ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 134 ร่วงหล่น!
ตอนที่ 134 ร่วงหล่น!
“เถ้าแก่ ไม่เป็นไรใช่ไหม”
นักพรตเฒ่านั่งอยู่ด้านหลัง เอ่ยพลางชี้ไปยังชายชราที่นอนอยู่บนตักอย่างสั่นเทา
ชายชรายังอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สามารถลืมตาได้บ้างแล้ว ทว่าลืมตาเพียงครู่หนึ่งก็หลับตาลงและพูดขาดๆหายๆ เป็นช่วงๆ
เขาฟื้นแล้ว ฟื้นจริงๆ แล้ว แต่การฟื้นคืนสติในครั้งนี้ อันที่จริงหากพูดกันตามความหมายอย่างเคร่งครัด น่าจะนับว่าเป็นการกลับมาดูสดใสขึ้นก่อนที่จะเสียชีวิต หรือที่เรียกว่าแสงสายัณห์ยามตะวันรอนนั่นเอง
เขาฟื้นแล้ว และก็ใกล้จะจากไปแล้ว
เขายังมีชีวิตอยู่และประคองลมหายใจมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อคิดว่าอาจเป็นเพราะความเด็ดเดี่ยวและความดื้อรั้นของเขา หรือไม่ก็การรักษาทางการแพทย์นั้นค่อนข้างดีบวกกับสวรรค์เมตตา แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว บางทีเขาอาจมีเรื่องที่ทำใจปล่อยวางไม่ได้ และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาไม่ยินยอมที่จะจากไปอย่างสงบ
สวี่ชิงหล่างกำลังขับรถอยู่ เขาขับเร็วมากขณะเดียวกันก็นิ่งมากเช่นกัน จำเป็นจะต้องขับให้นิ่ง เพราะบางทีการเบรกกะทันหันหรือการตีโค้งวงใหญ่อาจทำให้ชายชราที่อยู่ข้างหลังสูดหายใจเฮือกแล้วจากไปดื้อๆ
การลักพาตัวผู้ป่วยคนหนึ่งจากสถานพักฟื้นผู้ป่วย อีกทั้งยังเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในอาการโคม่ามาเป็นเวลานาน นี่เป็นเรื่องที่บ้าบอมาก แต่ถึงอย่างนั้นโจวเจ๋อก็จะไม่เสียใจภายหลัง และไม่มีภาระทางจิตใจเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าชายชราจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ท่าทีของเขาได้แสดงออกมาหมดแล้ว
หมู่บ้านซานเซียงอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเขาเสมอมา ไม่เคยถูกลบเลือนไปเลย
อันที่จริงมนุษย์เป็นสัตว์ที่ขี้หลงขี้ลืม ทุกคนมักจะปิดบังสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการเห็น และลบความทรงจำที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว
หลายคนไม่ตื่นตระหนกและไม่แยแสต่อการทยอยล้มหายตายจากของคนชราที่เคยเป็นนางบำเรอในสมัยนั้น หารู้ไม่ว่าการจากไปคนแล้วคนเล่าของพวกเธอ เท่ากับว่าประวัติศาสตร์ของช่วงเวลานั้นค่อยๆ ห่อหุ้มพวกเราไว้
หากแต่บางเรื่องราวก็ลืมไม่ได้จริงๆ
เมื่อมาถึงถนนในตำบลซิ่งเหริน สวี่ชิงหล่างก็ลงจากรถ จากนั้นก็ช่วยนักพรตเฒ่าอุ้มชายชราออกไปด้วยกัน
“พี่ชาย คุณอดกลั้นอีกอึดใจเดียวนะ ใกล้ถึงแล้ว ใกล้จะถึงแล้ว”
นักพรตเฒ่าให้กำลังใจพี่ชายวัยเก้าสิบเก้าปี
สวี่ชิงหล่างรู้สึกถึงมือของชายชราที่ออกแรงเล็กน้อยบนไหล่ของตัวเอง
ดวงตาที่ลืมได้เพียงครึ่งเดียวของชายชรามองไปที่โจวเจ๋อ ดวงตาของเขาขุ่นมัวมาก ราวกับถูกผ้าพันแผลคลุมหนึ่งชั้น ร่างกายของเขาอ่อนระโหยโรยแรงสุดจะทนแล้ว เขากำลังจะได้พักผ่อนแล้ว และเขาก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน
“พวกชาวบ้านอยู่ที่นี่กันหมด” โจวเจ๋อพูดอย่างจริงจัง “ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังรออะไร แต่ในเมื่อคุณฟื้นขึ้นมาเพราะคุณได้ยินผมพูดคำว่า ‘หมู่บ้านซานเซียง’ แสดงว่าผมไม่ได้ตามหาผิดคน และคุณก็เป็นห่วงเป็นใยพวกเขาด้วย”
พูดแล้ว โจวเจ๋อก็ยื่นมือออกไปจัดแจงเส้นผมที่เดิมทีเหลืออยู่น้อยนิดของชายชรา จากนั้นช่วยติดกระดุมเสื้อผ้าผู้ป่วยให้ชายชรา
ชายชราได้กลับคืนสู่แสงสว่างแล้ว
จะบุญหรือบาปนั้น คนรุ่นหลังจะกล่าวขานถึงเอง
ความสับสนวุ่นวายในปีนั้น ยากที่คนรุ่นใหม่จะเข้ามาแทนที่และประเมินค่าได้
แต่อย่างน้อยๆ ก็มีสิ่งหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ในปีนั้นตอนที่ชายชราเป็นทหารในกองทหารรักษาการณ์ทงเฉิง เขาไม่ได้หนีทหารหรือเป็นคนทรยศ เมื่อกองพลทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบริเวณท่าเรือใกล้ๆ ทงเฉิง แต่กลับไม่มีกองทัพประจำการของประเทศจีนในทงเฉิงเลย
ได้แต่พึ่งพากำลังของกองกำลังรักษาการณ์ติดอาวุธท้องถิ่นและกลุ่มต่อต้านที่เกิดขึ้นเองของของประชาชนเท่านั้น แต่ก็ทำให้กองทัพญี่ปุ่นต้องสูญเสียเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว กระทั่งกองกำลังรักษาการณ์ติดอาวุธท้องถิ่นยังมีการวางแผนบุกโต้กลับทางฝั่งประตูเมืองทงเฉิงมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย
เมื่อกองทัพใหญ่รวมไปถึงและจุดศูนย์ถ่วงใหญ่เคลื่อนพลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ในพื้นที่ที่ถูกคนญี่ปุ่นยึดครองอย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งความช่วยเหลือแห่งนี้ ยังคงมีผู้คนต่อต้าน และกระสุนปืนยังคงดังกึกก้องไปทั่ว
ชายชรายังคงมองไปที่โจวเจ๋อ มองไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เริ่มไอ ฟันของเขาแทบจะหมดปากอยู่แล้ว เมื่อไอเลยเห็นเด่นชัดว่าไม่มีแรง แต่เขากำลังยิ้ม
จากนั้น เขาเอื้อมมือออกไปอย่างยากลำบาก ราวกับว่าอยากจะยื่นไปให้ถึงโจวเจ๋อ
นักพรตเฒ่าเฝ้ามองด้วยความกังวลใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วคิดในใจว่า ‘พี่ชาย คุณใจเย็นๆ หน่อยก็ดีนะ ยังไม่ทันจะเข้าไปก็อย่าเพิ่งทำตัวเองร่วงกลิ้งออกไปข้างนอกเสียก่อนล่ะ’
โจวเจ๋อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ให้มือผอมแห้งของชายชราจับเสื้อตรงหน้าอกของเขาเบาๆ
ชายชราฝืนจับเอาไว้
จากนั้น โจวเจ๋อรู้สึกว่าหน้าอกของตัวเองถูกกดเบาๆ สองครั้ง
ตรงนั้นเป็นตำแหน่งของหัวใจ
หลังจากที่ชายชรากระทำเสร็จแล้ว ก็ทิ้งตัวลง ราวกับพลังทั้งหมดถูกดึงออกมาจนเกลี้ยง การหายใจก็เริ่มติดขัด
“เข้าไปกันเถอะ ทำเวลาหน่อย”
หลังจากพูดจบ โจวเจ๋อก็เริ่มวนไปรอบๆ ตำแหน่งนี้ แล้วรีบพุ่งไปบนถนน หลังจากนั้นก็หายตัววับไปทันที
สวี่ชิงหล่างหยิบกระดาษยันต์ขึ้นมาแล้วติดไว้บนหน้าผากของตัวเอง เพียงชั่วขณะ ระหว่างหัวคิ้วเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ จากนั้นก็เลียนแบบเป๊ะๆ เดินวนเป็นวงกลมตรงตำแหน่งนั้นและพุ่งเข้าไป
ในตอนท้ายนักพรตเฒ่าก็หมุนวนสองสามครั้งแล้วรีบพุ่งไปข้างหน้าเช่นกัน
หึ
เข้าไม่ได้
หึๆๆ
นักพรตเฒ่าหัวเราะจนทั้งหน้าย่นเป็นจีบรูปดอกเบญจมาศ จิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่งจริงๆ
เจ้าลิงน้อยมองดูหน้าซื่อบื้อของนักพรตเฒ่าอยู่ข้างๆ แล้วหันข้างเล็กน้อย แสดงท่าทีว่ามันไม่รู้จักกันกับตาเฒ่าคนนี้
เมื่อเข้าสู่หมู่บ้านซานเซียงอีกครั้ง โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นและพบว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้าแทบจะกลายเป็นเลือด ครึ่งวันก่อนหน้านี้ที่ตัวเองเข้ามายังไม่เป็นอย่างนี้
ดูแล้วแบบนี้น่าจะเป็นเพราะการสังหารหมู่ในศาลบรรพบุรุษของตัวเขาเองได้ไปกระตุ้นอะไรเข้า ทำให้บางสิ่งบางอย่างทวีความรุนแรงและรีบเร่งมากขึ้นโดยปริยาย
ดังนั้น ถ้าหากชายชราที่อยู่บนหลังของสวี่ชิงหล่างไม่สามารถแก้ไขและทำลายสถานการณ์ที่นี่ได้ละก็ อย่างนั้นในฐานะที่โจวเจ๋อเป็นยมทูต คาดว่าจะต้องเรียกสาวน้อยโลลิมาเพื่อป้องกันทางออกด้วยกันเสียแล้ว
ถึงตอนนั้นจะป้องกันทางออกไม่ให้ผีร้ายหลุดออกไปในโลกมนุษย์ได้สำเร็จหรือไม่นั้น คงพูดยาก
สวี่ชิงหล่างก็เข้ามาพร้อมกับชายชราบนหลังแล้ว ทันทีที่เข้ามา สวี่ชิงหล่างรู้สึกว่าคนที่ตัวเองแบกอยู่บนหลังนิ่งไป สวี่ชิงหล่างเบิกตากว้างขึ้นทันที และรู้สึกไม่อยากเชื่อ
ไม่หรอกมั้ง
ตายแล้วเหรอ
คุณทวด อย่าทำให้ตกใจสิ คุณยังอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีเลยนะ
สวี่ชิงหล่างร้อนรนกระวนกระวายใจนึกอยากจะหันไปมองสภาพของชายชราที่อยู่บนหลังตัวเอง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นโจวเจ๋อมองข้างหลังตัวเองอย่างสงบนิ่ง
“วางลงเถอะ” โจวเจ๋อเอ่ย
สวี่ชิงหล่างวางร่างไร้วิญญาณของชายชราที่อยู่บนหลังของตัวเองลงอย่างช้าๆ เมื่อหันกลับมา เขามองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง
ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบทหารสีดำ พร้อมกับสวมหมวกและสะพายปืนไรเฟิลไว้ด้านหลัง
เป็นเครื่องแบบของกองทหารรักษาการณ์ดั้งเดิม แม้แต่บางจุดยังมีร่องรอยการเย็บปะ ออกจะดูเก่าๆ โทรมๆ ไปสักหน่อย เครื่องแต่งกายนี้พบเห็นได้ทั่วไปในภาพยนตร์ต่อต้านกองกำลังทหารญี่ปุ่นยอดนิยมเมื่อไม่นานมานี้
เขาเสียชีวิตแล้ว
นี่เป็นวิญญาณของเขาหรือ
ชายชรา ไม่สิ ชายหนุ่มมองไปที่โจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่าง พยักหน้าเล็กน้อย หลับตาลง และสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับกำลังรำลึกความทรงจำ และราวกับกำลังรำลึกถึงอดีต
หยดน้ำตาสองสายไหลพรากลงมาจากหางตาของเขา
เขาเสียชีวิตแล้ว
แต่ที่น้ำตาไหลไม่ใช่เพราะว่าเขาเสียชีวิต
อันที่จริงสำหรับเขาแล้วความตายเป็นการปลดแอกอย่างหนึ่งเสียมากกว่า เขานอนอยู่บนเตียงอยู่นานโข ก่อนที่เขาเองจะตกอยู่ในอาการโคม่าอย่างไม่รู้ตัว จริงๆ แล้วเขาก็ฝืนประคับประคองอยู่นานทีเดียว
เขาไม่รู้ว่าตัวเองพยายามฝืนมันไปทำไม สหายร่วมรบที่ออกมาจากกองไฟแห่งสงครามด้วยกันในอดีตก็ได้จากไปทีละคน จนสุดท้ายเหลือเขาไว้คนเดียวอย่างเดียวดาย
เขาอายุเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว แต่เขาไม่ได้อยู่เพื่ออายุถึงหนึ่งร้อยปี เขายังมีคนที่ยังจำได้ เขายังมีคำมั่นสัญญาที่เขาคิดถึง และยังมี…หนี้บุญคุณที่เขาติดค้าง
แต่สิ่งที่ชายชราไม่รู้คือเมื่อเก้าปีที่แล้ว ตอนนั้นเขายังไม่ได้อยู่ในอาการโคม่า มีชายคนหนึ่งชื่อหลี่ซื่อเคยคิดจะขับรถไปตามหาเขาที่สถานพักฟื้นผู้ป่วย เดิมเขาก็สามารถมาที่นี่ได้ตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อน
แต่เจ้าของกระทู้คนนั้น ในที่สุดก็เอาชนะโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ เขาเข้าไปในหมู่บ้านซานเซียงได้ อันที่จริงมันก็กระจ่างชัดแล้วว่าชีวิตเขานั้นจะอยู่ได้อีกไม่นาน
ในที่สุดหลี่ซื่อก็หนีชะตาชีวิตของตัวเองไม่พ้น
บางทีเมื่อเก้าปีที่แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ยังไม่ได้คคลุ้มคลั่งจนถึงขั้นนี้ และยังพอมีคน…ที่สามารถพูดคุยและสื่อสารได้ พวกเขาคงบอกอะไรบางอย่างกับหลี่ซื่อ และหลี่ซื่อก็วางแผนจะออกไปช่วยพวกเขาตามหาคนที่รอคอยมาโดยตลอด
ในเวลานี้ โจวเจ๋อเห็นคุณปู่และสาวน้อยกำลังเดินเข้ามาจากทางเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง
ท่าเดินของทั้งคนแก่และเด็กดูแข็งกระด้างไปเล็กน้อย สาวน้อยบีบขนมน้ำตาลปั้นรูปคนของตัวเอง บีบๆ คลึงๆ ไปเรื่อยๆ คุณปู่ถือจอบ สีหน้าออกถมึงทึง
ตรงมุมตาของพวกเขามีแสงสีแดงปรากฏวูบวาบ ทั้งยังมีน้ำลายไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด
ที่นี่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ
ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าตามคันนา และเดินไปบนถนน
เขาไม่กลัวเลยสักนิด เพราะเขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร
หนี้ที่ค้างคาอยู่ในใจมาเกือบแปดสิบปี วันนี้ถือว่าเป็นการหลุดพ้น
ชายหนุ่มที่เป็นคนชราอายุเกือบร้อยปีแล้ว แต่ในตอนนี้เขาถอดหมวกของตัวเองออก โบกมืออย่างแรง แล้วตะโกนว่า “ลุงสวี อาฮวา!” เหมือนกับเมื่อแปดสิบปีก่อน!
เมื่อชายชราได้ยินเสียงถึงกับตะลึงไปครู่หนึ่ง
จู่ๆ สาวน้อยก็หยุดกะทันหัน
ทั้งคนแก่และเด็กเข้าสู่ความเงียบงันในทันที
สวี่ชิงหล่างยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อ และพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม”
“ทำได้แค่ลองดูไปก่อนแล้วละ” โจวเจ๋อพูด
พักหนึ่ง
สีแดงก่ำในดวงตาของชายชราเริ่มซีดจางลง เขาตะโกนเสียงดังว่า “พ่อหนุ่ม เฉินจื่อน้อยเอ๋ย เจ้ากลับมาแล้วหรือ!”
สีหน้าดุร้ายของสาวน้อยก็เปลี่ยนเป็นไร้เดียงสา และวิ่งไปหาชายหนุ่มอย่างมีความสุข “อาเฉิน อากลับมาแล้วหรือคะ!”
ทั้งคนแก่และเด็กต่างก็พากันวิ่งไปข้างๆ ชายหนุ่ม และดีใจจนปลื้มปริ่ม
ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาเหลือบมองโจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่างที่ยืนอยู่ไกลๆ จากนั้นเขาก็พยักหน้าหนักๆ ให้ทั้งคนแก่และเด็กที่อยู่ข้างหน้าและพูดว่า
“อื้อ ข้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้ว!”
“กองทัพล่ะ กองทัพกลับมาแล้วเหรอ เมื่อวานฉันได้ยินมาว่าพวกปีศาจตะวันออกยังคงฆ่าคนในเมืองอยู่เลย และศพทั้งหมดก็ถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมือง”
“กองทัพ กองทัพก็กลับมาด้วย” ชายหนุ่มคำรามอย่างหนักแน่น “พวกเราพร้อมจะต่อสู้กับปีศาจแล้ว!”
“ดี!” คุณปู่ทำท่าฮึดสู้แล้วเอ่ยขึ้น “มาเลย ก่อนเอ็งไปได้บอกพวกเราให้ช่วยเก็บเสบียงอาหารเอาไว้ รอจนกว่าจะเรียกกองทัพใหญ่กลับมาค่อยจัดแจงให้กองทัพกิน เสบียงอาหารในหมู่บ้านเราได้เก็บรวบรวมทั้งหมดและซ่อนไว้ใต้พื้นศาลบรรพบุรุษแล้ว ก่อนหน้านี้มีปีศาจเข้ามา แต่ก็หาไม่เจอ”
“งั้นบ้านของทุกคนยังมีอาหารกินกันอยู่หรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง
“หึ ทุกคนล้วนแล้วแต่สมัครใจกันทั้งนั้น ทุกคนกินผักกินไม้ตามป่าตามเขาประทังชีวิต ทนหิวไปสักระยะหนึ่งไม่ทำให้คนตายหรอกน่า หิวน่ะมันก็หิวอยู่แล้ว แต่มันไม่มีอะไรหรอก”
คุณปู่จูงมือชายหนุ่มเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนสาวน้อยนั้นถูกชายหนุ่มอุ้มขึ้นไป ดูมีความสุขมาก
โจวเจ๋อได้ยินการสนทนาพวกนี้จากระยะไกล
และสัมผัสบางอย่างได้
คุณปู่บอกว่าหิวสักสองสามวันก็ไม่เป็นไร แต่พวกเขาหิวโหยมาแปดสิบปีแล้ว
สำหรับมนุษย์แล้วการหิวสักระยะหนึ่งน่ะมันไม่เป็นไรจริงๆ
แต่ความหิวโหยที่ยาวนานถึงแปดสิบปีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผีทนรับไม่ไหว นี่เป็นการทรมานที่ยากจะจินตนาการได้!
“เฉินจื่อน้อยกลับมาแล้ว กองทัพใหญ่จะกลับมาสู้แล้ว!”
ทันทีที่เข้าไปในหมู่บ้าน ชายชราก็ตะโกนขึ้น
ชั่วพริบตาทั้งหมู่บ้านซานเซียงคึกคักเจี๊ยวจ๊าวทันที
หญิงชราที่นั่งน้ำลายไหลพลางปักเย็บพื้นรองเท้าผ้าอยู่ที่หน้าประตูบ้านมีชีวิตชีวาขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนว่า
“เฉินจื่อน้อยกลับมาแล้ว!”
หญิงม่ายที่กำลังตักน้ำจากบ่อน้ำและเคี้ยวผมของเธอไปด้วยรีบคายผมที่อยู่ในปากตัวเองออกมาทันที
ใบหน้าขาวผ่องริมฝีปากแดงฉ่ำ เผยเสน่ห์ที่เป็นของเธอเองพร้อมกับบิดเอวแล้วตะโกนว่า
“เฉินจื่อน้อย ถ้าเอ็งยังไม่กลับมา หน้าอกของข้าหิวจนจะแฟบแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าข้ายังหาผู้ชายไม่ได้ เอ็งจะต้องยอมแต่งกับข้าแล้วละ!”
ชายที่ต้มน้ำอยู่ในบ้านที่หลังคาปูกระเบื้องโยนฟืนในมือทิ้งทันที แล้วรีบจูงมือภรรยาออกจากบ้านไปด้วยกัน
พวกชาวบ้านทยอยมารวมตัวกันทีละคน และพากันเดินตามกันติดๆ ไปที่ศาลบรรพบุรุษพร้อมกับชายหนุ่ม
ชายชราตาบอดที่นั่งอยู่ที่ประตูศาลบรรพบุรุษยืนขึ้นมาอย่างสั่นเทา เขาได้ยินเสียงและการเคลื่อนไหว เฉินจื่อน้อยที่เคยรักษาอาการบาดเจ็บในหมู่บ้านมาก่อนกลับมาแล้ว
เขาเคยบอกว่ากองทัพใหญ่จะถูกเรียกกลับมาเร็วๆ นี้
เขาเคยบอกว่าพวกปีศาจจะโลดแล่นอยู่ได้ไม่เกินสองสามวัน
เขาขอให้ทุกคนช่วยเตรียมเสบียงอาหารเอาไว้ใช้ตอนที่กองทัพใหญ่กลับมา
ชายชราตาบอดโยนไม้เท้าทิ้งและคุกเข่าลงบนพื้นศาลบรรพบุรุษ ใช้มือทั้งสองข้างของเขาลูบๆ คลำๆ บนพื้นกระเบื้อง จากนั้นเขาก็ยกกระเบื้องสองสามแผ่นขึ้น แล้วใช้มือควานลงไปใต้กระเบื้อง เมื่อฝูงชนมาถึงทางเข้าศาลบรรพบุรุษ ชายชราตาบอดกำข้าวขาวในมือชูขึ้นพร้อมกับตะโกนว่า
“เฉินจื่อน้อย เสบียงอาหาร! เสบียงอาหารที่พวกชาวบ้านเตรียมเอาไว้ให้กองทัพใหญ่ พวกเราซ่อนมันไว้ตลอด พวกปีศาจหามันไม่เจอ เก็บไว้สำหรับกองทัพใหญ่เลยนะ! พวกเอ็งกินอิ่มแล้ว ก็จะมีแรงรบกับปีศาจ!”
ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าประตูศาลบรรพบุรุษ มองชายชราตาบอดชี้นิ้วไปที่รอยแยก เมล็ดข้าวก็ร่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ และร้องไห้
ในตอนแรกเขามั่นใจเต็มร้อย พอฟื้นจากอาการบาดเจ็บในหมู่บ้านก็บอกชาวบ้านว่ากองทัพใหญ่จะกลับมาเร็วๆ นี้
พวกชาวบ้านเชื่อสนิทใจ
แต่ในความเป็นจริง กองทัพรบกลับมาหลังจากผ่านไปแล้วเกือบเจ็ดปี พวกชาวบ้านไม่สามารถรอจนถึงเจ็ดปีต่อมาได้ ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากหายจากอาการบาดเจ็บได้ไม่ถึงสัปดาห์เขาก็ออกไปตามหากองทัพใหญ่ และข่าวคราวการรับผู้บาดเจ็บเอาไว้ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็รั่วไหลออกมา
กองทัพญี่ปุ่นและทหารหุ่นเชิดมาถึงที่นี่ และสังหารคนในหมู่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตายเรียบเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ต้องการต่อสู้ในสงครามกลางเมืองและการปฏิวัติครั้งสุดท้าย
มีบางคนกำลังรอเขา กำลังรอเขากลับไป
เมื่อชาวญี่ปุ่นแพ้สงครามไปแล้ว เขาก็ควรจะกลับไปด้วย
“มีความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งขนาดนี้…จริงๆ งั้นเหรอ” สวี่ชิงหล่างตกใจ
“จะต้องมีผลกระทบอื่นจากปัจจัยภายนอกอย่างแน่นอน”
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าพระจันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าค่อยๆ แจ่มใสขึ้น และไอชั่วร้ายในหมู่บ้านก็ค่อยๆ อันตรธานไป
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ใสแวววาวร่วงลงมาจากท้องฟ้า และร่วงลงไปในกองฟางด้านหน้า
โจวเจ๋อเดินไปหามันและพบแหวนทองสัมฤทธิ์จากกองฟาง ลวดลายบนนั้นดูแปลกประหลาด และเมื่อถือเอาไว้ในมือรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วง
คำพูดเมื่อครู่ ยังพูดไม่จบ
โจวเจ๋อที่หยิบแหวนขึ้นมาพูดต่อ
“แต่วัตถุแปลกปลอมก็คือวัตถุแปลกปลอม ความยึดมั่นบางอย่างนั้นฝังรากลึกอยู่ในไขกระดูก แม้แต่วัตถุแปลกปลอมก็ขวางไว้ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้น แปดสิบปีก่อนพวกเราก็คงเสียเอกราชไปตั้งนานแล้ว”
……………………………………………………………………