มอบรัก บำเรอใจ - ตอนที่ 46 หนิงอวี้เฉิงคนที่สอง
ซูหนานจือเหมือนจับฟางเส้นสุดท้าย ลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ความน่าสนใจถูกรบกวน ทำให้เฉินซู้ตะคอกเสียงดังอย่างไม่พอใจ “แม่งใครวะ”
นอกประตู มีเสียงชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อย “สวัสดีครับคุณผู้ชาย คุณสั่งเหล้าหรือเปล่า? ผมมาส่งให้คุณ”
เฉินซู้ทำเสียงฮึดฮัด กดซูหนานจือบนโซฟา เปิดประตูช่องเล็กๆ อย่างระมัดระวัง “เอามา”
“ขอโทษครับ คุณผู้ชาย บริการของเราคือต้องส่งเหล้าถึงในห้อง รบกวนคุณเคารพงานของเราด้วยครับ”
“ใครวะแม่งพูดมาก” เฉินซู้ด่าหยาบคาย “งั้นฉันยกเลิก อย่ามารบกวนฉัน!”
“ขอโทษครับ คุณผู้ชาย” ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย ยิ้มแปลกๆ “เหล้าของเราไม่สามารถยกเลิกได้ นอกจากว่า……”
“นอกจากว่าอะไร?” เฉินซู้รำคาญมาก
“นอกจากว่าคุณจะดื่มเหล้า” ชายหนุ่มยิ้มเรียบๆ พูดขึ้น
เฉินซู้เหลือบตามองเขาอย่างโกรธเคือง “ออกไป! กูไม่ดื่ม!”
ขณะที่พูด เขาจะปิดประตูอย่างไม่สบอารมณ์ แต่พบว่าอย่างไรก็ปิดไม่ได้
ชายหนุ่มยิ้ม มือข้างหนึ่งดันประตูได้อย่างสบายๆ
“คุณผู้ชาย ถ้าคุณไม่ดื่ม ผมจะรายงานกับเจ้านายไม่ได้” เขายิ้มอย่างผ่อนคลายธรรมชาติ
เฉินซู้โกรธจนหน้าเขียวปั้ด กำหมัดจ้องเขม็งเขา “ถ้าแกไม่ปล่อยมือ ฉันจะตะโกนให้คนมาฟ้องแก!”
“ถ้าทัศนคติคุณแย่แบบนี้ ไม่มีทางเลือก……” ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย ยกขวดเหล้าในมือขึ้นมา
เกิดเสียงดัง “เพล้ง” ตามด้วยขวดเหล้าแตกพร้อมเสียงตะโกนอันเจ็บปวดของเฉินซู้
ซูหนานจือใช้เข่าเอาผ้าขนหนูออก มองด้านหลังอย่างประหลาดใจ
เฉินซู้ตาเหลือกเป็นสีขาว เลือดผสมกับเหล้าไหลลงมาจากศีรษะ ทั้งร่างล้มลงกับพื้น
“พระเจ้า!” ซูหนานจือตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ยืนขึ้นทันที มองชายหนุ่มที่กำลังเช็ดมืออย่างใจเย็น
เธอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างสั่นเทิ้ม พูดขึ้นอย่างอึ้งๆ “ปั๋วจิ้นเซิน นี่คุณทำอะไร?”
ปั๋วจิ้นเซินเข้ามาในห้องอย่างเงียบสงบ สีหน้ามีรอยยิ้ม จับมือเธอเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง แค่ฟาดด้วยขวดเหล้าขวดเดียว เขาไม่ตายหรอก”
ซูหนานจือขมวดคิ้วมองเขา “”
“แต่ผมช่วยชีวิตคุณนะ ไม่ขอบคุณผมเหรอ?”
ปั๋วจิ้นเซินจูงเธอเดินออกมาจากห้อง แต่บังเอิญได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพอดี มาดามกู่วิ่งมาอย่างรีบร้อน
“พระเจ้าช่วย!” มาดามกู่มองโศกนาฏกรรมตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เงยหน้ามองซูหนานจือกับปั๋วจิ้นเซินด้วยความอึ้ง “นี่พวกคุณ……”
“รบกวนโทรเบอร์120” ปั๋วจิ้นเซินเอ่ยปากเรียบๆ หันตัวจะพาซูหนานจือออกไป
มาดามกู่ขมวดคิ้วหันศีรษะกลับไป คว้าแขนซูหนานจือไว้ “เดี๋ยวก่อน ซูหนานจือเธอไปไม่ได้! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เขาเป็นแขกเธอนะ!”
ซูหนานจือตกตะลึงวินาทีเดียว จากนั้นก็กำหมัดแน่น “มาดามกู่ เขาคือพ่อบุญธรรมของฉัน”
“ว่าไงนะ?” มาดามกู่มองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ “พ่อบุญธรรม?”
“รายละเอียด คุณถามเขาเองเถอะ” ซูหนานจือกัดฟัน
“แต่พวกคุณทำร้ายคนแล้วจะหนีไปแบบนี้เหรอ?” มาดามกู่ขมวดคิ้วเดินมาข้างหน้า ขวางทางเดินพวกเขาอีกครั้ง “เดี๋ยวถ้าขาพาตำรวจมา ฉันจะไปหาพวกคุณที่ไหน?”
ปั๋วจิ้นเซินคาดการณ์ไว้แล้ว หยิบบัตรหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋าวางไว้ในมือมาดามกู่ “เลขในบัตร เป็นเบอร์โทรเลขาผม ถ้าไม่พอให้ติดต่อเขา”
“อุ๊ยตาย” ท่าทีมาดามกู่เปลี่ยนไปทันที รีบเก็บใส่กระเป๋า ยิ้มอย่างประจบสอพลอ “ทำไมน่าเกรงใจจัง?”
เลขในบัตรเป็นเบอร์โทรเลขา……
ซูหนานจือกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ หรือว่าเลขในบัตรมีสิบเอ็ดหลักเหรอ?
ขณะที่มาดามกู่หัวเราะเบาๆ ปั๋วจิ้นเซินก็จูงมือซูหนานจือเดินออกไปจากบาร์
นั่งเข้ามาในรถ ซูหนานจือขมวดคิ้วมองเขา “คุณให้เงินมาดามกู่มากขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?”
ปั๋วจิ้นเซินนั่งเบาะคนขับ ยิ้มขณะสตาร์ตรถ “เบอร์โทรเลขาผมมีสามหลัก”
“ว่าไงนะ?”
“ติดต่อเบอร์เขา กดเลขสามหลักในโทรศัพท์ผมก็โทรติดต่อเขาได้” ปั๋วจิ้นเซินยกปากขึ้นเล็กน้อย
“นี่คุณ……”
ซูหนานจืออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ถือว่านับถือเขาอย่างแท้จริง
แสดงว่า มาดามกู่ไม่เพียงแต่ไม่ได้เงิน แต่ยังติดต่อปั๋วจิ้นเซินไม่ได้อีกด้วย
“ยังไงแล้ววันนี้ก็ขอบคุณนะคะ” ซูหนานจือเม้มปากพูดขึ้น “คุณปล่อยฉันที่สถานีรถ ฉันกลับบ้านเองก็ได้”
ปั๋วจิ้นเซินยิ้มเรียบๆ “บ้านคุณอยู่ไหน?”
“บ้านฉันอยู่……” ซูหนานจือลังเล “ช่างเถอะ คุณปล่อยฉันไว้ที่โรงแรมดีกว่า ฉันไม่อยากกลับไปเจอแม่บุญธรรมฉัน”
เรื่องพ่อบุญธรรมในวันนี้ มันทำให้เธอหงุดหงิดมากพอแล้ว
ปั๋วจิ้นเซินได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าเรียบๆ พาเธอไปข้างหน้าตลอดทาง
“เฮ้ คุณจะพาฉันไปไหน?” ซูหนานจือขมวดคิ้วเห็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยขึ้นเรื่อยๆ จึงเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้
ชายหนุ่มขับรถไปด้วย ยิ้มเรียบๆ เม้มปากไปด้วย “อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”
“แต่คุณจะขับมาถึงชานเมืองแล้วนะ” ซูหนานจือขมวดคิ้วมองไปยังสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง ใบหน้าเผยความกังวล
ปั๋วจิ้นเซินยิ้มเล็กน้อยเลิกคิ้ว “ไม่ต้องเป็นห่วง ผมขายคุณไม่ลงหรอก”
“……” ซูหนานจือแค่นั่งอย่างโดยดี
ในที่สุดก็ถึงสถานที่ เป็นคฤหาสน์สงบแห่งหนึ่ง ซูหนานจือมองข้อมูลการนำทางในโทรศัพท์ตัวเอง มองเขาอย่างประหลาดใจ “คุณขับมาถึงตะวันตกเมืองอันเลยเหรอ?”
“บ้านผมเอง” ปั๋วจิ้นเซินถือโอกาสจับมือเธอ ยิ้มอย่างไม่แยแส “คืนนี้ให้คุณอาศัยอยู่ชั่วคราว”
ซูหนานจือสะบัดเขาออกอย่างค่อนข้างปฏิเสธ “ล้อเล่นอะไร ฉันกับคุณ……”
“ไม่สนิทกับผมเหรอ?” ปั๋วจิ้นเซินเปิดประตู หันศีรษะกลับมามองเธอด้วยความหมายลึกซึ้ง “ไม่ต้องเป็นห่วง ผ่านคืนนี้ไปก็สนิทมากแล้ว”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปก่อน
ซูหนานจือยืนอยู่ด้านหลัง ถอนหายใจ
นี่เขตชานเมืองตะวันตกของเมืองอัน ดึกดื่นเดินหลงทางหรืออาจจะเจอคนไม่ดี ก็เป็นไปได้อย่างมาก
เธอเดินเข้าไปดีกว่า ทันใดนั้นก็มีคนรับใช้หนึ่งแถวยิ้มเล็กน้อยโค้งคำนับเธอ “คุณซู สวัสดียามค่ำค่ะ”
“สวัสดีค่ะทุกคน” ซูหนานจือพยักหน้าเรียบๆ รู้สึกไม่ค่อยเข้ากับที่นี่
แม้แต่คนรับใช้ยังรู้จักชื่อเธอ เดาว่าปั๋วจิ้นเซินคงคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าวันนี้จะพาเธอมา
ชายคนนี้ เป็นหนิงอวี้เฉิงคนที่สองจริงๆ
เพียงแค่เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของนักข่าวและสื่อมวลชนอย่างหนิงอวี้เฉิง
ชื่อของปั๋วจิ้นเซินถึงจะเป็นที่นิยมในเมืองอันอย่างมาก แต่ถ้าพูดถึงหน้าตาจริงๆ คนปกติที่โชคดีเคยเห็นเขานั้นมีแค่ไม่กี่คน
ดังนั้นวันนี้แม้แต่มาดามกู่ที่รู้จักชายหญิงทั้งเมืองอัน ก็จำปั๋วจิ้นเซินไม่ได้
น้ำในห้องน้ำใส่ไว้ให้ซูหนานจือเรียบร้อยแล้ว เธอเดินเข้ามาในห้องช้าๆ มองห้องที่ถูกตกแต่งไว้อย่างดี ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“ชอบไหม?” เสียงหัวเราะเล็กน้อยของปั๋วจิ้นเซินดังมาจากด้านหลัง “เพื่อให้คุณอาศัยอยู่ ผมพยายามไปไม่น้อย”
ซูหนานจือหันกลับไปยิ้มเรียบๆ “คุณไม่กลัวจริงๆ เหรอว่าฉันจะเปิดเผยที่อยู่บ้านกับหน้าตาคุณ? คงได้เงินไม่น้อยเลย”
“ถ้าทำแบบนั้นแล้วทำให้สาวสวยพอใจ ผมก็ยอม” ปั๋วจิ้นเซินเอานิ้วเกี่ยวคางเธออย่างขี้เล่น
ไม่กี่ประโยคของเขา ทำให้ซูหนานจือขนลุกไปทั้งชีวิต
“จะไปอาบน้ำเหรอ?” ปั๋วจิ้นเซินยิ้มแล้วพูดขึ้น “อยากให้ผมช่วยไหม?”
“ขอบคุณ แต่ฉันทำคนเดียวได้”
ซูหนานจือป้องกันตัวเองรอบด้านทันที ผลักเขาออกสุดแรง แล้วล็อกประตูอย่างรวดเร็ว
——
กลางดึกเงียบสงัด
เทียนสีแดงเอนเบาๆ ภายในห้องคลุมเครือ อาหารอร่อยมากมายและไวน์แดงสองแก้ววางบนโต๊ะสวยวิจิตร
บรรยากาศทุกอย่างเหมาะสมจนถึงที่สุด
ลู่ซูอวิ๋นหน้าแดงเล็กน้อย ยกแก้วเหล้าขึ้น ยิ้มเล็กน้อยให้กับหน้าหล่อของชายหนุ่ม “อวี้เฉิง คุณคิดว่าการตกแต่งพวกนี้เป็นยังไงบ้าง? ในงานแต่ง เราใช้เทียนชนิดนี้ ดีไหม?”
หนิงอวี้เฉิงดูเหม่อลอยเล็กน้อย พยักหน้า “คุณตกแต่งก็พอแล้ว”
“ไม่มั้ง” ลู่ซูอวิ๋นจับมือชายหนุ่มอย่างออดอ้อน เกาฝ่ามือเขาเบาๆ
การกระทำเล็กน้อยนี้ ทำให้หนิงอวี้เฉิงไม่มีสติเล็กน้อย
ในความทรงจำ แต่ก่อนซูหนานจือชอบเกาฝ่ามือเขาแบบนี้เหมือนกัน อยากเห็นท่าทางเขาจั๊กจี้ขอร้องขอความเมตตา แต่เธอผิดหวัง เพียงแค่เม้มริมฝีปากเล็กสวยกับความเอาแต่ใจของเขา
“อวี้เฉิง นี่งานแต่งคุณนะ ถึงจะเป็นครั้งที่สอง แต่ฉันก็คิดว่าเมินเฉยไม่ได้นะ” ลู่ซูอวิ๋นเลื่อนกรามลงมาอย่างตั้งตารอคอย ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาเหม่อลอยของชายหนุ่ม
“อืม” หนิงอวี้เฉิงได้สติกลับมา จิบเหล้าเรียบๆ “คุณออกแบบเรียบร้อยแล้ว ผมดูผ่านๆ รู้สึกโอเคก็พอแล้ว”
“รู้แล้ว” ลู่ซูอวิ๋นยิ้มขณะชนแก้วกับเขา “ฉันเข้าใจ ช่วงนี้ปั๋วจิ้นเซินมายั่วยุคุณอีกแล้วใช่ไหม คุณยุ่ง แต่ทั้งหมดนี้ค่อยเป็นค่อยไป รอจัดงานแต่งเรียบร้อย ฉันจะไปช่วยคุณที่บริษัท ดีไหม?”
“ร้านเสริมสวยของคุณก็ทำให้คุณกังวลมากพอแล้ว” หนิงอวี้เฉิงพูดอย่างเงียบสงบ “ปั๋วจิ้นเซินไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก ยังไงแล้วก็ติดต่อกับเขามายาวนานสิบปี พลังผมพออยู่แล้ว”
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ไม่จำเป็นต้องให้เธอทำอะไรเพิ่มเติม
ลู่ซูอวิ๋นเข้าใจความหมายชายหนุ่มดี ยิ้มกระอักกระอ่วน “งั้นก็ดีแล้ว”
เธอวางแก้วเหล้า ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “จริงสิ ช่วงนี้พ่อแม่จะกลับมาจากบราซิลแล้วใช่ไหม?”
“พ่อแม่คุณไม่ได้ไปเที่ยววันหยุดที่ซิดนีย์เหรอ?” หนิงอวี้เฉิงหั่นสเต๊กอย่างสง่างาม
“ฉันหมายถึงพ่อแม่คุณ” ใบหน้าลู่ซูอวิ๋นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเขินอาย “ก่อนแต่งงานก็เคยเรียกแบบนี้ ตอนนี้ก็ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว”
หนิงอวี้เฉิงผลุบตาลงอย่างสงบ “อืม เดี๋ยวจะกลับแล้ว”
“เมื่อไรอ่า ฉันจะไปรับที่สนามบินกับคุณ” ลู่ซูอวิ๋นถามอย่างรอไม่ไหว
“พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญไปรับส่ง ไม่ต้องให้เราเป็นห่วง”
คำตอบของเขา ขัดขวางความตั้งใจดีของเธอในภายหลังอีกครั้ง
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่ซูอวิ๋นจางลงไปทีละนิด
กลิ่นความขัดแย้งแพร่กระจายระหว่างทั้งสองคน
เงียบสักพัก ลู่ซูอวิ๋นก็วางมีดและส้อมลง มองเขาอย่างจริงจัง “อวี้เฉิง คุณคิดจะกลับคำพูดเหรอ?”
คำถามนี้ ก่อนหน้านี้เธออยากถามมาตลอด
ไม่รู้ว่าเมื่อไร แววตาที่หนิงอวี้เฉิงมองเธอมันไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อน นักสืบเอกชนที่เธอส่งไป ทุกครั้งจะส่งรูปที่เขาไปบาร์……
ในดวงตาเขา ค่อยๆ ยอมรับผู้หญิงอีกคนทีละนิด……
นี่มันทำให้ลู่ซูอวิ๋นรู้สึกวิกฤติและไม่สบายใจ ดังนั้นเธอจึงเสนอให้แต่งงานใหม่อย่างเด็ดขาด ไม่คิดว่าเขาจะตกลงอย่างรวดเร็ว
แต่ใกล้จะแต่งงาน หนิงอวี้เฉิงมีท่าทีธรรมดาตลอดเวลา ทำให้เธอไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
ระหว่างที่เธอคิด หนิงอวี้เฉิงก็วางมีดลงเบาๆ
เขาลุกขึ้นอย่างสงบ ไม่ได้ตอบคำถามเธอ “กลับบ้านเร็วๆ ล่ะ อย่าคิดเพ้อเจ้อ”
ลู่ซูอวิ๋นขมวดคิ้วมองเขาสวมเสื้อคลุม “อวี้เฉิง คุณจะไปแล้วเหรอ? สั่งอาหารมาอีกเยอะมาก……”