มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 66 : การเจรจาที่ล้มเหลว
นิยาย มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen)
ตอนที่ 66 : การเจรจาที่ล้มเหลว
ตอนที่ 66 : การเจรจาที่ล้มเหลว
ในขณะที่มาร์คนั้นกําลังปวดหัว เพราะว่าสถานการณ์ลําบากใจที่เขาไม่อยากรับมือก็ได้มีเหล่าทหารหลายคนเดินเข้ามาในห้อง กลุ่มทหารนี้นําโดยคนสองคน ทหารที่มีท่าทางเคร่งขรึม นักเรียนชายวัยมัธยมปลาย และเด็กสาววิทยาลัยสองคนที่พวกเขารู้จักดีนั่นคือ แองเจไลน์และพอลลา
หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่เข้ามา เหล่าทหารที่เหลืออยู่ก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูคล้ายกับบอดี้การ์ด
มาร์คก็รู้ได้ทันทีว่าชายที่สวมชุดยูนิฟอร์มทหารนั้นคือพี่ชายของแองเจ แต่เขาไม่รู้ว่าชายวัยมัธยมปลายนั้นคือใคร แต่ก็มีความคล้ายคลึงที่มองเห็นอย่างชัดเจนได้ระหว่างใบหน้าของแองเจ และใบหน้าเด็กมัธยมปลายนั่น มีแนวโน้มว่าเขาน่าจะเป็นน้องชายของแองเจ หรือญาติสนิทในครอบครัว
ในทางกลับกันโอเดลินาก็หลีกถอยไป ยืนอยู่ข้างเตียงโชว์คุณสมบัติและพฤติกรรมของแม่บ้านที่ถูกฝึกมาอย่างดี สิ่งเดียวที่ขาดจากเธอคงเป็นชุดแม่บ้านที่เห็นกันตามในซีรีส์อนิเมะหลายๆเรื่องเป็นปกติ
มาร์คมองไปที่แองเจและพอลลา เขารู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน เขาไม่จําเป็นต้องใช้ความสามารถของเขาในการคาดเดาเมื่อมองเห็นสีหน้าที่มีปัญหาของพวกเธอ
ในขณะที่นั่งอยู่บนเตียง มาร์คได้มองไปที่ชายที่อยู่ในชุดทหาร เมื่อได้ตัดสิน จากภาพลักษณ์ของเขา เขานั้นดูมีอายุเท่าๆมาร์คหรือไม่แน่ใจอาจจะแก่กว่าประมาณหนึ่งปีถึงสองปี เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่เขาสวมอยู่บนเครื่องแบบ แสดงให้เห็นว่าเขามียศเป็นร้อยตรี
เมื่อเขาได้เริ่มอ้าปากพูดชายคนนั้น ปลดปล่อยออร่ารังศีความเป็นผู้นําออกมา อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คําเดียว เพราะจู่ๆมาร์คก็พูดขัดจังหวะเขา
“ฉันปฏิเสธ
มาร์คพูดออกมาทําให้ชายนั้นจ้องไปที่เขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มันเห็นได้ชัดว่าชายนั้นไม่สามารถซ่อนอาการความตกใจและสับสนของเขาไว้ได้
“อะไรนะ?!”
“ฉันบอกว่า ฉันปฏิเสธ อะไรก็ตามที่นายอยากจะพูดออกมา ฉันปฏิเสธ
ชายคนนั้นกัดฟังเนื่องจากไม่สามารถต่อกรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันได้
“ฉันแน่ใจว่านายจะพูดพล่ามว่ามนุษยชาติกําลังใกล้สูญพันธุ์แค่ไหน เราจําเป็นต้องร่วมมือกันอย่างไร กลายเป็นวี รบุรุษแห่งความยุติธรมและแสดงความสามารถของกองทัพ แล้วนายจะพยายามดึงฉันไปอยู่ในตําแหน่งของนาย ติดสินบนฉันด้วยผลประโยชน์ ข่มขู่ และสิ่งของมีค่าใช่ไหมล่ะ? ถ้าอย่างนั้นฉันขอปฏิเสธ และให้นายออกไป จะได้ไม่เสียเวลาของเราแล้วกัน”
เด็กสาววิทยาลัยทั้งสองคนก็ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น แต่อย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าแองเจนั้นพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของเธอเอาไว้ ไหล่ของเธอนั้นได้สั่นอย่างเล็กน้อย ในขณะที่พอลลาดเหมือนเธอจะคาดหวังคําตอบของเขาไว้อยู่แล้วและไม่ได้ใส่ใจมัน
แองเจเดินเข้าไปหาพี่ชายของเธอ และลูบไหล่ของเขา
“พี่คะ พี่ล้มเหลวอย่างน่าเวทนา พวกเราก็บอกพี่แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นและพี่ก็ไม่ฟังพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
เขานั้นยืนไหล่ตก ออร่าของความมีอํานาจจากชายคนนั้นก็ได้เลือนลางลงทันที่ บุคลิกที่แท้จริงของเขาก็ได้เผยออกมาในขณะที่มองแองเจด้วยสายตาที่เกลียดชังไปด้วย จากนั้นเขาจึงหันกลับไปมองที่มาร์ค
“ทําไมนายถึงอยากที่จะปฏิเสธ? ฉันรู้ว่านายมีความสามารถที่จะต่อสู้กับพวกกลายพันธุ์นั้นได้ หรือแม้แต่กระทั่งพวกกลายพันธุ์ที่ล้มเหลว ทําไมนายไม่ใช้ความสามารถของนายให้เกิดประโยชน์? ถ้านายต้องการผลประโยชน์ พวกเราสามารถช่วยปกป้องครอบครัวของนายหรือ หรือรับตําแหน่งยศสูงในเขตอพยพพร้อมกับผลประโยชน์มากมายที่มาพร้อมกับมัน! เห็นได้ชัดว่านายพัฒนาขึ้นแล้ว! ด้วยอาการบาดเจ็บที่นายได้รับ นายไม่น่าจะเคลื่อนไหวได้เลยในช่วงสัปดาห์นี้ แต่ดูตอนนี้สิ? นายนั้นไม่เป็นอะไรเลยด้วยซ้ํา!”
ชายคนนั้นตะโกนออกไปราวกับเด็ก
“นายพูดจบหรือยัง?”
มาร์คมองผู้ชายคนนั้นอย่างเหยียดหยาม
“คําพูดพวกนั้นไม่สามารถทําให้ฉันใจอ่อนได้หรอก ถ้านายอยากได้เหตุผลของฉัน เหตุผลหลักๆก็เพราะมันเป็นเรื่องยากน่ะ มันเป็นเรื่องยากที่จะลอง และกลายเป็นวีรบุรุษ มันเป็นเรื่องยากที่จะทํางานภายใต้ใครสักคน มันเป็นเรื่องยากที่จะทํางานกับคนจํานวนมาก และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะทํางานร่วมกับทหารที่ทํางานภายใต้รัฐบาลด้วย นอกจากนี้พวกนายมีกฎที่เคร่งครัดมากมายให้ปฏิบัติตาม ฉันเกลียดสิ่งนั้น ตอนนี้ครอบครัวของฉันอยู่ที่เกาะคาตัวตัวเนสด้วยคนของนายสามารถไปที่นั่น และรับพวกเขาได้หรือไม่?”
“นาย…”
ชายคนนี้รู้สึกพ่ายแพ้ เขาไม่สามารถถกเถียงกับมาร์คได้ เพราะสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริง โดยเฉพา เรื่องกฏที่เคร่งครัดที่พวกเขาก็ถูกบังคับอยู่ในตอนนี้ จากนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ใช่! ฉันได้ยินว่านายต้องการที่จะช่วยเพื่อนขอนาย! เราสามารถช่วยเรื่องนั้นได้นะ! และเด็กสาวเหล่านี้ที่อยู่ข้างๆนาย พวกเราสามารถที่จะให้ความพื้นที่ความปลอดภัยแก่พวกในโซนอพยพได้ อีกอย่างเด็กน้อยคนนี้ ฉันได้ยินว่าเธอแข็งแรงเกินอายุของเธอ ฉันคาดเดาว่า เธอนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ดังนั้นเธอจะถูกต้อนรับด้วยดีเป็นอย่างมาก”
มีร่องรอยของความคาดหวังในดวงตาของชายคนนั้น
“อย่างที่ฉันได้บอกก่อนหน้านี้ ฉันปฏิเสธ ในตอนแรกพวกนายเสียสละเวลาที่ดีในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่นี่แล้ว ฉันสงสัยว่าพวกนายขาดแคลนกําลังคน ถ้าอย่างนั้นคนของนายจะต้องใช้เวลานาน แค่ไหนในการระดมทหารเพื่อเห็นแก่คนๆเดียว? ฉันแน่ใจว่าเพื่อนของฉันกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วตอนที่พวกนายมีกําลังคนพร้อม นอกจากนี้ฉันมีข้อตกลงกับแองเจไลน์และพอลล่าแล้วว่าให้ช่วยดูแลเด็กสาวเหล่านี้ ดังนั้นนายไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้น ฉันไม่อนุญาตให้คนของนายมาแตะต้องพวกเขาเด็ดขาด หากเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นฉันคาดว่าฝูงซอมบี้จะมาถึงโซนอพยพอันมีค่าของนายได้นะ”
มาร์คได้เตือนเขาอย่างดุดัน
“อย่างไรก็ตาม นายก็ต้องการความช่วยเหลือของเหล่ากองทัพเพื่อปกป้องเธอไว้
ชายคนนั้นชี้ไปยังเหมย
“ฉันได้ยินมาจากแองเจไลน์และพอลลาว่าเธอคือลูกสาวคนของประธานบริษัทเสี่ยวคนปัจจุบัน หากเป็นเช่นนั้นเธออาจถูกบังคับได้เนื่องจากครอบครัว ของเธอดํารงตําแหน่งสูงที่นั้น ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขาที่ทําให้เราสามารถสร้างและสร้างกําแพงสําหรับเขตอพยพได้”
จากนั้นชายคนนั้นก็มองสํารวจใบหน้า ของเหมยทําให้เธอรู้สึกอึดไม่สบายใจ และซ่อนตัวอยู่ข้างหลังมาร์ค จากนั้น ชายคนนั้นก็กล่าวต่อ
“ด้วยภาพลักษณ์ของเธอ ฉันแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่หลายคนที่นั่นจะพยายามติดต่อกับครอบครัวของเธอ…”
เขาไม่สามารถพูดจบประโยคได้ใน ขณะที่เขานั้นได้เซไปข้างหลังและกุมศรีษะเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด จมูกของเขาก็เริ่มเลือดไหลออกมา
นอกเหนือจากแอ็บบีเกลและโอเดลินา คนอื่นๆในห้องและเหล่าทหารที่ยืนอยู่ข้างประตูก็กุมศรีษะตัวเองด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่พวกเขาเริ่มได้ยินเสียงสั่นไหวภายในหูของเขา
“เจ้านายคะ มันจะดีกว่านะถ้าคุณใจเย็นลง เด็กสาวพวกนั้นก็ถูกกระทบไปด้วยนะ”
เสียงของโอเดลินาคุยกับมาร์คดังออกมา ในขณะที่ทุกคนอยู่ในความวุ่นวาย ผู้คนที่ได้ยินเสียงของเธอมองมาที่มาร์คด้วยความยากลําบาก ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยแสงสีแดงจางๆ
มาร์คหลับตาลงและหายใจเข้าลึกและความรู้สึกแปลกประหลาดในห้องหายไปในทันทีพร้อมกับแสงประกายในดวงตาของเขาที่ส่องออกมา
จากนั้นมาร์คก็มองไปที่เหมยซึ่งเธอ เพิ่งฟื้นตัวได้และลูบไปที่ศรีษะของเธอเป็นการขอโทษ
มาร์ครู้สึกถึงความรู้สึกวูบทันที ดูเหมือนว่าความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของเขาจะถูกพัฒนาเช่นกันจนเขาล้มเหลวในการควบคุมและปลดปล่อยมันออกมาโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากความโกรธที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อมาร์คหันกลับไปมองคนที่อยู่ใน ห้องเขาเห็นใบหน้าที่ตกใจของพวกเขา เขาถูกกดไปด้วยความสามารถทางจิตที่เขาควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อใบหน้าของพวกเขา นอกจากนั้นเขายังได้ยินเสียงดังกรึกขณะที่ทหารชี้ปืนมาที่เขา
เมื่อหันไปหาพี่ชายของแองเจซึ่งกําลังเช็ดเลือดออกจากจมูกของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็มองมาที่มาร์คอย่างหวาดกลัว และมาร์คก็ได้พูดขึ้นมา
จากจมูกของเขา ใน
“เราจบเรื่องนี้แล้ว ฉันได้บอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าให้นายไปเถอะ แต่นายก็ยังไม่ยอม…”
มาร์คหันไปหาแองเจไลน์และพอลลา สิ่งที่เธอสงคนติดหนี้ฉัน ฉันไม่ต้องการ ความช่วยเหลือจากพวกเธออีกต่อไป
เขาเพิกฉายเหล่าทหารที่เล็งปืนไปที่เขา มาร์คอุ้มแอ็บบีเกลมาไว้ในอ้อมแขน เขาและค่อยๆพยุงเหมยที่ยังมึนงงออกจากห้อง
ขณะที่โอเดลิน่าตามหลังพวกเขา เหมยได้รับความรุนแรงจากการระเบิดอารมณ์อย่างกะทันหันของมาร์คเนื่องจากเธอเป็นคนที่อยู่ใกล้มาร์คมากที่สุด ยกเว้นแต่แอ็บบเกล
ในขณะที่มาร์คเดินออกไป พวกเหล่าทหารก็ไม่ได้ยิงเขาโดยปราศจากคําสั่งของหัวหน้าและเพียงแค่เล็งปืนตามเขาไปจนกระทั่งเขาเดินออกไป
“ฉันเกลียดพี่”
แองเจไลน์อึดฮัดใส่พี่ชายของเธอก่อนจะเดินออกไปดึงพอลล่าที่รู้สึกเจ็บใจกับสิ่งที่มาร์คพูดกับพวกเขา
“พี่คะ ฉันรู้ว่าพี่หมดหวัง แต่พี่ก็พูดเกินไปหน่อยนะ”
นักเรียนมัธยมปลายที่ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คําเดียวตั้งแต่พวกเขาเข้ามาก็พูดออกมา
“ใช่เลย ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น”
ร้อยตรีราฟาเอลมองไปที่กาเบรียลน้องชายของ เขาขณะที่เขารู้ว่าครั้งนี้เขาคิดผิด เขาเริ่มทบทวนเหตุการณ์อยู่ในความคิดของเขา
ก่อนที่จะมาที่นี่เพื่อดึงตัวมาร์คเข้าไปยังตําแหน่งในทีมขงเขา เขาได้รับโทรศัพท์จากพ่อของเขา มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์พร้อมกับข่าวที่น่า กลัว หนึ่งในทีมที่ถูกส่งไปเพื่อไปช่วยผู้รอดชีวิตกลับถูกโจมตีโดยมนุษย์กลายพันธุ์ที่ล้มเหลว ที่มถูกกวาดล้างไปพร้อมกับผู้รอดชีวิตกว่าห้าสิบคนที่พวกเขา พบหัวหน้าของทีมถูกฆ่าตายพร้อมกับพี่น้องร่วมสาบานของเขาในกองทัพ นอกจากนี้ยังมีชนิด Z ที่กลายพันธุ์ซึ่งมันสามารถปีนขึ้นกําแพงของศูนย์อพยพ และสังหารทหารไปหลายนาย
เขามองไปที่ประตูด้วยความเสียใจซึ่งกลุ่มของมาร์คละน้องสาวของเขาก็เดินออกไป