มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 76 : เริ่มแผนการ
ตอนที่ 76 : เริ่มแผนการ
วันที่ 3 – เวลา 07:43 นาฬิกา – ศาลากลางบาควร์ ชั้น 4, Molino Boulevard, Bayanan, เมืองบาควร์, คาวิท
ชาเมนมองไปที่วิทยุพกพาที่อยู่ในมือของเธอด้วยความตกใจ
“เขามาที่นี่? ทําไม? เขาหาฉันเจอได้ยังไง?
ความถามเหล่านั้นดังก้องอยู่ในใจของเธอ แต่เธอไม่ได้มีความคิดที่จะถามมันออกไป เธอแค่อยากออกไปจากขุมนรกนี้เสียที
แต่จากนั้นเธอก็จาได้ว่าทําไมพวกเธอถึงมาติดกับอยู่ที่นี่
“พี่คะ! อย่ามาที่นี่ มันอันตราย!”
เธอตะโกนออกไปด้วยความเป็นห่วง ช่างเป็นเด็กสาวที่แสนดีอะไรเช่นนี้ เธอรู้สึกอ่อนแอและไม่มีความสามารถที่จะหนีไปจากที่นี่ได้โดยปราศจากความช่วยเหลือของคนอื่น แต่เธอก็รู้สึกยังไม่อยากที่จะรบกวนใคร โดยเฉพาะพี่ชายของเธอคนนี้ที่ไม่ได้ ติดต่อกับพวกเธอมาหลายปี แต่ก็ยังอุตส่าห์มาช่วยเธอถึงที่นี่
มีผู้ติดเชื้อมากมายที่อยู่ข้างนอกอาคารและรอบๆพื้นที่ และยังมีมนุษย์ต้นไม้และมนุษย์ต้นไม้ที่มีร่างใหญ่กว่าเดินอยู่ทั่วๆถนน
หลังจากนั้นชาเมนก็ได้ยินคําตอบกลับของมาร์ค
“ฉันเห็นสถานการณ์หมดแล้วและฉันคิดแผนที่จะไปรับเธอแล้ว ฉันจะไปถึงที่นั่น ภายในไม่กี่นาที เก็บวิทยุพกพาไว้กับเธอด้วย เข้าใจมั้ย?”
โดรนที่จอดลงต่อหน้าเธอนั้นก็ได้เริ่มบินขึ้นไปด้วยเสียงดังกระหมที่มาจากใบพัดทั้งสี่ของมัน
มาร์คบังคับโดนในขณะที่เขาเห็นว่าชาเมนมองโดรนที่กําลังบินออกไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเสียงดังกระหึมของโดรนเพิ่งจะบินได้สูงระดับหนึ่งก็มีใครบางคนคว้าวิทยุจากมือของชาเมนไปและยังได้ผลักเธอออกไปอีกด้วย
มาร์คขมวดคิ้ว เขาเริ่มมีอาการหงุดงิด
คนที่คว้าวิทยุออกไปนั้นคือชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นจ้องไปที่กล้องที่อยู่ที่โดรนและพูดไปกับวิทยุ
“นี่! แล้วพวกเราล่ะ! นายต้องช่วยพวกเราด้วย!”
หน้าด้านอะไรขนาดนี้ หลังจากสิ่งที่ชายคนนั้นได้ทํากับชาเมนเขาก็ยังกล้ามองไปที่กล้องอย่างมีความหวัง โชคร้ายไปหน่อยที่คําตอบที่เขาจะได้รับนั้นพอที่จะทําให้เขาหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
“เมื่อฉันไปถึงที่นั่น สิ่งแรกที่ฉันจะทําคือฆ่านาย”
เสียงนั้นดูนิ่งสงบและเย็นชาแต่นั่นเป็นการขู่โดยทําให้ฝ่ายตรงข้ามถึงกับพูดไม่
ออก
ชายคนนั้นก้าวถอยหลังออกไปด้วยความกลัวแต่จากนั้นเขาก็ตั้งสติได้ เขาจะกลัวค่าข่แบบนี้จริงๆหรอ? เขารู้สึกละอายและจากความละอายได้กลายเป็นความเคืองโกรธ เขาทุบวิทยุไปกับพื้นต่อหน้ากล้องและวิ่งหนีออกไป
ชาเมนที่น้ําตาไหลออกมาได้คลานไปหาวิทยุที่แตกไปแล้ว ความพยายามที่จะต่อวิทยุชิ้นต่อชิ้น แต่แน่นอน มันไม่สามารถซ่อมได้ด้วยสภาพพังแบบนั้นได้แน่
***
เมื่อเห็นจากหน้าจอมอนิเตอร์ ทุกๆในยานพาหนะต่างก็โกรธเคือง แม้กระทั่งแอ็บบีเกลที่อยู่เงียบๆมาเสมอได้มองไปที่มาร์คและถามออกไป
“เราจะไปฆ่าชายคนนั้นมั้ยปะป๋า?”
ปะป๋าของเธอไม่ได้ตอบกลับไปแต่ยังคงมีสีหน้าที่โกรธเคืองปรากฏอยู่บนใบหน้า
จะตัดสินใจชะตากรรมชีวิตของชายคนนั้นไว้ทีหลัง
เมื่อเห็นลักษณะท่วงที่ที่น่าเวทนาของชาเมนจากจอมอนิเตอร์ มาร์คอดทนไม่ไหวอีกต่อไปและต้องการเข้าไปยังสถานที่นั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ในตอนนั้นเองที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาชาเมนด้วยความตื่นตระหนกและดึงเธอกลับไปยังจุดที่เธอพักอยู่ก่อนหน้านี้ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนเธออายุยี่สิบปลายๆ และสวมชุดเครื่องแบบพยาบาล มาร์คไม่ได้เห็นเธอจากหน้าต่างก่อนหน้านี้
เมื่อมองไปที่เธอที่กาลังมองท่าทางที่น่าเวทนาของชาเมนพร้อมกับพยายามซ่อมวิทยุไปด้วย ในขณะนั้นเธอก็ได้ชําเลืองมองไปที่โดรนอย่างใจเย็น ดูเหมือนว่าเธอนั้นไม่ได้รู้เรื่องราวว่าได้เกิดอะไรขึ้นในตอนนี้
***
ภายใต้การจ้องมองของชาเมนและการมองอย่างระมัดระวังของพยาบาล โดรนก็หันไปรอบๆสถานที่ ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่บังคับโดรนนั้นกําลังตรวจสอบสถานที่จากนั้นมันก็ได้หยุดในขณะที่กําลังมองไปที่ชายที่ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังกลุ่มของสส.หญิง
สส.หญิงนั้นดูมีสีหน้าที่กระอักกระอ่วน เธอก็มีความคิดที่อยากจะขอความช่วยเหลือจากคนที่บังคับควบคุมโดรนด้วยเช่นกัน เธอนั้นกําลังรอเวลาที่เหมาะสมและขอความช่วยเหลือผ่านทางวิทยุออกไปอย่างสุภาพ ตั้งแต่หญิงสาวที่อ่อนแอนั้นนอนอยู่ที่พื้นที่ได้กาลังพูดกับวิทยุ สส.หญิงนั้นก็ได้แต่รออย่างอดทน
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะสามารถทําอย่างนั้นได้ ชายคนนั้นก็ทําให้สถานการณ์มันแย่ลง แต่เธอก็ทําอะไรกับชายคนนั้นไม่ได้
ชายคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทเอกชนที่เป็นที่รู้จักกันในบากัวร์และมีการติดต่อกับรัฐบาลท้องถิ่นมากมาย นอกจากนี้ชายคนนั้นยังมีความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกันกับรัฐบาลและตาแหน่งของเขานั้นก็สูงกว่าตําแหน่งของเธอในฐานะสส.หญิง
สส.หญิงนั้นได้ถอนหายใจ เธอรู้ว่าโอกาศในการได้รับความช่วยเหลือตอนนี้นั้นเหลือน้อยมาก แม้กระทั่งคนรอบๆตัวพวกเขายังมีสีหน้าที่กระอักกะอ่วนเมื่อได้มองที่ชายคนนั้น ถ้าหากเขาอยากจะขุดหลุมตัวเอง ทําไมจะต้องลากคนอื่นลงหลุมไปกับเขาด้วยนะ?
ตํารวจและบอดี้การ์ดของสส.หญิงนั้นก็ได้มีอารมณ์ที่เดือดดาลอยู่ข้างในเมื่อพวกเขาได้ชําเลืองไปที่ชายคนนั้น ถ้าหากว่าสส.หญิงนั้นสั่งให้จําากัดมัน พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะยิงไปที่มันแน่นอน
โดรนนั้นก็บินจากไปยังที่มันได้เข้ามาภายใต้สายตาของทุกๆคน พวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้ว่าคนที่อยู่ภายใต้การบังคับโดรนนี้จะมาไม่เร็วก็ช้านี้
ชายคนที่ทุบวิทยุก็ได้มีความแห่งที่ต่างออกไป ด้วยจํานวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ด้านใน ชายคนที่อยู่เบื้องหลังโดรนนี้คงจะตายไปก่อนที่เขาจะได้เข้ามายังภายในตึกนี้อย่างแน่นอน เขายังหวังว่านั้นจะเกิดขึ้น เขาไม่อยากยอมรับหรือแสดงออกมาทางสีหน้าแต่มีอะไรบางอย่างที่ทําให้รู้สึกเขากลัวเมื่อได้ยินเสียงนั้นออกมาจากวิทยุและนั่นท่าให้เขาสับสนและทําอะไรออกไปโดยที่ไม่คิด
กลับมายังภายในยานพาหนะ มาร์คก็ได้เตรียมพร้อม คนอื่นๆก็ช่วยแอ็บบีเกลให้แอ๊บบเกลเตรียมตัวให้พร้อม
สําหรับการดําเนินการ มาร์คจะไปกับแอ็บบีเกล แน่นอนว่าเขานั้นจําเป็นต้องอุ้มชาเมนออกมาและความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นก็ลดลงอย่างมาก ในกรณีนั้น เขาจําเป็นต้องพาใครบางคนไปด้วยและคนที่เป็นไปได้ที่สุดที่จะพานั้นคือแอ็บบีเกล แม้ว่าเธอยังเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ แต่กายภาพด้านการต่อสู้ของเธอนั้นอาจจะสูงกว่าปะป๋าของเธอด้วยซ้ํา
โอเดลินานั้นทําหน้าที่ขับยานพาหนะและแน่นอนว่าเหมยนั้นทําหน้าที่หลอกล่อผู้ติดเชื้อออกไปจากจุดสกัด
ในตอนนี้นั้น เหมยคือคนที่บังคับโดรนให้กลับมายังที่รถ นั่นถือว่าเป็นการฝึกซ้อมสําหรับเธอเมื่อพวกเขาจําเป็นต้องมีใครบางคนที่ทําหน้าที่นี้ เหมยกกะตือรือร้นที่จะท่ามันในเมื่อเธอนั้นต้องการที่จะช่วยแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม เธอไม่อยากเป็นแค่ใครบางคนที่เป็นภาระของกลุ่ม
มาร์คสวมใส่แจ็คเก็ตสีดําอย่างเช่นเคยแต่ตัวที่เขาสวมใส่อยู่ตอนนี้นั้นมีกระเป๋าหลายช่องอยู่ตรงหน้าอก หน้าท้องและด้านข้าง เขายังคงสวมเข็มขัดนิรภัยและใส่ของหลายอย่างไปที่กระเป๋าเข็มขัด ที่แขนของเขามาร์คสวมปลอกแขนโลหะที่ล็อคด้วยหัวเข็มขัดชุดเกราะเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นโดยใช้วัสดเดียวกับที่ใช้ในการปรับแต่งรถ
สําหรับศรีษะของเขา เขาสวมหมวกกันน็อกสําหรับเล่นสเก็ตและแว่นตาใสคู่หนึ่งสําหรับดวงตาของเขา เขายังปิดปากด้วยหน้ากากมอเตอร์ไซค์
ในทางกลับกันแอ็บบีเกลนั้นสวมชุดเดรสกระโปรง แม้ว่าจะออกมาจ้างห้างสรรพสินค้าแล้วก็ตาม เด็กสาวคนนี้ไม่ต้องการใส่ชุดแบบอื่นๆนอกจากสไตล์นี้เท่านั้น เธอกล่าวอีกว่าแม่ของเธอนั้นซื้อเสื้อผ้าแบบนี้ให้เธอสวมใส่ตลอด ในเมื่อเด็กสาวคนนี้ไม่ยอมลดละเกี่ยวกับกับการเปลี่ยนสไตล์เสื้อผ้า ปะป๋าของเธอจึงตัดสินใจสร้างอุปกรณ์หลายอย่างที่เหมาะสมให้กับเธอ
เมื่อมาร์คสังเกตเกี่ยวกับตัวแอ็บบีเกลแล้ว เธอนั้นไม่ค่อยใช้แขนในการต่อสู้ สิ่งที่เธอใช้ในการต่อสู้หลักๆเลยคือขาของเธอ เขายังเห็นอีกด้วยว่าศักยภาพทางกายภาพทางการต่อสู้ของเธอนั้นสูง มันไม่ได้เกี่ยวกับกาลังแรงของเธอแต่เกี่ยวกับความเร็วในการต่อสู้ของเธอ ด้วยลักษณะเหล่านี้มาร์คได้ปรับเปลี่ยนรองเท้าให้กับเธอและเพิ่มอุปกรณ์โลหะรอบๆ พื้นรองเท้าโดยมียางด้านในช่วยลดแรงกระแทกที่เท้าของเธอจะได้รับ นอกจากนี้เขายังตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของเธอนั้นแข็งแรงคงทน แต่จะไม่ขัดขวางความสะดวกในการเคลื่อนไหวของเธอ เขายังทําถุงมือโลหะคู่หนึ่งและเกราะโลหะขนาดเล็กคู่หนึ่งสําหรับเด็กสาวตัวเล็กๆคนนี้
สําหรับศรีษะของเธอ เธอสวมหมวกสเก็ตที่ออกแบบมาสําหรับเด็ก เธอไม่ต้องการสวมใส่อะไรไว้บนใบหน้าของเธอด้วยเหตุผลบางอย่าง ดังนั้นมาร์คจึงไม่ไปบังคับเธอ
สําหรับอาวุธนั้น มาร์คได้นํามีดด้ามยาว และปืนไรเฟิลที่เก็บเสียง และปืนพกเก็บเสียง ในขณะที่มาร์คให้แอ็บบเกลเก็บปืนพกไว้ในกรณีฉุกเฉิน แม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะไม่ได้ฝึกใช้มัน แต่มั่นใจว่ามันจะต้องมีประโยชน์สําหรับเธอแน่นอน
มาร์คยังได้นํากระเป๋าสะพายซึ่งบรรจุไปด้วยอาหารพลังงานสูงแต่น้ําตาลต่าและเครื่องดื่ม อย่างน้อยเธอน่าจะได้ป้อนอาหารให้กับชาเมนก่อนที่จะพาเธอออกมา
เขาต้องการเตรียมระเบิดขวดโมโลตอฟไว้ด้วย แต่เขาไม่มีน้ํามันเบนซินที่จะใช้เติมขวด และไม่สามารถใช้น้ํามันดีเซลได้เนื่องจากติดไฟได้ดีกว่าและมันไวไฟมาก เขาทําได้แค่นําถังสเปรย์บิวเทนได้เพียงสองถังซึ่งควรจะใช้ในการเติมเชื้อไฟ
เกี่ยวกับผลไม้ที่โอเดลินาและแอ็บบีเกลต้องการ เขาตัดสินใจว่าจะนํามาทีหลัง ตอนนี้การที่ต้องนําตัวชาเมนออกมาจากที่นั่นนั้นสําคัญที่สุด
และตอนนี้ก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติตามแผน
รอบๆพื้นที่นั้นโดรนก็ได้บินต่าประมานแปดฟุตจากพื้น ในขณะที่ค่อยๆเคลื่อนไหวไปตามถนนอย่างช้าๆ มันก็ได้เริ่มรวบรวมความสนใจของผู้ติดเชื้อเอาไว้ สําหรับตัวที่ถูกดึงดูดความสนใจให้กับโดรนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นซอมบี้นักกัด ในขณะที่ซอมบี้นักกระหายที่เชื่องช้ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ นั่นคือสิ่งที่มาร์คได้สังเกตเจอจากผู้ติดเชื้อเหล้านี้ ซอมบี้นักกัดนั้นอ่อนไหวต่อเสียงต่างๆได้ง่าย แต่ซอมบี้นักกระหายนั้นจะมีปฏิกิริยากับเสียงของมนุษย์เท่านั้น และนั่นเป็นสาเหตุว่าทําไม…
วิทยุได้ถูกติดอยู่ข้างใต้ของโดรนและเริ่มเพิ่มเสียงให้ดังสุด เสียงเด็กสองคนนั้นได้ยินออกมาจากวิทยุและดึงดูดซอมบี้นักกระหายที่อยู่รอบๆโดรน นั่นคือเสียงของลูกๆโอเดลินา พวกเขาทําหน้าที่ในการสร้างเสียงรอบๆโดรน
ความเร็วในการบินของโดรนนันช้แต่มันก็เกิดในระดับหนึ่งเมื่อซอมบี้นักกระหายนั้นเคลื่อนไหวได้ช้อยู่
ภายในศาลากลางนั้น หนึ่งในผู้รอดชีวิตนั้นสังเกตได้ถึงความชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้านนอกและนั่นดึงดูดความสนใจให้กับเหล่าผู้รอดชีวิต เมื่อคนอื่นๆมองไปที่ถนนที่อยู่ข้างหน้าศาลากลาง พวกเขาเห็นขบวนผู้ติดเชื้อขนาดใหญ่ ไม่สิ ไม่ใช่ขบวนหรอก แต่จริงๆแล้วเป็นผู้ติดเชื้อมากกว่าสิบตัวกาลังถูกนําทางโดยโดรนที่คุ้นเคย
พวกเขาทั้งหมดนั้นมองดูโดรนที่น่าทางผู้ติดเชื้อเป็นสิบๆตัวออกไป และกลุ่มของมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและมีผู้ติดเชื้อพลัดหลงเข้ามาเพิ่ม นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าผู้ติดเชื้อบางคนสังเกตเห็นว่าโดรนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถกัดและได้ออกจากฝูงชน
แต่อย่างไรก็ตามผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ก็ได้ไล่ตามโดรน และพวกมันส่วนใหญ่นั้นก็เป็นผู้ติดเชื้อที่วิ่งเร็ว พวกเขามองดูโดรนนําทางผู้ติดเชื้อออกไปจนกระทั่งไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาอีกแล้วหลังจากที่มันได้บินไปทางข้างหลังของตึกผ่านทางทิศเหนือไป
จากนั้นพวกเขาก็เห็นยานพาหนะที่มาจากทิศทางของถนน มันเป็นรถตู้สีดําขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์เหล็กเสริมแต่งอยู่ตามคันรถ นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นแผงโซลาร์บนหลังคาของรถและแผงหน้าปัดรูปตัววีขนาดกว้างด้านหน้า พวกเขาไม่สามารถมองเห็นด้านในของรถได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาอยู่สูงป แต่เป็นเพราะหน้าต่างของรถถูกติดด้วยฟิล์มที่หนามืด
ผู้ติดเชื้อที่เหลืออยู่ระหว่างทางรีบวิ่งเข้าหารถ แต่พวกมันก็ได้ถูกทําลายลงเมื่อรถชนร่างที่อ่อนแอของพวกมัน เครื่องยนต์V-shaped ผลักกระแทกซอมบี้ไปด้านข้างด้วยแรงมหาศาลทิ้งร่างของพวกมันไว้ด้วยอาการบาดเจ็บที่แย่กว่าเดิม
ภายใต้สายตาของผู้คนที่กําลังมองผ่านหน้าต่าง ยานพานะนั้นก็ได้เดินตามเส้นทางเดิมที่โดรนได้ทําการสํารวจแต่ก็ได้หยุดลงตรงหน้าโรงยิม
เมื่อมันได้จอดลง คนสองคนก็ได้ออกมาจากยานพาหนะ ผู้ชายหนึ่งและเด็กสาวตัวเล็กๆ ชายคนนั้นถืออาวุธจู่โจมปืนไรเฟิลและจัดการยิงผู้ติดเชื้อที่วิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างแม่นย่า
พวกเขาทั้งสองวิ่งไปที่อาคารสํานักงานที่ติดกับโรงยิมและเข้าไปในอาคารนั้น เมื่อทั้งสองเข้าไปยังอาคาร ยานพาหนะก็ได้กลับรถและย้อนไปยังทางที่มันได้ขับเข้ามา