มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 79 : รับข้อมูล
นิยาย มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen)
ตอนที่ 79 : รับข้อมูล
ตอนที่ 79 : รับข้อมูล
วันที่ 3 – เวลา 08.11นาฬิกา – ศาลากลางเมืองบาควร์ ชั้น 4, Molino Boulevard,Bayanan, เมืองบาควร์, คาวิท
มาร์คซึ่งได้ถอดหน้ากากของเขาออกจากใบหน้าแล้วก็ได้นั่งลงตรงข้างหน้าชาเมนเธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอให้มาร์คฟังในขณะที่ก็กินอาหารที่มาร์คนามาให้เธอด้วย
จากเรื่องราวของเธอ เมื่อพวกผู้ติดเชื้อได้เข้ามามันก็ได้เกิดความโกลาหลรัฐบาลท้องถิ่นได้กําลังรอให้ทีมอพยพทหารมาก่อนที่การระบาดจะมาถึงพื้นที่นี้แต่ทีมอพยพนั้นก็ไม่เคยมาในตอนสุดท้ายตรวจและและหน่วยงานติดอาวุธของรัฐบาลอื่นๆพยายามที่จะอพยพประชาชนด้วยตัวเองแต่ก็ล้มเหลวอย่างน่าอนาถไม่ใช่เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นสูญเสียผู้คนและล้มเหลวในการอพยพทุกคนที่พยายามจะอพยพออกไปนั้นก็กลายเป็นผู้ติดเชื้อไปด้วย
“ดีนะที่เธอไม่อพยพไปกับพวกเขา”
มาร์คพูดในขณะที่จับแอ็บบีเกลไว้ตรงข้างหน้าและกอดเธอไว้เพื่อหยุดอารมณ์ที่ฉุนเฉียวของเธอเขาถ่ายทอดพลังอันสงบเงียบนั้นให้กับเธอและพยายามควบคุมมันที่ละน้อยมันได้ผลเมื่อเด็กสาวตัวน้อยเริ่มขดตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเขาและค่อยๆเข้าสู่ห้วงนิทราเขาก็ได้จัดการฝึกฝนความสามารถนี้ไปด้วยเช่นกัน
“จริงๆแล้วฉันต้องการที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาแต่คนอื่นๆผลักฉันออกไปพวกเขารีบเร่งเข้าไปหายานพาหนะนั้นซึ่งฉันแทบไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปถึงได้เลย”
ชาเมนพูดและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แต่อย่างไรการที่เธอไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มอพยพได้ก็ทําให้เธอปลอดภัยและเธอก็ได้เล่าเรื่องราวของเธอต่อไป
เมื่อไม่เหลือทางเลือกใดๆ ผู้คนที่สูญสิ้นความหวังในการอพยพก็ได้เข้าไปยังอาคารและพยายามสร้างสิ่งกีดขวางหลังจากนั้นการสังหารหมู่ก็ได้เกิดขึ้น
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ขนาดใหญ่นั่น?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่มาร์คถาม ชาเมนก็ส่ายหัว
“ต้นไม้เริ่มโตขึ้นเมื่อวาน ฉันคิดว่ามันใช้เวลาทั้งวันในการงอกพันธุ์ ไม่มีใครได้พักตลอดเวลาที่มันได้โตขึ้นตึกอาคารสั่นไหวสะเทือนเกินไปจนทุกคนนั้นกลัวว่ามันจะพังลงมา”
ในขณะที่เธอกําาลังเล่าเหตุการณ์เมื่อวาน ความเหนื่อยล้าในดวงตาของชาเมนก็เห็นได้อย่างชัดเจน
“กินเข้าไปและเพิ่มพลังกายของเธอไว้ จะได้ออกไปจากที่นี่หลังจากเธอฟื้นฟูร่างกายได้แล้ว”
ชาเมนมองไปที่มาร์คสักพักในขณะที่กําลังคิดถึงอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นการแสดงออกที่เด็ดเดี่ยวของเขาในที่สุดเธอก็พยักหน้า
“พี่คะ ฉันสามารถแบ่งอาหารเหล่านี้ให้ได้มั้ย?”
เธอหยิบแพ็คของขนมปังกรอบหลายและถามมาร์คไป
มาร์คไม่จําเป็นต้องมองไปที่คนอื่นๆเข้าก็สามารถสัมผัสความรู้สึกอิจฉาและความกระหายจากคนรอบๆตัวได้ในเมื่อพวกเขาได้เห็นอาหารที่มาร์คนํามาให้ชาเมนแม้กระทั่งการ์ดและตํารวจและสส.หญิงก็ยังไม่เว้น อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครกล้าขออาหารจากชาเมนในเมื่อมาร์คได้อยู่ตรงนั้นจากพฤติกรรมที่มาร์คได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้ทุกๆคนต่างก็คิดว่าเขานั้นเป็นคนโหดเหี้ยมและไม่สนกฎเกณฑ์ใดๆซึ่งเขาสามารถฆ่าใครก็ได้ที่เขาคับแค้นคับใจ
มาร์คถอนหายใจในขณะที่มองไปที่ชาเมน เด็กสาวคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปแต่อย่างใดเหมือนเมื่อหลายปีก่อนเธอนั้นไม่ใช่เป็นคนที่เสียสละแต่ก็ไม่เคยเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเช่นกันเธอจะแบ่งปันอะไรก็ตามที่เธอนั้นได้มามากกว่าคนอื่นเสมอ
“ก็ได้ แต่ให้แน่ใจว่าต้องเหลือให้เธออิ่มท้องนะ มันก็เหลือไม่เยอะแล้ว
เมื่อได้ยินที่เขาพูด ชาเมนก็รู้สึกอุ่นใจ เธอได้เรียกพยาบาลและให้แพ็คขนมปังกรอบแก่เธอไปแบ่งให้คนอื่นๆ แต่มันก็ไม่เพียงพอใดๆแต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้มีอะไรตกไปถึงท้อง
มาร์คได้ลูบไล้ศรีษะของเด็กสาวที่โหดเหี้ยมซึ่งทําให้ชาเมนนั้นมีความสนใจ
“พี่คะ พี่แต่งงานแล้วงั้นหรอ?”
สําหรับคําถามของเธอ มาร์คไม่รู้ว่าจะมีแสดงออกอย่างไร
“ฉันป่าว เธอคิดว่าจะมีใครจะมาตกหลุมรักคนที่ไม่มีค่าอย่างฉันได้หรอ?”
“พี่ยังคงตกหลุมรักใครยากเหมือนเดิมสิ้นะ ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าพี่ยังไม่ได้แต่งงานแล้วเด็กสาวคนนี้ล่ะ?”
“ลูกแมวที่ฉันรับเลี้ยงเข้ามาน่ะ”
“พี่คะ นี่ฉันกําลังถามจริงจังอยู่นะ”
“ฉันรับเธอเข้ามาเลี้ยงจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น”
ชาเมนมีคําถามมากมายเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้แต่ก็ต้องถูกหยุดเอาไว้เมื่อมาร์คนั้นยัดชิ้นขนมปังเข้าไปในปากของเธอ
“เธอถามมากเกินไปแล้ว แค่มีสมาธิอยู่กับการกินก็พอ”
เธอมองไปที่พี่ชายของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้น เขาก็แค่ต้องบอกเองถ้าเขาอยากให้เธอหยุดพูดเขาไม่เห็นจําเป็นต้องยัดชิ้นขนมปังเข้าไปในปากของเธอเลย!
เมื่อแอ็บบีเกลกําลังหลับไหล มาร์คพยายามดึงตัวเธอออกและอุ้มเธอนอนลงไปกับพื้นข้างๆชาเมนแต่เมื่อเขาพยายามจะทําอเช่นนั้น แอ็บบีเกลก็ได้ตื่นขึ้นมาทันที
“เกล แค่นอนนิดหน่อยจะได้มั้ย?
เด็กสาวตัวน้อยขยี้ตาของเธอและตอบกลับไป
“ไม่ ถ้ปะป๋าจะไป หนูก็จะไปด้วย”
มาร์คมองไปที่เด็กสาวตัวน้อยเธอไม่คุ้นเคยกับใครที่อยู่ที่นี่ดังนั้นเธอไม่ต้องการที่จะถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวเขาไม่สามารถตาหนิเธอได้เช่นกันในเมื่อเธอไม่ได้ตั้งใจจะไปทําร้ายใคร…อย่างน้อยก็มาร์คและชาเมนที่เธอจะไม่ทําร้ายแน่นอน
“ก็ได้ แต่ห้ามทําอะไรโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาต
แอ็บบีเกลพยักหน้า
“ชาม ฉันจะไปคุยกับพวกเขาสักหน่อย กินอาหารเธอให้เสร็จนะ”
“พี่คะ อย่าสู้กับพวกเขานะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทําหรอก ถ้าพวกเขาไม่เริ่มก่อนนะ”
มาร์คพร้อมกับแอ็บบีเกลปล่อยชาเมนทิ้งไว้ให้อยู่กับพยาบาล
ชาเมนมองไปที่หลังของเขาขณะที่เขาเดินออกไป เธอนั้นกังวลมากๆว่ามาร์คนั้นจะสู้กับสส.หญิงและการ์ดของเธอ ดูเหมือนว่าพี่ชายของเธอนั้นเปลี่ยนไปมากในหลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นคนเงียบและขี้กลัวมาตลอดแต่ตอนนี้เขานั้นมีนิสัยที่ไม่มีใครควบคุมเขาได้และก็ได้กล้าหาญขึ้นหลายเท่า
มาร์คเข้าไปหากลุ่มของสส.หญิงและถูกน่าให้เข้าไปยังสํารักงาน แน่นอนว่าในฐานะสส.หญิงนั้น สานักงานของเธอก็ไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่นี่สํานักงานที่มาร์คถูกนํานั้นจริงๆแล้วเป็นสํานักงานนายกเทศมนตรีมันทําให้มาร์คเกิดคําถามขึ้นมาในใจ
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับนายกเทศมนตรีล่ะ?”
แต่อย่างไรก็มาร์คก็ไม่มีความคิดที่จะเอ่ยค่าถามนั้นออกไป มันไม่ยากที่จะเดาเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายกเทศมนตรีคนนั้น
เมื่อมาร์คเข้าไป สส.หญิงก็เชิญให้เขานั่งตรงหน้าโต๊ะของนายกเทศมนตรีและเธอก็ได้นั่งหลังโต๊ะนั้นบอดี้การ์ดได้ยืนอยู่ข้างประตูในขณะที่พวกตํารวจนั้นยืนอยู่ข้างๆ เธอมาร์คนั่งลงบนเก้าอี้และแอ็บบีเกลก็ได้นั่งตักของเขา
“ฉันอยากขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเราไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะผลักน้องสาวของนายออกไปและฟังวิทยุนั่น”
คุณนายเลนี่ได้แสดงท่าทีขอโทษเสียใจ มาร์ครู้สึกได้ว่าเธอนั้นรู้สึกขอโทษจริงๆแต่มันก็ดูไม่เหมือนว่ามาร์คนั้นยอมรับค่าขอโทษนั้น
“ฉันไม่สนใจค่าขอโทษของเธอหรอก ความเสียหายได้เกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วและฉันได้ลดการชดใช้ค่าเสียหายมากที่สุดที่จะเป็นได้ให้ไปแล้วที่จริงอย่างน้อยฉันก็ต้องการวิทยุที่ทดแทนของที่เสียหายไปแต่ฉันไม่ต้องการรุ่นที่มันล้าสมัยที่รัฐบาลให้กับพวกตํารวจและทหาร”
“นาย!”
นายตํารวจกาลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่สส.หญิงก็ได้ห้ามเอาไว้ก่อนโดยที่ยกมือของเธอขึ้นมา
“ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆที่คุณลดค่าเสียหายที่คุณต้องการ เราไม่มีอะไรจะให้คุณจริงๆถ้าคุณไม่มียอมทําแบบนั้น”
มาร์คมองไปตรงที่เธอ
“จริงๆแล้วพวกคุณไม่ใช่คนที่จะต้องชดใช้แต่เป็นชายคนนั้นต่างหาก ทําไมคุณต้องไปรับผิดชอบให้มันด้วย?”
“คุณไม่เข้าใจหรอก นักการเมืองอย่างพวกเรานั้นจําเป็นต้องพึ่งเส้นสายในการทําหลายๆสิ่ ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อพวกเราแต่ก็รวมไปถึงประชาชนด้วยชายคนนั้นมีญาติอยู่ในวุฒิสภาและพวกเขาก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพรรคของเรา”
มาร์คพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ
“กลับไปก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ ฉันอยากถามเธอเกี่ยวกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือพวกเรา”
เธอนั้นก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีเมื่อจู่มาร์คก็เปลี่ยนเรื่องคุยไป แต่เธอก็ทําอะไรไม่ได้ในเมื่อเรื่องมันมาแบบนี้เธอก็ได้ตอบคําถามของมาร์คไปตามขั้นตอนแต่ก่อนอื่น…
“คุณช่วยแนะนําตัวเองก่อนที่ได้มั้ย? ฉันมีเวลาที่แย่ๆในการจะพบว่าควรเรียกคุณว่าอะไรดี”
มาร์คก็ได้รู้สึกโกรธเคือง เมื่อการแนะนําตัวเองเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาเกลียดที่จะทํา
“มาร์ค เรียกแค่มาร์คก็ได้”
“มาร์คงั้นหรอ?”
มาร์คพยักหน้า
“ตอนนี้ ตอบคําถามของฉันมา”
คุณนายเลนก็ได้วางมือไว้บนโต๊ะและตอบคําถาม
“จริงๆแล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าต้นไม้นั้นมาจากไหนหรือว่าทําไมมันถึงได้งอกโตใต้อาคารนี้แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็รู้ว่าผู้ติดเชื้อข้างนอกนั้นถูกดึงดูดโดยต้นไม้ต้น
“คณกาลังพูดถึงผู้ติดเชื้อที่มีผิวเป็นเปลือกไม้และผู้กลายพันธุ์ขนาดร่างใหญ่ที่อยู่ข้างหลังตึกใช่มั้ย?”
“ใช่แล้ว พวกมันเริ่มปรากฏตัวเมื่อต้นไม่ได้เจริญเติบโต เนื่องจากพวกเราได้ว้าวุ่นอยู่กับการพยายามต้านทานแรงสั่นสะเทือนในขณะที่ต้นไม้เติบโตขึ้นก็ไม่มีใครเห็นว่าผู้ติดเชื้อนั้นเปลี่ยนไปเป็นแบบนั้นได้อย่างไร”
มาร์คก็ได้นิ่งเงียบไปเมื่อหนึ่งในทฤษฎีของเขาก็ถูกพิสูจน์ ต้นไม้ขนาดใหญ่นั้นมีการเชื่อมต่อกับมนุษย์ต้นไม้
“ถ้าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับต้นไม้นั่น ฉันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากข้อตกลงนี้งั้นสิใช่มั้ย?”
ในเมื่อมาร์คยกประเด็นนี้ขึ้นมา สส.หญิงก็ได้รู้สึกร้อนรน
“ไม่เป็นไร เพียงแค่บอกข้อมูลศูนย์บัญชาการตํารวจให้กับฉันมาก็พอ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
คุณนายเลนผายฝ่ามือซ้ายของเธอออก
“นี่คือหัวหน้ามัลลาร์ ในฐานะหัวหน้าสาขาต่ารวจท้องที่ของเรา เขาเป็นคนรู้เรื่องนี้ดีที่สุด”
ในเมื่อเขาถูกแนะนําตัว หัวหน้ามัลลาริก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่มาร์คต้องการจะรู้เขายังแสดงภาพร่างคร่าวๆให้มาร์คดูว่าแผนผังชั้นของศูนย์บัญชาการนั้นเป็นอย่างไรตั้งแต่แผนกต้อนรับจนถึงคลังอาวถธทุกสิ่งอย่างก็แสดงให้มาร์คได้เห็น
“โอเค นั่นก็เพียงพอแล้ว”
มาร์คนาภาพร่างแผนผังมาม้วนและเก็บเข้าไป
จากนั้นคุณนายเลนก็ถามออกไป
“ฉันอยากจะถามหน่อยน่ะ นายไม่มีความคิดที่จะช่วยคนอื่นๆออกไปจากที่นี่หน่อยหรอ?
“อย่ารบกวนถามอะไรแบบนั้นเลย ฉันไม่ช่วยหรอก”
“ทําไม?”
“ทําไมฉันต้องช่วย? พวกคุณไม่ได้ทําอะไรให้แก่ผมสักหน่อย มากไปกว่านั้นพวกคุณจะกลายเป็นสิ่งก่อกวนและความน่ารําคาญถ้าผมช่วยพวกคุณ”
หัวหน้าตํารวจ และต่ารวจและบอดี้การ์ดซึ่งได้ยินแบบนั้นก็ขุ่นเคืองมันพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง?
ในขณะที่สส.หญิงนั้นก็ยังคงใจเย็น และมาร์คก็กล่าวต่อ
“อย่างแรก ฉันพบว่าใครหลายคนในขนาดกลุ่มคนจํานวนเยอะแบบนี้และด้วยความสามารถในการต่อสู้ที่ต่ำก็จะจบลงด้วยการตาย กลุ่มขนาดใหญ่นั้นถูกจับตาได้ง่ายและยากที่จะซ่อนตัวอย่างที่สองฉันไม่มีที่ที่จะให้พวกคุณไปอยู่ได้หรอกฉันไม่สามารถคุ้มครองพวกคุณไปถึงเมืองเบย์ได้หรอกอย่างที่สามพวกคุณสามารถจัดหาอาวุธสําหรับตัวเองได้งั้นหรอ?การต่อสู้อันโหดเหี้ยมจะต้องมาเยือนกลุ่มพวกฉันแน่ๆและฉันไม่อยากที่จะต้องมารับผิดชอบคุณอาจจะมีบอดี้การ์ดแต่พวกคนที่เหลือนั้นเขาไม่มีอะไรกันเลย”
ชายที่อยู่ข้างในนั้นก่าหมัดแน่นแต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปต่อต้านเขาสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดมันคือเรื่องจริง
จากนั้นมาร์คก็ยืนขึ้นและวางแอ็บบีเกลลงบนพื้น
“นายจะไปแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่น่ะสิ ฉันได้สิ่งที่ฉันต้องการไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ”
“อย่างนั้นหรอ?”
สส.หญิงนั้นมีใบหน้าอันขมขื่น มันไม่มีทางอื่นที่จะได้ให้ความร่วมมือกันอีกแล้ว
“นายจะไม่พาคนของฉันไปเอาอาวุธออกมาจากศูนย์บัญชาการต่ารวยด้วยงั้นหรอ?พวกเขาสามารถช่วยนายได้นะ”
“ช่วยแบบไหนล่ะ? หากพวกเขายินดีที่จะเป็นผู้ให้บริการสัมภาระฉันพาไปด้ว ยก็ได้”
ตอนนี้พวกกลุ่มชายนั้นโกรธมาก พวกเขาได้รับการฝึกฝนเพื่อมาให้เป็นหน่วยรบ และตํารวจ! เขาหมายความว่ายังไง? เขาพูดอะไรออกมานะ?
เมื่อรู้ว่าคนรอบตัวเขานั้นคิดอะไรอยู่ มาร์คก็ได้หัวเราะเยาะออกมา
“พวกนายไม่ต้องพยายามถือศักดิ์ศรีเอาไว้ก็ได้นะ ฉันรู้ว่าพวกนายไม่ได้กินอะไรกันตั้งแต่เมื่อคืนพวกนายมีพลังงานสํารองและพวกนายจะสามารถช่วยได้งั้นหรอ? อย่าทําให้ฉันจําเลยใช้พลังงานนั่นหาอาหารของพวกนายมากกว่าการมาเป็นคนแบกของให้ฉันดีกว่า”
มาร์คก้าวออกมาจากห้องพร้อมกับแอ็บบีเกลที่ติดตามออกมาอยู่ข้างหลังเขา
ผู้คนข้างในถูกทิ้งไว้ด้วยความโกรธและความพูดไม่ออก
สส.หญิงก็ได้ล้มตัวลงไปกับโต๊ะ
“คุณนาย โอเคมั้ยครับ?
หัวหน้ามัลลาริถามออกมา
“ฉันไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกเครียดและหิว มันยากมากที่จะเจรจากับชายคนนั้น”
“ใช่แล้ว เขาเต็มไปด้วยความโมโหร้ายและดูแคลนพวกเรา มันไม่แปลกใจที่คุณนายจะมีเวลาที่ยากลาบากในการเสวนากับเขา”
หนึ่งในบอดี้การ์ดกล่าวออกมา
“พวกนายทุกคนดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่นายพูดก็ถูกแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลฉันแค่รู้สึกว่าชายคนนั้นรู้ว่าฉันและพวกนายก่าลังคิดอะไรอยู่เขาไม่เหลือช่องโหว่ให้เราเอาเปรียบได้เลย”
“ไม่น่าเป็นไปได้นะ? คุณนายครับ แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอ?”
บอดี้การ์ดอีกคนได้ถามขึ้นแต่คนที่ตอบขึ้นมากลับเป็นหัวหน้ามัลลาร์
“ฉันก็สังเกตได้ว่าชายคนนั้นสามารถอ่านใจพวกเราได้”
จากนั้นพวกเขาก็ได้เข้าสู่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรต่อ