มู่หนานจือ - บทที่ 377 เทศกาลไหว้พระจันทร์
ฮูหยินติงไม่มีทางที่จะพาคนในครอบครัวมายืมอาศัยอยู่บ้านของตระกูลหยวนและฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ภูเขามังกรเมฆ เพื่อหนีพวกคนที่มาขอแต่งงานถึงบ้านอย่างแน่นอน
การคาดเดาแบบนี้บรรลุถึงจุดสูงสุด เมื่อถึงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ แล้วจู่ๆ ใต้เท้าติงก็ปรากฏตัวที่ภูเขามังกรเมฆ และเชิญทั้งตระกูลหลี่ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกันเป็นพิเศษ
นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับหลี่เชียนว่า “เจ้าว่า…ตระกูลติงจะทำอะไรกันแน่?”
หลี่เชียนมาถึงเมื่อคืน
เจียงเซี่ยนทั้งประหลาดใจและดีใจ เดี๋ยวเรียกให้เขาดื่มชา เดี๋ยวเรียกให้เขากินข้าว แล้วทั้งสองคนก็พิงอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างและดูพระจันทร์พลางซุบซิบคุยกันนานมาก จนกระทั่งง่วงมากและสัปหงกตลอด เจียงเซี่ยนถึงหลับไปอย่างสะลึมสะลือ วันรุ่งขึ้นตื่นมาถึงพบว่าตนเองไม่ได้ถามถึงหลี่ฉางชิงแม้แต่คำเดียว
ยังดีที่หลี่ฉางชิงที่มากับหลี่เชียนไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย บวกกับพวกเขามาดึกอีก หลี่ฉางชิงจึงไม่ได้คิดว่าการที่เจียงเซี่ยนไม่มาต้อนรับเขานั้นผิดตรงไหน
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับรู้สึกไม่สบายใจมาก จึงยังกำชับฉิงเค่อโดยเฉพาะด้วยว่า ต่อไปหากมีเรื่องแบบนี้อีก ต้องเตือนนาง
ปรากฏว่าเวลานี้นางจำไม่ได้แม้แต่นิดเดียวว่าเมื่อคืนคุยอะไรกับหลี่เชียนไปบ้างกันแน่ มีเพียงความรู้สึกดีใจเต็มหัวใจที่ซ่อนไม่ได้และจะล้นออกมาที่ยังประทับอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจน
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ หูของเจียงเซี่ยนก็แดงก่ำ
หลี่เชียนก็รู้สึกว่าความกระตือรือร้นของตระกูลติงแปลกและน่าสงสัยเช่นกัน เขากำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ จึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเจียงเซี่ยน
“ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” เขาปลอบใจเจียงเซี่ยน “ท่านพ่อรับปากแล้วว่าจะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับตระกูลติง พวกเราไปก่อน ถึงเวลานั้นดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน”
เจียงเซี่ยนไม่ค่อยพอใจ
นางแค่อยากอยู่กับหลี่เชียน ไม่อยากไปพบปะสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของตระกูลติง
ทว่านางก็รู้เช่นกันว่า เรื่องแบบนี้ไม่สามารถยกเว้นได้
เจียงเซี่ยนถอนหายใจยาวเหยียด และนั่งแต่งตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
หลี่เชียนรู้ว่านางไม่สบายใจ จึงเข้าไปลูบศีรษะของนางเบาๆ และกระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าเป็นเด็กดี กลับถึงบ้านข้ามีของขวัญให้เจ้า”
เจียงเซี่ยนใจเต้น ดวงตาต่างสดใสขึ้นมา
หลี่เชียนหัวเราะ และอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของนางอีกครั้ง แล้วหันตัวออกจากห้องหลัก ไปพบหลี่ฉางชิง
หลี่ฉางชิงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เสื้อคลุมยาวผ้าไหมหังลายค้างคาวห้าตัวกับเมฆมงคลสีน้ำเงินสดใสทอสีม่วงอมแดงทำให้เขาดูดุดันน้อยลงและอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แลดูมีชีวิตชีวามาก
เขายิ้มพลางถามลูกชายว่า “ไปเจอท่านหญิงมาแล้วหรือ? นางอยู่ที่นี่พออยู่ได้หรือไม่? ข้าได้ยินหญิงรับใช้ในบ้านบอกว่า ช่วงนี้ท่านหญิงสอนเรื่องต่างๆ ให้คนสกุลเหอไม่น้อย จนทำให้ตงจื้อรู้ความขึ้นกว่าแต่ก่อนไปด้วย”
ขอเพียงเป็นคำพูดที่ชื่นชมภรรยา โดยปกติหลี่เชียนก็รับหมด
“ใช่แล้ว!” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หลายวันก่อนเจียหนานยังบอกข้าว่าจะหาอาจารย์สอนหนังสือคนแรกให้ตงจื้ออย่างจริงจัง ให้ข้าลองถามความเห็นของท่าน เพราะช่วงนี้มัวแต่วิ่งเต้นเรื่องของตระกูลจวงอยู่ข้างนอก จึงลืมเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน หากท่านไม่พูดขึ้นมาตอนนี้ ข้าคงจะยังจำไม่ได้”
หลี่ฉางชิงได้ยินแล้วก็ลังเลเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีความสามารถ แค่เชื่อฟังสามีก็พอไม่ใช่หรือ? ตงจื้อเรียนหนังสือมากแล้ว จะแต่งไม่ออกหรือไม่!”
“ดูที่ท่านพูดเข้าสิ!” แม้หลี่เชียนจะไม่รู้ว่าทำไมเจียงเซี่ยนถึงยืนกรานที่จะเชิญอาจารย์มาสอนที่บ้านให้หลี่ตงจื้อ ทว่าสิ่งที่เจียงเซี่ยนทำ ไม่มีสักเรื่องที่ไม่หวังดีกับเขา และต่อให้ไม่หวังดีกับเขา ก็เป็นเพราะนางมีความสุขเช่นกัน เขายินดีบรรลุความปรารถนาใดๆ ของนางเพื่อนาง “พวกตระกูลพ่อค้าหรือตระกูลที่เคยมีบัณฑิตแค่ไม่กี่คนเท่านั้นถึงจะมีความคิดแบบนี้ ตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจจริงๆ มีใครไม่ต้องการให้ลูกๆ อ่านออกเขียนได้บ้าง? แถมเจียหนานยังเป็นท่านหญิง การเรียนของนางในตอนนั้นล้วนเป็นคนอย่างจั่วอี่หมิงกับสยงจวิ้นหรงช่วยสอนเป็นคนแรก หากทำตามที่ท่านว่า ต่อไปตงจื้อแต่งงาน ตอนที่ควบคุมอาหารการกินภายในบ้านก็ดูแม้แต่สมุดบัญชีไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ท่านจะให้นางยืนหยัดที่บ้านสามีอย่างไร? ต่อไปมีลูกสาว ก็สอนลูกเขียนหนังสือไม่เป็นแม้แต่ตัวเดียว เด็กจะเข้าใจเหตุผลและรู้ความได้อย่างไร? ท่านก็อย่าฟังคนข้างนอกพูดจามั่วซั่วเลย หากจะพูดถึงกฎระเบียบ บนโลกนี้ยังมีใครรู้เรื่องพวกนี้มากกว่าเจียหนาน ท่านเชื่อฟังเจียหนาน ไม่ผิดอย่างแน่นอน”
“ก็ได้ ก็ได้” หลี่ฉางชิงยืนอยู่ข้างลูกชายทันที และเอ่ยว่า “เรื่องนี้ก็ต้องขอรบกวนท่านหญิงแล้ว เรื่องแบบนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
อาจารย์ที่มาสอนที่บ้านของพวกเขานั้นเกาฝูอวี้เป็นคนช่วยเชิญมา และสอนแต่เด็กผู้ชาย
หลี่เชียนเห็นว่าเรื่องราวจัดการอย่างราบรื่นแล้ว ก็ไม่ติดใจเรื่องนี้อีกเช่นกัน และเอ่ยถึงเรื่องกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิด “ของทางนั้นเก็บกวาดเรียบร้อยหมดแล้วหรือขอรับ?”
“เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว” หลี่ฉางชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วก็ไป พยายามรีบกลับไท่หยวนก่อนวันที่ยี่สิบสี่ พวกเราสู้กับตระกูลจวง นั่นเป็นเรื่องของพวกเราสองตระกูล แต่จะไม่สนใจประชาชนทั่วไปเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ ถึงแม้ครั้งนี้ข้าจะไม่ให้คนของฐานที่มั่นไปช่วยพวกเขาขุดลอกทางน้ำ ทว่าพวกเราก็ไม่สามารถทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้เช่นกัน ข้าคิดว่าหลังจากกลับไปจะช่วยเขาโน้มน้าวพวกที่ไม่ยอมจ่ายภาษี และพยายามเรียกเก็บเงินของคนงานที่ดูแลแม่น้ำให้ได้ในเร็ววัน”
นี่ถึงจะเป็นบิดาของเขา
หลี่เชียนเอ่ยอย่างรู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีว่า “ท่านพ่อ ครั้งนี้ข้าต้องไปเสฉวน จึงช่วยท่านไม่ได้แล้ว ท่านเองก็ต้องระวัง อย่าทำเรื่องดีแล้วกลับถูกคนต่อว่าไปตลอดชีวิต”
หลี่ฉางชิงไม่เห็นด้วย และเอ่ยว่า “หากทำเรื่องดีเพราะอยากให้คนจดจำไปตลอดชีวิต เช่นนั้นยังทำเรื่องดีไปทำไม?”
หัวข้อสนทนาที่คล้ายกันเมื่อก่อนหลี่เชียนกับหลี่ฉางชิงก็เคยถกเถียงกันหลายครั้ง และทุกครั้งพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์
หลี่เชียนไม่อยากโต้เถียงกับบิดา จึงขานว่า “ขอรับ” ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โดยไม่เถียงบิดา
พวกเขาไปที่บ้านของตระกูลติงด้วยกัน
ติงหลิวยืนต้อนรับพ่อลูกและหลานสกุลหลี่อยู่หน้าประตูใหญ่ด้วยตนเอง แต่รถม้าของสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงกลับตรงเข้าไปข้างใน และจอดลงหน้าประตูฉุยฮวา
ฮูหยินติงพาติงหวั่นมารออยู่หน้าประตูฉุยฮวา
พอฮูหยินเหอลงจากรถม้า ฮูหยินติงก็จูงมือของนาง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากำลังรอพวกเจ้ามาอยู่ เรื่องนี้นายท่านของพวกเราทำไม่ถูก ส่งเทียบเชิญให้เจ้าในวันนั้นได้ที่ไหนกัน แต่เขามาฉุกละหุกเกินไป และจะส่งเทียบเชิญให้พวกเจ้าให้ได้ พวกเจ้าเห็นแก่ความสุขของเขา แล้วก็อย่าตำหนิเขาเลย”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ฮูหยินเหอรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แสดงให้เห็นว่าใต้เท้าติงเป็นคนเปิดเผย ได้รับคำเชิญจากตระกูลติง พวกเราทั้งครอบครัวต่างก็ดีใจมาก”
ทั้งสองฝ่ายทักทายกัน และยิ้มพลางตามฮูหยินติงเข้าไปในเรือนด้านใน
พวกหลี่ฉางชิงที่อยู่เรือนด้านนอกก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากใต้เท้าติงเช่นกัน
หลี่เชียนนิ่งดุจขุนเขา และรอให้ใต้เท้าติงนำหัวข้อสนทนาไปสู่จุดมุ่งหมายในวันนี้
แต่ใต้เท้าติงเล่าเรื่องราวที่ผู้คนไม่ค่อยรู้ของพวกผู้มีบารมีในราชสำนักไปแล้ว เล่าประสบการณ์บางส่วนในการเป็นขุนนางของตนเองไปแล้ว กลับไม่เอ่ยถึงว่าทำไมตระกูลติงถึงเลือกฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่นี่สักที แถมทั้งสองตระกูลยังนั่งชมจันทร์ด้วยกัน
เจียงเซี่ยนก็รู้สึกเหนื่อย
กว่าจะได้ยินเสียงบอกเวลากลางยามห้ายก็ไม่ง่ายเลย ในที่สุดตระกูลหลี่ก็บอกลาตระกูลติง และกลับจวน
หลังจากกลับถึงเรือน เจียงเซี่ยนก็เอ่ยกับหลี่เชียนว่า “ต้องคิดหาทางสืบว่าสองวันนี้ตระกูลติงทำอะไรไปบ้าง ข้ามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นแล้วถึง…”
นางเกลียดความรู้สึกที่ไร้กำลังแบบนี้มาก
หลี่เชียนรู้สึกเช่นเดียวกับเจียงเซี่ยน จึงส่งคนไปสืบเรื่องของตระกูลติง และช่วยเจียงเซี่ยนเก็บสัมภาระในเรือนหลัก
เจียงเซี่ยนถามหลี่เชียน “จากที่นี่ไปเฝินหยางพวกเราต้องใช้เวลาเท่าไร?”
“ประมาณสี่ห้าวัน” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นหลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เจ้าจะรีบกลับไท่หยวนอย่างเร็วที่สุดหรือกลับไท่หยวนพร้อมข้า?” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในน้ำเสียงมีความคาดหวังที่ตัวนางเองก็ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ
————————————-