มหาวิบัติสงครามการกลายพันธุ์ (Mutagen) - ตอนที่ 27 : ขอเรียกชื่อ…
ตอนที่ 27 : ขอเรียกชื่อ…
เวลา 12.16 นาฬิกา – ดาดฟ้าห้างสรรพสินค้าบาคัวร์, โซนใจกลางห้าง
มาร์คได้นั่งอย่างสบายใจอยู่บนหลังคาเหล็กซึ่งก็ได้กำลังกินแซนวิชเป็นอาหารกลางวัน ในตอนแรกเขาคิดจะนำแผ่นไม้มารองนั่งเพราะบนหลังคาเหล็กของดาดฟ้านั้นอาจจะร้อนเนื่องจากเป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แต่มันกลับตรงกันข้าม ในตอนแรกเขามองไปที่ท้องฟ้า เห็นเมฆเพียงเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขามองเห็นท้องฟ้าได้อย่างมุมกว้างและเห็นว่าเมฆหนาครึ้มได้ปกคลุมท้องฟ้า
มันจะไม่แปลกหรอกถ้าฝนจะตกลงมาตอนไหนก็ได้ในช่วงเวลากลางวันนี้
เหมยนั่งอยู่ข้างๆกับมาร์ค เธอได้นั่งกอดเข่าซึ่งเธอนั้นมีเสื้อแจ็คเก็ตปิดคลุมอยู่ โชคดีที่เสื้อแจ็คเก็ตที่เธอได้มาจากมาร์คนั้นตัวใหญ่โคร่งกว่าขนาดร่างกายของเธอหลายเท่า จนเสื้อแจ็คเก็ตนั้นได้ปิดคลุมไปยังข้อเท้าของเธอในขณะที่เธอก็ได้นั่งกอดเข่าอยู่แบบนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นทุ่งหญ้าบางๆของเธอก็คงโผล่ออกมาให้มาร์คเห็นพร้อมกับร่างที่เปลือยเปล่า เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ก่อนหน้านี้ก็ขาดหลุดรุ่ยไปแล้วจนไม่สามารถที่จะแก้ได้ ดูเหมือนว่าพวกแก๊งอันธพาลพวกนั้นกระชากเสื้อผ้าของเธอออกชิ้นต่อชิ้นจนขาดรุ่ย
มาร์คกินอาหารของเขาอย่างอร่อยเพลิดเพลินพร้อมกับมองดูสถานการณ์ข้างล่างไปด้วยซึ่งภาพที่เขามองดูนั้นเขาไม่ควรที่จะได้กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่แบบนั้นได้ บนถนนทางหลวงซอมบี้ที่เลือดท่วมตัวนั้นก็กำลังเคลื่อนที่ไปยังเส้นทางของมันเพื่อที่จะไล่ล่าผู้คนที่ก็ได้กำลังตะเกียกตะกายหนี เลือดพุ่งกระจายไปทั่วสารทิศเมื่อพวกซอมบี้มันมันจับคนที่กำลังหาทางหนีได้ พวกมันทั้งกัดทั้งกินเนื้อหนังมังสาเข้าไป ตามที่ทางต่างๆก็เต็มไปด้วยแอ่งเลือด
การที่ได้เห็นภาพฉากอะไรแบบนั้น คนส่วนใหญ่อาจจะอ้วกออกมาเป็นอาหารที่ได้กินเข้าไปก่อนหน้านั้น
แต่ทว่า…
มาร์คกินแซนวิชอย่างเพลิดเพลินพร้อมกับดูเหตุการณ์ไปด้วยเสมือนว่าเขากำลังดูภาพยนตร์สยองขวัญอยู่ในโรงหนัง
ทันใดนั้นมาร์คก็ได้มองไปยังสะพานลอยที่อยู่ฝั่งด้านซ้ายของเขา มีใครบางคนเพิ่งกระโดดลงมาจากสะพานลอย ดูเหมือนว่าชายคนนั้นปีนขึ้นไปยังสะพานลอยโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายตัวชายคนนั้นก็ต้องจนมุมหาทางหนีไม่ได้ เมื่อเขาหาทางหนีไม่ได้แล้ว เขาจึงได้ก็กระโดดลงมาจากสะพานลอย นั่นก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย
ชายคนนั้นกระโดดหนีลงมาจากสะพานลอยได้สำเร็จด้วยสองเท้าที่กระแทกกับพื้นไปด้วยอย่างแรงจนเขาถึงกับต้องร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ไม่ต้องเดาเลย ด้วยความสูงขนาดนั้น กระดูกขาของเขาคงแตกไปแล้วแน่นอน แต่ชายคนนั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เขาพยายามคลานหนีไปพร้อมกับสองขาที่แตกไปแล้ว และแน่นอน เขาไม่สามารถแม้แต่จะหนีซอมบี้ได้เมื่อตอนที่ขาของเขายังใช้การได้อยู่ ถ้าอย่างนั้นในสภาพที่ขาของเขาในตอนนี้ใช้การไม่ได้แล้วจะเหลืออะไรล่ะ?
เมื่อชายคนนั้นถูกฝูงซอมบี้ที่อยู่ตามข้างล่างสะพานลอยจับกิน เสียงร้องของเขาดังก้องไปถึงบนถนนทางหลวง
มาร์คมองดูภาพฉากนั้นอย่างสงบนิ่งพร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ไปด้วย เขาสรุปได้ว่าในจิตใจของชายคนนั้นก็อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกกลัว ถ้าหากเขารอบคอบกว่านี้ เขาอาจจะจัดการฝ่าฟันพวกฝูงซอมบี้ที่มาจากทางด้านใต้ของสะพานลอยได้ และหากเขากระโดดลงไปสักสองสามเมตรจากจุดที่เขาได้กระโดดไปในตอนแรก เขาอาจจะกระโดดลงหลังคารถบัสที่จอดอยู่โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สิ่งที่มาร์คคิดก็ไม่มีทางเกิดขึ้น
เขากินจนเสร็จพร้อมกับดูภาพเหตุการณ์ข้างล่างทั้งหมด
ในตอนนั้น เขาก็ได้เปิดกระเป๋าและนำกระเป๋าหนังสีดำเล็กๆที่เอาไว้ใส่โน้ตบุคออกมาพร้อมกับปากกาหมึกเจล เขามักจะพกโน้ตบุคไปด้วยในทุกๆครั้งที่เขาออกจากบ้าน และเขียนสิ่งต่างๆไปอย่างลวกๆเมื่อเวลาที่เขารู้สึกเบื่อ แต่ในตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะใช้มันเพื่อจดบันทึกทฤษฏีกลยุทธ์ต่างๆของเขา รวมถึงแผนการที่จะจัดการกับมหันตภัยซอมบี้ในตอนนี้ ไม่มีเหตุผลใดที่เขาตัดสินใจบันทึกสิ่งเหล่านั้นลงไปมากไปกว่าการที่เขาอาจจะลืมได้เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่เขาจะต้องจำ ดังนั้นปากกาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเขา
ในขณะที่เขาเขียนอยู่ เขาชำเลืองมองไปที่เหมยซึ่งดูเหมือนเธอกำลังสับสนงุ่นง่านกับบางสิ่งบางอย่าง เธอเหมือนพยายามที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เมื่อเธอยังคงลังเลอยู่ มาร์คก็ได้ตัดสินใจที่จะมองข้ามไปและเขียนจดบันทึกต่อ หลังจากผ่านไปนาทีสองนาที เขาก็ได้ยินเธอพูดออกมา
“ขอบคุณนะ”
มาร์คมองไปที่เธอ ในขณะที่เธอก็กำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน
“ขอบคุณที่ช่วยปกป้องฉันไว้”
เธอเบี่ยงเบนสายตาออกไปจากมาร์ค และก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ฉันแน่ใจได้เลยว่าในตอนนั้นมันคงเป็นจุดจบสำหรับชีวิตฉันแล้ว ฉันยอมแพ้กับทุกสิ่งทุกย่าง ฉันคิดไปแล้วว่าฉันนั้นได้กลายเป็นตุ๊กตาไว้ให้พวกมันได้เล่นและเบื่อก็กลายเป็นขยะ หลังจากที่พวกมันพยายามเล่นกับร่างกายของฉัน”
เหมยกอดเข่าของเธอแน่นกว่าเดิมในขณะที่มาร์คยังคงฟังอยู่ และไม่พูดใดๆเพื่อเป็นการแทรก
“ในตอนนั้น เวลานั้น ฉันภาวนาขอแค่ว่าอยากให้พวกมันฆ่าฉันให้เร็วที่สุด ฉันรู้สึกขยะแขยงตัวเอง ฉัน…”
เหมยเริ่มร้องไห้ออกมา
เธอสัมผัสได้ว่ามีมืออุ่นมาลูบหัวของเธอ
“ถามจริงๆนะ เธออยากที่จะขอบคุณฉัน ก็ทำให้มันดีๆสิ ฉันไม่ยอมรับคำขอบคุณของเธอหรอกนะ ถ้าเธอจบลงด้วยการมาร้องไห้แบบนี้”
“แต่…”
“แค่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่น เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้าย”
“งั้นนายก็คงเป็นส่วนหนึ่งของฝันร้ายนั้นด้วยนะ?”
มาร์คตัวแข็งทื่อเมื่อเหมยดูพูดจริงจังไม่ได้ติดตลกนัก มุขตลกที่เธอส่งมานั้นมาร์คก็คุ้นชินไปแล้ว มาร์คถอนหายใจ
“มุขตลกนั้น เธอไม่ควรมาล้อเลียนฉันนะ มันไม่เข้ากับเธอ”
“อย่างงั้นหรอ? นายดูน่าทึ่งมากนะเวลาที่นายคอยควบคุมสถานการณ์ก่อนหน้านี้หลายๆครั้ง ฉันทำให้สถานการณ์มันอึดอัด ดังนั้นฉันเลยคิดว่า…”
“ถ้าเธอมามัวแต่คิดถึงสิ่งแย่ๆแบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่ดีตามไปด้วยนะ”
“อย่างงั้นหรอ..”
“ใช่น่ะสิ”
“อืมม”
เธอรู้สึกเขินอาย เหมยรู้ตัวว่าเธอรู้สึกดีขึ้นด้วยคำพูดไม่กี่คำของมาร์ค เขาเปลี่ยนความรู้สึกที่น่าสมเพชของเธอ ให้กลายเป็นความรู้สึกเขินอาย ถึงแม้ว่าความรู้สึกเขินอายนี้มันจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่มันก็ดีกว่าที่ทำให้ความรู้สึกเศร้าและความหมองหม่นของเธอหายไป
“ขอถามอะไรหน่อยสิ” เหมยกล่าว
เหมยนั้นทิ้งความรู้สึกเคอะเขินทิ้งไป เธอมองไปที่มาร์คอย่างสงสัย
“ได้สิ อะไรล่ะ?”
“นายคุ้นชินกับการเรียกชื่อภาษาจีนของฉันหรือยัง?”
“ชื่อภาษาจีน? ทำไมเธอถามแบบนั้นล่ะ?”
มาร์ครู้สึกสับสน
“ก็ชื่อที่นายเรียกฉันน่ะ ‘เหมย เอ้อ’ มีเพียงแค่คุณปู่คุณย่าเท่านั้นที่เรียกฉันแบบนั้น”
“ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าลองคิดเล่นๆนะ ถ้าเธอไม่ชอบชื่อนั้น ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกเธอด้วยชื่ออะไรก็ได้ที่เธอชอบ ”
เหมยพยักหน้า
“ได้เลย ถ้าอย่างงนั้นฉันอยากให้นายเรียกฉันว่า…. ฉันขอคิดแปปนึง…”
“อันที่จริง ฉันชอบการอ่านนิยาย ญี่ปุ่น เกาหลีและจีน ถ้าเรื่องนั้นมันน่าสนใจ ฉันก็จะอ่านมัน ดังนั้นฉันจึงเรียนรู้เรื่องเรียกชื่อะอะไรแบบนั้นมาบ้าง อันที่จริงมันเริ่มจากการที่เธอแนะนำตัวด้วยนามสกุลของเธอก่อน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะเรียกนามสกุลของเธอโดยที่ไม่คิดเลย ” มาร์คกล่าว
“อย่างนี้นี่เอง.. ถ้างั้น”
เธอหันไปเพื่อเป็นการเลี่ยงการมองหน้ามาร์ค
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอเรียกนายว่าพี่ชายได้มั้ย?”
มาร์คจ้องไปที่เธอ
“อยู่ๆคำนี้มันก็โผล่ขึ้นมาน่ะ”
เหมยมองกลับไปที่มาร์ค
“มันแย่มั้ย?” เหมยได้ถาม
“มันไม่แย่เลย เธอสามารถเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ”
“จริงนะ?”
“จริงสิ อันที่จริง ฉันไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ว่าใครจะเรียกฉันว่าอะไร ในอดีตตอนที่ฉันยังเด็ก มีผู้ชายอยู่สองคนเรียกฉันว่าไอตัวประหลาด พวกมันเอาแต่ตะโกนว่า ‘ไอตัวประหลาด’ อยู่อย่างั้นตามถนน และฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ”
“นั่นมันควรโกรธเลยไม่ใช่หรอ?”
“ทำไมฉันต้องโกรธด้วย พวกมันเอาแต่ตะโกนอยู่แบบนั้น แต่พวกผู้ใหญ่ที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวนั้นเมื่อเห็นเด็กสองคนนี้ พวกเขาก็ซุบซิบและคิดกันว่า ‘เด็กบ้าอะไรมายืนตะโกนอยู่ตรงนี้’ หรือไม่ก็ ‘พ่อแม่เด็กสองคนนี้เลี้ยงเขามายังไง’ ถ้าอย่างนั้นทำไมฉันต้องโกรธด้วย?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ในตอนแรกเหมยนั้นรู้สึกโกรธแทนแต่ตอนนี้เธอกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินเร่องราวที่มาร์คเล่า
มาร์คจ้องไปที่เหมย ใบหน้าที่ดูมีความสุขของเธอนั้นดูสดใสและเสียงหัวเราะของเธอก็ดูน่าฟัง ใบหน้าที่มีความสุขของเธอแบบนี้นั้นดูเข้ากับเธอมากกว่าใบหน้าที่หมองหม่นของเธอเยอะเลย เขาเห็นแต่ใบหน้าที่เศร้าหมองของเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรก พอเห็นเธอมีใบหน้าที่มีความสุขแบบนี้มันทำให้เขาชื่นใจ
“พี่ชาย เหอะ..”
ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นๆรู้ชื่อเรียกนี้ พวกเขาอาจจะเข้าใจผิด พวกเขาอาจจะคิดว่าเหมยชอบได้
แต่สำหรับมาร์คนั้นมันแตกต่าง เด็กสาวคนนี้นั้นกำลังไม่เข้าใจในความรู้สึกของเธอเอง สิ่งที่เธอรู้สึกนั้นไม่ใช่ความรักหรือความชอบ แต่เป็นเพียงความอบอุ่นใจที่เธอมีให้กับมาร์ค เพราะมาร์คนั้นเป็นคนที่ปกป้องเธอเอาไว้
‘ก็ดีนะ ฉันไม่จะขัดเธอหรอกหากว่าเธอมีความสุขน่ะ’
หลัวจากที่เหมยหัวเราะได้ออกมานิดเดียว เธอก็ต้องเอาสองมือของเธอปิดปากไว้ และมองมาที่มาร์คด้วยน้ำตาปริ่มๆ เธอคงจะเจ็บปากของเธออยู่
มาร์คลูบหัวของเธอ
“เดี้ยวเอาไว้ฉันหาลิปมันมาให้เธอโอเคมั้ย?”
เหมยพยักหน้า
“เดี๋ยวนะ ธุระของเธอคือการดักฟังคนอื่นเขาคุยกันหรอ?”
มาร์คพูดเสียงดังและมองไปยังข้างหลังของเหมยตรงทางบันไดที่พวกเขาได้ปีนขึ้นมาบนหลังคา เหมยหันไปมองด้วยเช่นกันแต่เธอก็ไม่เห็นอะไร
มาร์คยังคงจ้องมองต่อไป
หลังจากนั้นเธอก็ได้รู้ว่า แองเจนั้นโผล่ศรีษะออกมาและขำอย่างกระอักกระอ่วน
“ขอโทษที่ขัดจังหวะการเดทของพวกเธอนะ แต่ลุงเบอนาร์ดบอกว่าของพร้อมแล้วล่ะ”
“โอเค งั้นไปกันเธอเหมย”
มาร์คยืนขึ้นพร้อมกับยื่นแขนไปรับเหมยขึ้นมาเพื่อเป็นการช่วยพยุงตัวเธอ ขณะที่เหมยนั้นก็จับมือของมาร์ค และหน้าของเธอก็ได้แดงเป็นมะเขือเทศ
_____________________________________________
*สำหรับบางคนที่อาจจะไม่รู้*
คำว่า ‘พี่ชาย’ ในทางภาษาจีนนั้นก็สามารถใช้ได้กับคู่รักและคนที่สนิทใจกัน