มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 63 : หกปีที่แล้ว
นิยาย มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen)
ตอนที่ 63 : หกปีที่แล้ว
“เชื่อกลายพันธุ์
ท่านนายพลไมเกลก็ได้พูดพรีมพรออกมาในขณะที่เขากวาดสายตาไปทั่ว ห้องสายตาของเขาหยุดที่มุมหนึ่งของห้องและเดินเข้าไปก่อนจะดึงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงนั้นเข้าไปทางโต๊ะและได้นั่งลง
“นายทําอะไรน่ะ?”
ศาสตราจารย์ไอแซคถาม
“นายไม่ได้เชิญให้ฉันนั่นถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องช่วยตัวเองสะหน่อย”
“นายไม่มีอย่างอื่นต้องไปทํางั้นหรอ?”
“มีสิ แต่ฉันจําเป็นต้องรู้เกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหมดก่อนที่ฉันจะไปรายงานคนอื่นๆได้”
ศาสตราจารย์มองไปที่เขาด้วยสายตาอันเหลือเชื่อ
“ฉันได้รวบรวมทุกข้อมูลไว้ในรายงานนั่นแล้วไง! ถามจริงนะ นาย…”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือมากนักเรากลับไปที่ประเด็นกัน ได้หรือยัง?”
“ฉันล่ะแปลกใจจริงๆว่านายได้รับตําแหน่งนี้ในทัศนคติแบบนี้ของนายได้ยัง ไงกันนะเอาล่ะเราพูดถึงเรื่องไหนกัน แล้วนะ?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ฉันดูแลภาพลักษณ์ของฉันให้ดูดีอยู่เสมอในสายตาของสาธารณะชนกลับไปเข้าเรื่องกันดีกว่านายหยุดอยู่ที่เรื่องชื่อของเชื้อโรคคําถามต่อไปของฉันก็คือทําไมพวกเด็กๆถึงไวต่อการกลายพันธุ์ที่เกิดจากเชื้อสายพันธุ์กลาง”
ไอแซคพยักหน้าสําหรับคําถามของท่านนายพล
“ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนหรอกนะแต่สาเหตุที่ดูเป็นไปได้ที่สุดก็เพราะว่าเด็กๆนั้นยังอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตในขณะที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆนั้นหมดช่วงเวลานั้นไปแล้วพวกเราเป็นผู้ใหญ่กายภาพของพวกเราก็ได้เปลี่ยนไปในแต่ละครั้งเนื่องจากหลายสาเหตุที่แตก ต่างกัน แต่พวกเราก็ได้หยุดการเจริญเติบโตไปแล้วในขณะที่เด็กๆนั้นอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์การเติบโตของพวกเขานั้นมีอิทธิพลต่อเชื้อสายพันธุ์กลางในร่างกายของพวกเขา”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว เชื้อกลายพันธุ์ล่ะ?”
“เขื่อกลายพันธุ์อันไหนล่ะ? ชนิด Z หรือนักกลายพันธุ์?”
“ชนิด Z? นักกลายพันธุ์”
“ชนิด Z คือผู้ติดเชื้อที่กลายพันธุ์แล้วนั่นคือสิ่งที่เราตั้งชื่อให้พวกเขาผู้แพร่กระจายเชื้อโรคคือชนิด Z1 ในขณะที่ผู้ ติดเชื้อที่ยังไม่ตายคือชนิด Z2 ภายใต้การกลายพันธุ์ของพวกเขา เราเรียกว่า ชนิด Zia, ชนิด Z1b เป็นต้นในทางกลับกันนักกลายพันธุ์คือคนที่กลายพันธุ์ห ลังจากถูกกัด แต่พวกมันแตกต่างจากชนิด Z”
“อะไรคือความแตกต่างระหว่างการกลายพันธุ์ทั้งสองชนิดนั้น?”
“แม้ว่าทั้งสองสายพันธุ์จะมีตัวแปรคือต้นกําเนิดมาจากคนที่ถูกกัด แต่เชื่อที่กลายพันธุ์ยังคงทําให้เป็นซอมบี้ในขณะที่ผู้ที่เป็นนักกลายพันธุ์ยังคงมีสติอยู่บ้างและได้รับความสามารถเหนือมนุษย์ และสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์จากชนิดหลังไม่สามารถแพร่เชื้อได้เชื้อสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ในร่างกายของพวกเขาได้รวมเข้ากับดีเอ็นเอของพวกเขาแล้วหลังจาก ที่พวกเขานั้นถูกกลายพันธุ์
“ถ้าอย่างนั้นพูดถึงคนที่ถูกทําให้กลายพันธุ์ก่อนทีมของนายหาเหตุผลเจอหรือว่ายังว่าทําไมพวกเขาจึงเป็นเช่นนั้น?คนส่วนใหญ่เมื่อถูกกัดจะกลายร่างเป็นซอมบี้ในขณะที่คนเหล่านี้เจอในกรณีที่หายากใช่มั้ย?”
เพื่อเป็นการตอบคําถาม ศาสตราจารย์ไอแซคก็ได้เปิดลิ้นชักที่อยู่ใต้โต๊ะทํางานของเขาและหยิบรีโมตออกมาและเปลี่ยนภาพแสดงผลบนหน้าจอมอนิเตอร์
ในนั้นมีคนอยู่สองคนซึ่งอยู่กันคนละห้องชายคนหนึ่งอายุราวๆสามสิบในขณะที่หญิงอีกคนหนึ่งนั้นยังดูวัยรุ่น
ชายคนนั้นยังคงดูเป็นมนุษย์ไม่สิเขาคือมนุษย์แน่ๆเขานั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงของเขาอย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งก็ได้แสดงภาพหญิงวัยรุ่นซึ่งแขนและคอของเธอปกคลุมไปด้วยเกร็ดหนังงู เธอถูกมัดไว้ด้วยโซ่และไร้ซึ่งสติ
“ใช่ พวกเขานั้นหายาก อย่างที่นายเห็นทั้งสองเป็นกรณีเดียวที่เราสามารถสังเกตได้อื่มมีอีกอันนะ”
“ชายคนที่ถูกฆ่าไปแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่เลย เราก็ยังหาคําตอบเหตุผลไม่ได้ว่าทําไมพวกเขาถึงไม่กลายร่างเป็นพวกชนิด Z เนื่องจากพวกเราไม่สามารถสังเกตุหาเชื้อโรคที่เปลี่ยนพวกเขาได้แต่มันก็มีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่พวกเรากํา ลังดูกันอยู่มันคือความเข้ากันได้ของเชื้อสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์กับดีเอ็นเอของพวกเขาหลักฐานยังมีไม่พอที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้
นอกจากนี้ยังมีสองตัวแปรคือประการแรกคือชายที่ประสบความสําเร็จในการกลายพันธุ์โดยไม่มีปัญหาใดๆเป็น “การกลายพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบ” เขาดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปหากมองจากภายนอก แต่ความแข็งแรงของเขานั้นมีมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไปและถ้า เขาเปิดใช้งานความสามารถของเขาในฐานะผู้กลายพันธุ์กล้ามเนื้อของเขาจะนู้นและความแข็งแกร่งของเขาจะคูณเข้าไปอีกหลายเท่าตัวแปรที่สองคือผู้หญิงคนนั้นที่นั้นคือ“การกลายพันธุ์ที่ล้มเหลว”
ศาสตราจารย์ไอแซคชี้ไปที่จอมอนิเตอร์ซึ่งแสดงภาพของหญิงสาวที่ไร้สติ
“เธอเป็นเหมือนผู้ชายที่พวกเราต้องฆ่าทิ้งไปก่อนหน้านี้ ในช่วงเริ่มแรกของการกลายพันธุ์พวกเขายังคงมีสติแต่เมื่อการกลายพันธุ์เริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกายพวกเขาก็เริ่มสูญเสียการควบคุม ร่างกายและอารมณ์ฉันถามผู้หญิงคนนี้เป็นการส่วนตัวก่อนหน้านี้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรในช่วงแรกของการกลายพันธุ์ของเธอนายเดาได้มั้ยว่าเธอตอบมาว่าอะไร?”
ศาสตราจารย์ไอแซคหยุดรอคําตอบจากนายพลไมเกล
“จิตใจของเธอกลายเป็นว่างเปล่า”
“เธอบอกว่ามีจิตใต้สํานึกอีกอันหนึ่งจิตใต้สํานึกที่ทั้งโหดเหี้ยมและเลวร้าย และไม่สามารถควบคุมได้มันทําลายตัวเธอเองและต่อสู้กับการควบคุมร่างกายของเธอเมื่อการกลายพันธุ์ของเธอสิ้นสุดลงเธอจะเป็นเหมือนผู้ชายคนนั้นที่สูญเสียเหตุผลและทําตัวเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้ายนายรู้ไหมฉันสงสัยว่ามนุษย์กลายพันธุ์อันดุร้ายแข็งแกร่งที่ออกมาจากเครื่องบินที่ตกอยู่นั้นคล้ายคลึงกันกับการกลายพันธุ์ลักษณะนี้”
ท่านนายพลพยักหน้าและมองไปที่ ศาสตราจารย์
“ฉันจําได้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้นกําลังโจมตีชนิด Z และในทางทํานองเดียวกันมนุษย์กลายพันธุ์ชนิด Z ก็ได้ โจมตีมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านั้นด้วย”
“ใช่แล้ว พวกเราได้สังเกตแล้วชนิด Zและนักกลายพันธุ์ที่ล้มเหลวนั้นไม่ยอมรับซึ่งกันและกันแต่อย่านิ่งนอนใจว่าพวกมันจะฆ่าสายพันธุ์ของกันและกันเองล่ะมันเป็นเพียงทฤษฎีที่สมมติขึ้นมาแต่มีความเป็นไปได้ที่ผู้กลายพันธุ์ที่ล้มเหลวจะเจริญเติบโตโดยการเอาชนะ สายพันธุ์ชนิด Z และชนิด Z จะกลายพันธุ์ต่อไปหลังจากกินศพของผู้กลายพันธุ์ที่ตายแล้วถึงอย่างนั้นใครก็ตามที่ชนะล้วนจะกลายเป็นสิ่งอันตรายต่อการดํารงอยู่ของเราในฐานะมนุษย์”
ท่านนายพลนวดขมับของเขาในขณะที่เขารู้สึกปวดหัวแรงขึ้นเมื่อเขาต้องฟังต่อไปแต่อย่างไรก็ตามเขาจําเป็นจะต้องรู้ในสิ่งที่เขาต้องรู้ให้ถูกต้องเพื่อที่จะได้ชี้แนะเหล่าผู้คนที่อยู่ในค่ายนั้นเอาชีวิตรอด
“จริงๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้กลายพันธุ์ที่ล้มเหลวทําให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหกปีที่แล้ว”
“เหตุการณ์อะไร?”
“โอ้ ใช่ ฉันลืมไปว่าตอนนั้นนายยังเป็นทหารที่อยู่ในยศที่ต่ํากว่านี้ งั้นไม่สงสัยหรอกว่าทําไมนายถึงไม่รู้
ศาสตราจารย์มองไปที่ผู้ช่วยของเขาสองคนซึ่งนั่งอยู่อีกโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งของ ห้อง
“มันเป็นเหตุการณ์ที่ทําให้ฉันต้องมาทํางานกับรัฐบาลจําอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่กําลังจะชนกับโลกและถูกยิงโดยสถาบันการบินอเมริกันเมื่อหกปีก่อนได้ ไหมมีเหตุการณ์ที่ปิดบังต่อสาธารณะ ชนในเวลานั้นก่อนหน้านี้ฉันไม่สามารถบอกคุณได้แต่ใครจะสนใจเรื่องงี่เง่าที่ เป็นความลับที่รัฐบาลบังคับให้ปิดมาตลอดในเวลานี้กันล่ะ”
นาบพลฟังอย่างสนอกสนใจเมื่อเขาไม่รู้จริงๆว่าสิ่งที่ศาตราจารย์กําลังจะพูดออกมาคือสิ่งที่รัฐบาลนั้นปกปิดกับประชาชนในเรื่องอะไร
“แม้อุกกาบาตจะระเบิดไปแล้วเศษหลายๆชิ้นของมันก็ยังเข้ามาสู่โลกได้สิ่งที่ปิดบังต่อสาธารณะชนก็คือเศษชิ้นส่วนที่ตกลงสู่พื้นโลกมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงร่างกายของผู้คนที่สัมผัสกับมัน น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าชิ้นส่วนที่ตกลงมาจะหายไปอย่างลึกลับหลังจากถูกผู้คนเอาไปดังนั้นฉันจึงไม่เคยเห็นชิ้นส่วนนั้นด้วยตัวเองเลย
จากคําอธิบายนั้น ชิ้นส่วนนั้นดูเหมือนคริสตัลที่มีสีม่วงเข้มขนาดเท่าหินอ่อนและแม้ว่ามันจะเพิ่งตกลงมาจากนอกโลกแต่ก็ไม่ได้สร้างหลุมดินใดๆๆ ไม่ปล่อยรังสีและไม่ปล่อยความร้อนด้วยซ้ํา
มีรายงานการพบเห็นชิ้นส่วนเหล่านี้สองครั้งในประเทศของเรา คนหนึ่งอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกําพร้าในจังหวัดเกซอนส่วนอีกคนอยู่ในพื้นที่ชนบทในเมืองบาคัวร์”
ศาสตราจารย์ไอแซคผายมือไปทางผู้ช่วยสองคนของเรา
“เด็กสองคนนี้คือเด็กกําพร้าที่ได้สัมผัสกับชิ้นส่วนที่ตกลงในจังหวัดเกซอนหลังจากการตรวจสอบและการทดลองที่ฉันทํากับพวกเขาร่างกายของพวกเขาก็พัฒนาและได้รับความสามารถเช่นเดียวกับผู้กลายพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบแต่นายรู้ไหมว่าพวกเขามีอาการเดียวกันกับผู้กลายพันธุ์ที่ล้มเหลวพวกเขามีสติจิตสํานึกอีกอันหนึ่งในตัวของพวก เขามันพยายามที่จะกัดกร่อนพวกเขาและต้องการควบคุมร่างกายของพวกเขาโชคดีที่จิตสํานึกอันแปลกปลอมนั้นอ่อนแอการกัดกร่อนล้มเหลวและพวกเขายังคงรักษาสภาพจิตใจของพวกเขาไว้หลังจากที่สังหาร” จิตสําอันแปลก ปลอมนั้น”
ผู้ช่วยทั้งสองคนพยักหน้าและยิ้มออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ศาสตราจารย์พูด
“นัน…”
ท่านนายพลไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินลงได้เมื่อเขาจ้องมองไปที่ผู้ช่วยทั้งสองเขาก็หันกลับมามองศาสตราจารย์อีกครั้งและถามคําถามแก่เขา
“เดี๋ยวก่อนนะ ใช่พวกเขาหรือไม่ที่เป็นชิ้นส่วนอันมีค่าสําหรับงานวิจัย? ทําไมพวกเขาถึงกลายมาเป็นผู้ช่วยของนาย?ถ้าสิ่งที่นายพูดมันคือเรื่องจริง งั้นพวกเขาควรจะถูกจับพวกรัฐบาลโลกๆนั้นจับ ตัวไปแล้ว?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ศาสตราจารย์หัวเราะออกมาอย่างดัง
“ฉันโกหกผลการวิจัยของฉันในตอนนั้นร่างกายของพวกเขาอาจมีกา รพัฒนาแต่โครงสร้างของร่างกายนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ถ้าเด็กสองคนนี้ไม่แสดงความสามารถของพวกเขาออกมา คนอื่นๆก็จะคิดว่าพวกเขานั้นก็เป็นเด็กปกติธรรมดาเท่านั้น หกปีที่ แล้วลองคิดดูว่าสองคนนี้อายุเท่าไหร่แล้วราวกับว่าฉันจะมอบลูกที่แสนดีเหล่านี้ให้กับคนทุจริตที่คิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองงั้นแหละฉันใช้ข้ออ้างว่าเด็กสองคนนี้ใกล้ชิดกับฉันมาก และจากนั้นฉันก็ได้รับเลี้ยงพวกเขาหลังจากที่พวกเขาได้รับการปล่อยตัวเมื่อการวิจัยสิ้นสุดลง”
“ฉันเข้าใจแล้ว นายโชคดีมากที่สามารถออกมาจากงานวิจัยนั้นได้”
“แน่นอน! พวกหมูขี้โลภพวกนั้นที่อยู่บนกองทองไม่ได้รู้อะไรหรอก ยกเว้นวิธีขุนเงินในกระเป๋าของตัวเองทําให้ง่ายมากสําหรับการหลอกพวกมันโดยใช้เรื่องวิทยาศาสตร์เข้ามาพูด”
“แต่อย่างไรก็ตาม นายบอกว่ามีเศษชิ้นส่วนอีกอันหนึ่งที่ตกลงที่บาคัวร์ เกิดอะ ไรขึ้นกับมัน?”
ศาสตราจารย์ไอแซคได้ยักไหล่ให้คําถามนั้น
“ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งนั้นหน่วยรบพิเศษถูกส่งไปที่นั่นแต่กลับไม่พบอะไรเลยไม่มีพยานไม่มีชิ้นส่วนใดๆไม่มีอะไรเลย ราวกับว่าชิ้นส่วนนั้นถูกพบโดยใครบางคนแต่คนคนนั้นก็ไม่ถูกพบ ตัวจนถึงปัจจุบันนี้”
จากผู้เขียน
คุคุคุ สงสัยจริงๆเลยนะว่าคนที่หายไป คนนั้นคือใครกัน
อืม พวกค์อาจจะเริ่มคิดแล้วสินะว่าแอ็บบีเกลนั้นเป็นอะไรและจะเกิดอะไรขึ้นกับหญิงกลายพันธุ์หุ้เกราะกระดูกนั้นถ้าหากมาร์ค ไม่ช่วยเธอเอาไว้
อย่างไรก็ตาม!มาร์คก็ใกล้จะตื่นแล้วเขาจะแสดงอาการอย่างไรหลังจากที่ค์นพบว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในคืนก่อนหน้านั้น?!