทางสายเลือด!
ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวมากเกินไปหรือแม้กระทั่งลังเลนานเกินไป ถึงอย่างไรความรู้สึกแบบนั้น มันก็ชัดเจนจนเกินไป และไม่ผิดพลาดแน่นอน!
โจวเจ๋อเม้มริมฝีปาก และเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
“คุณ…ก็คือผมงั้นเหรอ”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งๆ ต่อไป ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ทำให้เขาสนใจได้แม้แต่น้อย ยกเว้นโจวเจ๋อ…ที่อยู่ตรงหน้า
โจวเจ๋อเผยอปากยิ้มออกมา
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ในตู้นิรภัยในห้องทดลองแห่งนั้นมันคืออะไรกันแน่
จริงๆ แล้ว…มันก็คือตัวเขาเอง!
ชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้ในการทดลองบ้าๆ กลุ่มนั้น ไม่รู้ว่าไปได้ศพของเขาในสมัยก่อนมาจากช่องทางไหนและไม่รู้ว่าได้มาจากที่ไหน มันถูกนำมาเก็บไว้เป็นตัวอย่างและส่งมาที่นี่เพื่อทำการวิจัยและวิเคราะห์
แม้กระทั่ง เลือดที่นักวิจัยหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวดูดออกมาจากตู้นิรภัยในห้องทดลองก่อนหน้านี้ ที่จริงแล้วมันมาจากร่างนี้ของเขานั่นเอง!
ชาวญี่ปุ่นต้องการใช้ร่างกายของเขาเป็นต้นแบบ พวกเขาต้องการ…สร้างเทพเจ้า!
มิน่าล่ะ ทำไมเขาถึงออกจากความฝันนี้ไปไม่ได้ และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงถูกลากเข้าไปอีกครั้งแม้ว่าจะตื่นจากฝันไปแล้วก็ตาม ไม่แปลกใจเลยที่ความฝันจะสมจริงได้ถึงขนาดนี้!
สาเหตุทุกสิ่ง เหตุผลทุกอย่าง ในที่สุดในเวลานี้ก็มีคำตอบที่ชัดเจนแล้ว!
เพราะในศูนย์วิจัยแห่งนี้ในปีนั้นมีตัวเขาอยู่ด้วย!
เมื่อลูกยังเป็นเด็กเล็ก ไม่ว่าผู้ปกครองหรือว่าครูบาอาจารย์ล้วนสอนให้รู้ว่าจะสนทนาสื่อสารพูดคุยกับคนอื่นอย่างไร แต่น่าจะไม่มีใครสอนคุณว่าควรจะพูดคุยกับตัวเองอย่างไร และอย่าเหมารวมว่า ‘การถามใจตัวเอง’ เป็นการบรรยายถึงการสื่อสารกับใจตัวเองที่เกินจริงของวรรณกรรม แต่ความหมายที่แท้จริงนั้นก็คือ เมื่อคุณเผชิญหน้ากับตัวเองอีกคน ควรจะสื่อสารอย่างไรกันแน่ต่างหาก
ตอนนี้โจวเจ๋อรู้สึกมึนงงเล็กน้อยเช่นกัน ความงุนงงทำให้พูดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี
แต่ชั่วขณะนั้น จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญมากขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือหากความฝันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากความฝันคือความจริงที่พิสูจน์แล้ว หากความฝันเป็นเพียงการบันทึกเรื่องราวอย่างหนึ่ง เป็นการแสดงที่ทำให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต!
ถ้าอย่างนั้น นี่ก็หมายความว่าในเวลานี้เมื่อราวๆ แปดสิบปีก่อนร่างกายของเขาฟื้นขึ้นมาจริงๆ หรือ
ฟื้นขึ้นมาในศูนย์วิจัยแห่งนี้น่ะหรือ
โจวเจ๋อหันหน้าไปมองแม่และลูกสาวที่อยู่ในภาชนะสุญญากาศที่ปิดสนิทนั่น พวกเธอเพิ่งจะตายได้ไม่นาน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งสองสบตากันและถูกทรมานจนตายอย่างช้าๆ
เสียงของโจวเจ๋อสั่นเครือเล็กน้อย และเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ฆ่าพวกเขา…ทั้งหมด”
ร่างที่พังเละหันกลับมา ราวกับได้ยินคำสั่งการ หรือไม่เขาก็แค่ทำตามหัวใจของเขา
ที่นี่ไม่มีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาถึงผู้ใต้บังคับบัญชา มีเพียงตัวเอง…ที่ช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น ตัวเองอ้อนวอนตัวเอง ตัวเองขอร้องตัวเอง ตัวเองอยากทำสิ่งนี้ จากนั้น ‘ตัวเอง’ ก็แค่ไปทำสิ่งนี้
โจวเจ๋อก้มหน้าลง เขาจำฉากที่ทหารทั้งห้านายเสียชีวิตก่อนหน้านี้ได้ เขารู้สึกว่าวิธีการตายแบบนี้มันรวดเร็วฉับไวเกินไป และดูถูกพวกเขาจนเกินไป
สุดท้าย เมื่อร่างพังเละนั้นย่างสามขุมไปทางนักวิจัยในชุดกาวน์สีขาวทั้งสี่ที่อยู่ตรงมุมห้อง โจวเจ๋อเพิ่มอีกสองสามคำเข้าไป กระตุ้นให้การกระทำในครั้งนี้มีจังหวะที่เหมาะสม นั่นก็คือ
“ทรมาน…ให้ตาย…”
…………………………………………………….
[1]ศาลเจ้าสันติรัฐ หรือศาลเจ้ายาสุคุนิ เป็นศาลเจ้าที่เป็นศูนย์กลางความขัดแย้งและความบาดหมางระหว่างประเทศที่รุนแรงที่สุดของญี่ปุ่น