มานาดวงใจรักฟาโรห์ - ตอนที่ 4 เดินทาง
สนามบินสุวรรณภูมิ
หลังจากที่นอนเต็มอิ่มตื่นมาก็รู้สึกสดชื่นมาก และมีความสุขมากตอนนี้ฉันกำลังจะได้เดินทางไปอียิปต์จริงๆแล้ว ดูเหมือนทุกคนก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันเลย ด้วยบางคนก็กลัวหลงมนตราฟาโรห์ บางคนก็กลัวการเดินทางไปแล้ว ไม่กลับมาอีก แต่สำหรับฉันไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะยังไงฉันก็โสดและตัวคนเดียว ทำงานเลี้ยงตัวเองเรียนจบ
จะหวงก็แต่ตายายที่สุรินทร์ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เพราะฉันมันคนบ้างานจนไม่ค่อยมีเวลาไปหาท่านเลย พอคิดถึงเรื่องนี้ ที่ไหร่น้ำตาเจ้ากรรม ก็ดันไหลมาทุกทีเลยนะ แค่คิดในใจยังออกมาขนาดนี้ ลองถ้าพูดไม่ใช่จะไหลเหมือนแม่น้ำแน่เลย ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่ร้องเชื่อเถอะ ว่าทั้งคณะต้องร้องเพราะทุกคนรู้จักฉันดี และเข้าใจฉันพอสมควรทุกคนก็คงรักฉันมัง(คิดเอาเอง) แต่ฉันก็รักและเป็นห่วงทุกคน การเดินทางครั้งนี้ไม่รู้ที่อียิปต์จะมีอะไรรอเราอยู่ ไม่รู้ต้องไปสู้รบปรบมือกับผู้มีอิทธิพลขนาดไหน แล้วจะรอดกลับมาหมดทุกคนหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไร เชื่อว่าพระเจ้าอยู่กับเราค่อยช่วยเรา คอยนำทางเราให้แก้คดีและปิดคดีได้เร็วแน่ เราเชื่อเช่นนั้นทุกครั้งเสมอ ก่อนจะปาดนำ้ตาแล้ว ก็ลากกระเป๋าเข้าไปหาทุกคนเพื่อขึ้นเครือง เพราะไกล้จะได้เวลาออกแล้ว ฉันเดินนำไปคนแรกตามด้วยคณะทุกคนในสนามบินต่างมองฉันเป็นตาเดียว พอเห็นแอร์ประกาศว่าคณะของเราที่จะไปอียิปต์กัน ขอให้เข้าไปช่องทางพิเศษที่ทางสนามบินจัดเตรียมไว้ตามคำขอของอียิปต์ ที่ต้องการให้พวกเราเดินทางแบบเป็นส่วนตัว ทำให้ทุกคนพากันมองมาที่กลุ่มเรา และอึ่งกับรูปร่างน่าตาที่เหมือนเด็กแต่ไม่เด็ก สมส่วน น่าทึงในความสามารถ ที่มีความสามารถเกินตัวด้วย เพราะเคยได้ยินเรื่องฉันกับคณะมากันบ้าง เกียวกับคดีที่พวกเราทำ พอแอร์เชิญคณะของเราขึ้นเครืองบินที่ทางอียิปต์ที่เขาจัดมารับคณะเราโดยเฉพาะ ด้วยไม่อยากให้เธอและคณะ โดนทำร้ายกลางทาง แต่มันยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าสายตาทุกคนได้ง่ายกว่าไหมที่ประกาศแบบนี้ แต่ก็ไม่อาจหลีกหนี้ไปไหนได้ ในเมื่อต้องเดินนำในฐานะที่เป็นหัวหน้า ต้องนำทุกคนไปขึ้นเครืองบินส่วนตัวที่ทางอียิปต์จัดมาให้ ซึ่งเป็นเครืองบินที่ทาง กษัติย์อียิปต์เคยใช้มาก่อน ทำให้ทุกคนกลัวว่า จะพาไปทำร้ายทำให้ฉันต้องใจกล้า และไม่เคยกลัวตาย เป็นคนเดินนำไปเพื่อให้ทุกคนทำตามซึ่งทุกคนทำตาม แบบไม่ต้องบอกฉันเพียงแค่หันไปมองทุกคน และพยักหน้าทุกคนรีบมาตามทันที คงไม่อยากโดนสายตาฉันจ้องนานเดียวจะรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ แต่มีหรือที่ฉันจะไม่รู้แต่แค่แกล้งไม่รู้เฉยๆนะ ทุกคนต่างรู้และจำสายตาฉันได้ แล้วจะดีใจหรือเสียใจดีนะ อายนะมองกันขนาดนี้ ถึงไม่สวยแต่ก็น่ารักพอไปวัดไปวาได้นะ แต่ก็ไม่ได้โกรธใครที่พูดถึงฉันไม่ว่าดีหรือไม่ดี ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทุกคนสนใจคณะเรา แม้ส่วนมากจะพูดเรื่องฉันก็เถอะ เลยยิ้มให้เป็นคำตอบให้ไป
" นั้นไงคนนั้นที่เขาว่าเป็นคนที่ตัดสินคดีไม่เคยพลาด และแคร์ความรู้สึกทุกคน เห็นเขาว่าเธอมีสายตาที่เหมือนเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้เธอโดยเฉพาะ เพื่อใช้ในการช่วยคนดูตัวเล็กเหมือนตุ็กตาบาบี้เลย แต่เท่สุดๆ ชุดที่เธอใส่ฉันชอบ มันเหมาะกับเธอดี"
"ดูหนุ่มที่รายล้อมเธอสิหล่อๆทั้งนั้นเลย พวกเขาน่าจะเป็นนายแบบกันนะ หล่อมากอิจฉาจริงๆที่มีหนุ่มหล่อๆอยู่ข้างแบบนี้ทุกวัน เป็นฉันคงอินไปกับความหล่อทั้งวันแน่"
"แก่ก็พวกเขาเป็นทนายจ้า จะมีเวลาเป็นนายแบบเหรอ งานรัดตัวขนาดนั้นแต่ก็อยากให้มาเดินกับพวกเราบ้างเหมือนกันอยากรู้ว่าจะรู้ดีแค่ไหนที่มีหนุ่มหล่อรายล้อมแบบนั้น"
ทุกคนต่างพูดคุยเรื่องของพวกเรากัน ทั้งสนามบินทำให้เขินกันจนไม่รู้จะเขินแบบไหน บางคนก็พูดเกินจริง บางคนก็ได้แต่ใช่ๆ แต่มือยังแอบถ่ายรูปพวกเรากัน จนทำให้อดขำไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ใช่ดารานะทำไม ถึงมีแต่คนรู้จักและดังได้นะ ทั้งๆที่พวกเราก็เป็นแค่คนธรรมดา ที่ต้องการช่วยทุกชีวิตให้หลุดพ้นจากข้อหาหากไม่ผิด พวกเราจะช่วยจนสุดความสามารถ แต่ถ้าผิดก็ไม่ปราณีเช่นกัน นี้คือบุคคลิกของฉันและคณะเวลาทำคดีจะตั้งใจกันสุดๆ
นอกเวลางาน ขี้เล่น อ่อนหวาน เชื่อคนง่าย ใจดี น่ารักมั่ง แต่เวลาทำงาน จริงจัง ดุดัน เด็ดขาด มาดผู้นำแบบจัดเต็ม คำไหนคำนั้นไม่ปราณีหากผิดต้องรับผิดตามคดีที่ก่อจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง ไม่มีอุทรณ์ ไม่มีฎีกาอะไรทั้งสิน จบคือจบไม่ยึดเยื่อ ไม่อ่อนข้อให้ใครเด็ดขาด ไม่ลำเอียงเข้าข้างใครแน่นอน
"สุดยอดนี่พวกเรา กลายเป็นดังไปแล้วเหรอถึงได้มีแต่คนสนใจแบบนี้ เพราะน้องสาวหรือเปล่านะ"
"เป็นเพราะพวกพี่ๆหล่อมากไงคะ มานาถึงได้ตกเป็นเป้าสายตาไปด้วย ว่าทำไมถึงได้มีหนุ่มหล่อรายล้อม"
"ก็มันช่วยไม่ได้ เพราะหน้าตาพวกเราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด"
"จะบอกมานาว่า ยืนผิดที่ใช่ไหมคะ เพราะมานาตัวเล็กและไม่ได้สวยเหมือนดาราใช่ไหมคะ"
"ใครจะกล้าว่าน้องรักของพวกเราแบบนั้นกัน สำหรับพวกเราน้องสาวคนนี้สวยที่สุดแล้ว"
"พอหยุดโต้วาทีกันได้แล้ว เดียวเขาจะว่าพวกเราแตกคอกันเองรีบไปขึ้นเครื่องดีกว่า จะได้หลุดพ้นจากตรงนี้กัน"
"เห็นด้วย"
หลังจากนั้นทุกคนก็รีบไปเครื่องบินเพื่อขึ้นเครือง เมื่อถึงเครื่องงที่เตรียมไว้รอ ฉันก็สบายใจที่ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาใคร และไม่เด่นเกินไปจนทำให้ใครเขาจะว่าฉันเอาได้ ทำเอาทุกคนหันมาหาฉันเป็นตาเดียวทั้งสนามบิน
ไหนจะสายตาที่ตกใจ ตื่นเต้น กล้วอีกหลายๆอย่างที่รับรู้ได้ ซึ่งมันทำให้เหนื่อยและอืดอัดกับเหตุการณ์แบบนี้ที่สุด แล้วไม่รู้ทำไมต้องเรียกชื่อด้วยนะ ไหนว่าจะเป็นการเดินทางแบบไม่มีอะไรมากไง แล้วไงกลายเป็นว่าทั้งสนามบิน รู้หมดว่าพวกเรากำลังเดินทางไปอียิปต์
"เฮ้อ เหนื่อยสุดๆขนาดยังไม่ถึงไหน ยังเจอสายมองมาที่เราแบบนี้กัน แล้วถ้าไปถึงอียิปต์แล้วเขาจัดต้อนรับแบบนี้มีหวังเราได้กลายเป็นดาราชื่อดังแน่ เฮ้อ"
ทั้งคณะหันมาหาฉันแล้วยิ้มและฉันก็รับรู้ ผ่านรอยยิ้มและสายตาทุกคนรู้ดีว่า เขาจะบอกอะไรกับฉัน มันทำให้ฉันเขินในสิ่งที่พวกเขาคิดไว้ บอกผ่านความคิดในใจพวกเขานะ
"พวกเราดีใจ และภูมิใจที่มีอัยการน่ารัก เป็นผู้พิพากษาที่น่ารักด้วย ใจดีอย่างน้องมานา ดีใจที่ได้ทำงานด้วยกันอีกครั้งครับ"
"แต่สำหรับพวกเรา มานาขั้นเทพเลยละ"
"ขอบคุนคะที่ชมมานา ไม่มีขนมให้กินนะ"
"พวกพี่ๆพูดจากใจ จริงของพวกเราทุกคนนะ"
"งันมานาจะรีบปิดคดีให้เร็วๆ เพื่อพี่ๆจะได้ไม่เครียดมากไปกว่านี้ และได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆดีไหมคะ"
" ดี แต่พวกเราไม่อยากให้ น้องมานาหักโหมนะ ค่อยๆทำไปตามรูปแบบคดีก็ได้พวกเราเชื่อใจมานาเสมอ"
" ขอบคุณที่เชื่อในความสามารถของมานากันคะ ขอบคุณที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันกับมานา"
"พวกเรายินดีตามมานาไปทุกที่ ถ้าช่วยมานาได้ พวกเราจะช่วยเสมอครับ"
" ขอบคุณสำหรับนำ้ใจของพี่ๆอีกครั้งนะค่ะ"
"เพราะพวกเรามีหัวหน้าทืม ที่น่ารักและใจดี ให้ทำอะไรเราก็ทำได้หมดนะ"
"งั้นขอให้ทุกคนเลิกชมกันเอง และพักผ่อนตามสบายคะ เพราะเครืองบินนี้ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเขาจะมาทำร้ายเราหรอก และเขาส่งมาเพื่อปกป้องเรามากกว่า และเลิกเครียดได้แล้ว มานายื่นยันได้ เชื่อใจมานาไม่ใช่หรือคะ
ถ้างันทำตัวตามสบาย เพราะเราต้องเดินทางหลายชั่วโมง ไม่อยากให้ใครเป็นอะไรไปสะก่อนจะได้เยียบดินแดนอียิปต์กัน โอเคนะถ้าไม่เชื่อมานาจะงอนนะ"
"ได้พวกเราเชื่อมานา ไม่งอนพวกเรานะ"
หลังจากที่ได้ฟังฉันพูดทุกคนก็เลิกกลัว และทำตัวตามสบายจนอดขำไม่ได้ กับอาการแต่ละคนที่พยายามเก็บไว้ แต่ไม่พ้นสายตาฉันที่มองแป็ปเดียวก็รู้ทันที และทุกคนก็หลับไปเพราะล้ากับการเดินทางร่วมทั้งฉันด้วย และฝันเห็นเขาอีตาฟาโรห์ที่มาพูดกับฉันว่า ในที่สุดเจ้าก็มาหาพี่แล้วดวงใจของพี่ พี่จะรอเจ้าที่บ้านเรานะ
อียิปต์ ปัจจุบัน
หลังจากที่พักสายตากันมาพอสมควร แอร์ก็ประกาศว่าเครืองจะลงจอด ในสนามบินไคโรประเทศอียิปต์ ในอีกสิบห้านาทีขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม พอเครืองลงจอดเธอและคณะก็เดินลงมา เรียงแถวกันมาเป็นระเบียบแบบไม่ได้นัดหมาย จนทำให้คนทั้งสนามบินอียิปต์ หันมามองพวกเราเป็นตาเดียวทั้งตกใจ และดีใจที่เห็นฉัน จนพวกเราเริ่มจะชินแล้วเพราะตอนมาก็เจอแบบนี้ มาที่นี้เจอหนักกว่าที่บ้านเราอีกได้แต่คิดในใจ และทุกคนในคณะก็ได้แต่ ส่งยิ้มไปให้ทุกคนที่มองมายังพวกเรา พอออกมาจากสนามบิน เพื่อเดินมาขึ้นรถที่จอดรอรับคณะของเรา
โดยเฉพาะ แถมใช้รถคันแพงๆอีกแล้ว ทุกคนก็หันมามองฉันด้วยสายตาเดิม เหมือนตอนขึ้นเครื่อง ซึ่งฉันก็ใช้สายตาเดิมส่งไปให้ จนทำให้ทุกคนทำตามแบบเร่งด่วน จนทำให้คนมาคอยตอนรับยังตะลึง และเกรงกลัวต่อสายตาฉัน และดูเหมือนเขายิ่งจะตะลึงและตกใจมาก เมื่อมองมาที่ฉันแบบสำรวจว่าทำไมทุกคนถึงทำตามฉัน เพียงแค่ฉันใช่สายตามองที่พวกเขาแป็ปเดียวแค่นั้น พอเขาเห็นสายตาฉันและสิ่งที่อยู่เบื้องหลังฉัน แค่นั้นพวกเขาตาค้างจนฉันต้องเดินไปสะกิด บอกว่าพวกเราพร้อมเดินทางไปที่พักที่ทางอียิปต์จัดให้แล้ว และนั้นทำให้เขาได้สติ และมองฉันอย่างไกล้ชิด พวกเขายิ่งเกรงกลัวฉันไม่กล้ามองตาฉันเลย ซึ่งตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะมั่วแต่จัดการเรื่องให้ทุกคนขึ้นรถให้ได้แค่นั้น จนลืมชื่นชมบรรยากาศทะเลทรายตอนได้สัมผัสมันครั้งแรก แต่แปลกฉันกลับไม่รู้สึกว่าเหมือนเพิ่งมา แต่กลับรู้สึกเหมือนกลับบ้านมากกว่า มันทำให้ฉันคิดถึงตายาย ไม่รู้ท่านเป็นยังไงแล้วหลานสาวก็มาทำงานไกล จนไม่อยากให้ท่านกังวลใจกับระยะทางเลยไม่ได้บอกท่าน เพราะทุกครั้งไปไหน จะต้องบอกท่านเพื่อให้ท่านสบายใจไม่ต้องเป็นห่วงฉัน แต่ที่นี้มันไกลกว่าทุกครั้งเลยเลือกที่จะไม่บอกท่าน เพราะมันยิ่งทำให้ท่าน เป็นกังวลมากแน่นอน
" ตายจ๋ายายจ๋ามานาขอโทษ ที่ไม่ได้บอกว่ามาไกลถึงอียิปต์ ไม่อยากให้ตายายเป็นห่วง ยกโทษให้หลานสาว
ที่ดื้อคนนี้ด้วยนะค่ะ"
"ทำไมเราถึงรู้สึกผูกพันธ์กลับที่นี้จัง ทำไมเรามีความสุข และอบอุ่นใจเหมือนได้กลับบ้านที่มีคนรอเราอยู่เลย สงสัยเราจะอินกับนิยายมากไปมั่ง เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้เพราะฝันนั้นแน่เลยแล้วอีตาฟาโรห์คนนั้น จะมีตัวตนจริงๆไหมนะ "
เธอพูดออกมาคนเดียว ระหว่างที่มองดูทะเลทรายที่แสนคิดถึง แม่นำ้ที่แสนห่วงหากับฟาโรห์ที่แสนรักนักหน่า แล้วทำไมถึงนึกอีตาฟาโรห์นั้นนะ เพราะอะไรกันนะไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลย หลังจากที่พูดคนเดียว ไม่นานฉันก็ได้ยินเสียงที่ส่งผ่านลมมากระสิบที่ข้างหูฉัน มันทำให้ฉันตกใจกับสิงที่ได้เจอกับตัวเอง ทำให้ข่นลุกเลย และมองไป รอบๆก็ไม่ไม่มีอะไรนี่น่ามันคืออะไร
"ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้าราชินีแห่งข้า ข้าคิดถึงเจ้ารอเจ้ามานานแสนนาน กลับมาอยู่เคียงข้างเถอะ ข้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า ดวงใจของข้ามาอยู่กับข้ามานายอดรักของข้า "
" เมมฟิสฉันกลับมาแล้ว ขอโทษที่ทำให้คุณรอนานจนทรามานใจ ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไปที่รักของฉัน"
"แล้วใครเมฆฟิส นี้ฉันพูดอะไรออกไป งงกับตัวเองจัง สงสัยอ่านนิยายมากไปแน่นอน เฮ้อ แต่ถ้าเขามีจริงคงดี
นั้นไงอินไปกับนิยายใหญ่แล้วฉัน มันคงไม่มีจริงหรอก เฮ้อ "
เป็นเสียงที่ส่งมาตามกระแสแห่งการเวลา เพื่อจะส่งมาหาเธอราชินีคู่ใจของเขาฟาโรห์เมมฟิสแห่งราชวงค์อียิปต์ ทำให้ฉันเผลอตอบตามเสียงที่ส่งมาตามลมไปแบบไม่รู้ตัว ทำเอาทุกคนตกใจแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะเหมือนว่าทุกคนทั้งสนามบิน และคนขับรถยังตกใจและกลัวมานากันขนาดนี้ มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับคนที่ชื่อ
เมฆฟิสแน่ๆ ไว้ค่อยสืบหากัน จนทำให้ทุกคนในคณะ ร่วมทั้งคนต้อนรับ มองฉันด้วยสายตาเดียวกัน บางคนตกใจกับคำพูดของฉัน บ้างก็งง บ้างก็ดีใจที่นางในคำทำนายมาแล้ว ซึ่งเจ้าตัวหารู้ไม่ ฉันเพียงแค่ต้องการตอบเขากลับไปเท่านั้น พอได้สติก็ถามตัวเองว่าคืออะไร ทุกคน ได้แต่เงียบฟังฉันพูดคนเดียวตลอดทาง ไม่ถามสักคำพร้อมใจ กันเก็บข้อสงสัยไว้ในใจกันจริงๆเลยนะ แล้วฉันจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีนะ