มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2901 ฝืนต้านทานจ้าวปีศาจทั้งสอง
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2901
“กลั่น!”
หลัวซิวสวดคาถา เห็นเพียงเงาร่างของเขาลอยขึ้นฟ้า ราวกับร่างกายของเขาผันเป็นเตาอหังการฟ้าดินหนึ่งเตา ก่อนจะมีพลังดูดกลืนวิญญาณที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา ดูดกลืนแสงอัสนีที่ล้นฟ้าแล้วทำการกลั่นแปรมัน
นี่คือพลังของธรรมเวชกาลล้น ถึงแม้จะถูกพันธนาการโดยผลการฝึกตนของตัวเอง แต่เมื่ออาศัยความแข็งแกร่งของธรรมเวชกาลล้น หลัวซิวก็สามารถวิวัฒนาการธรรมเวชกาลล้นให้บรรลุขึ้นไปถึงแดนสำเร็จน้อยได้เช่นกัน
แสงอัสนีที่ไร้ขอบเขตพุ่งเบียดเสียดกันเข้าไปในร่างกาย จากการกลั่นแปรแสงอัสนีอย่างต่อเนื่อง เพราะร่างกายที่เพิ่งมีการบรรลุไม่ค่อยมีพลังอะไร จึงค่อย ๆ เต็มอิ่มขึ้นมา พลังที่แข็งแกร่งก็บังเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติเช่นกัน
“เวิ่ง!”
เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ร่างกายของหลัวซิวก็หายไป วินาทีต่อไปเขาก็ปรากฏด้านหลังผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อทั้งสองคนแล้ว
ซึ่งผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อทั้งสองคนนี้ก็คือสองคนที่ใช้ค่ายโลหิตมารฉกรรจ์กักขังเขาในเมื่อครู่นี้นั่นเอง
“ตาย!”
ใบหน้าของหลัวซิวไร้อารมณ์ มือทั้งสองข้างต่างโจมตีไปทางด้านหลังของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อทั้งสอง
“รนหาที่ตาย!”
“คนที่ต้องตายคือมึงต่างหาก!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อทั้งสองคนคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจักเป็นฝ่ายบุกสังหารเข้ามาด้วยตนเอง ใบหน้าของทั้งสองจึงดูดุร้ายขึ้นมาทันที อีกทั้งกระตุ้นกระบวนท่าสังหารที่ทรงพลังที่สุดของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม กระบวนท่าทั้งหมดของพวกเขาล้วนสลายหายไปเมื่ออยู่ภายใต้การกดอัดด้วยฝ่ามือเดียวของหลัวซิว อาศัยพลังป้องกันของเคล็ดเซียนแปรเก้าแปรที่หก ร่างเนื้อของหลัวซิวเทียบเท่าเศษณ์มหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว พลังการโจมตีของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อแทบจะไม่มีความหมายอะไรต่อเขา
ผลการฝึกตนบรรลุ เมื่ออาศัยความแข็งแกร่งของพลังแห่งวิถีเซียน พลานุภาพของตรามหาหัตถ์ราชาเซียนทั้งสองที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมา ณ วินาทีนี้สามารถเทียบทัดพลังโจมตีของมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อได้โดยสมบูรณ์
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เสียงที่ร่างกายสองร่างแตกสลายแทบจะดังขึ้นมาพร้อมกัน ภายใต้พลังโจมตีของหลัวซิว ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงปลายทั้งสองคนแทบจะไม่มีแรงที่ตอบโต้ได้เลย ก่อนจะถูกสังหารคาที่!
กลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า พลังแห่งอัสนีจำนวนมากถูกหลัวซิวดูดกลืนกลั่นแปร เมฆแห่งทัณฑ์สายฟ้าจึงเริ่มสลายหายไปแล้ว
ร่างกายของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงปลายสองคนแตกสลายเป็นฝุ่นผง ไม่เหลือแม้แต่ซาก ทุกคนที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนเบิกตากว้างอย่างควบคุมไม่ได้
นั่นมันมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อเชียวนะ ทั้งยังเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงปลายด้วย ครั้งนี้เขาเพิ่งบรรลุ หรือว่าศักยภาพบรรลุถึงแดนที่น่าสยดสยองเช่นนี้แล้ว?
โดยเฉพาะเหล่าผู้สูงส่งอย่างทูตเพ้าขาว พวกเขาเข้าใจดีมาก ๆ เลยว่าศักยภาพที่หลัวซิวคนนี้แสดงออกมาบนสนามรบเมื่อคราวก่อน อย่างมากสุดก็แค่เทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงปลาย
ซึ่งนี่ก็คือการทลายพันธนาการของแดนใหญ่ ทำให้หลัวซิวที่มีศักยภาพมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงปลายในตอนแรก มีกำลังรบที่เทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อในครั้งเดียว
“ฆ่ามัน!”
ทูตเพ้าขาวตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว บัดนี้เขากำลังพัวพันอยู่กับผู้สูงส่งเก้าคนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ ซึ่งไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้เลยด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นเขาคงกำจัดหลัวซิวทิ้งไปตั้งนานแล้ว
นอกเหนือจากทูตเพ้าขาว อีกคนหนึ่งที่อยากกำจัดหลัวซิวมากที่สุดก็คือฮวงจวินแล้วล่ะ ศึกสงครามที่สำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ถูกล้มล้าง เขาไม่เพียงสูญเสียของล้ำค่าอย่างหอคอยฮวง ตัวเขาเองก็ถูกตู๋กูเจ้าแห่งอาณากระบี่โจมตีจนบาดเจ็บสาหัส จึงส่งผลให้ผลการฝึกตนของเขาตกจากแดนผู้แกร่งเลิศลงมาถึงผู้สูงส่งช่วงกลางโดยตรง
หากพูดให้แม่นยำหน่อย เขาไม่ใช่ผู้สูงส่งโลกร้างอีกต่อไปแล้ว และไม่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าฮวงจวินอีกต่อไปเช่นกัน ปัจจุบันเขาเป็นเพียงผู้สูงส่งอัมพรเทวเท่านั้น
“ข้าจักไปฆ่ามันเอง!”
มีเงาดำร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา ซึ่งคนดังกล่าวก็คือจ้าวปีศาจเสวียนหยินนั่นเอง
“ข้าจักช่วยเจ้าอีกแรง!”
จ้าวปีศาจเทียนหยางก็บินเข้ามาเช่นกัน เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าครั้งก่อนจ้าวปีศาจเสวียนหยินก็ได้ลงมือแล้วแต่กลับไม่สามารถสังหารหลัวซิวได้ ปัจจุบันศักยภาพของหลัวซิวแข็งแกร่งมากกว่าเก่า การที่จะสังหารเขานั้น จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าเดิมอยู่แล้ว
จ้าวปีศาจเสวียนหยินโบกมือครั้งหนึ่ง แสงมืดที่นับไม่ถ้วนจึงปรากฏกลางนภา ก่อนจะพุ่งสังหารเข้าไปทางหลัวซิวดั่งธนูกระบี่ที่เฉียบคม
“หึ”
เมื่อเห็นว่าจ้าวปีศาจเสวียนหยินเป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อน หลัวซิวยืนนิ่งอยู่กับที่พลางแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “จ้าวปีศาจเสวียนหยิน มึงกล้าหาญไม่เบาเลยนี่!”
เตากลั่นนภาจื่อเซียวบินออกมาจากหว่างคิ้วหลัวซิว เตาเซียนหมุนติ้ว ๆ แล้วมีม่านแสงสาดส่องลงมา ทำการต้านทานแสงมืดที่นับไม่ถ้วนเอาไว้ด้านนอก
“หัตถ์อัคคีระอุ!”
มีมือใหญ่สีทองข้างหนึ่งครอบคลุมพื้นที่รัศมีนับร้อยลี้ มีพระอาทิตย์เก้าดวงผนึกรวมกันกลางฝ่ามือ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจ้าวปีศาจเทียนหยางนั่นก็ลงมือแล้ว ทันทีที่ลงมือก็ปลดปล่อยพลังอมตะที่ตนชำนาญมากที่สุดออกมาเลย
“สรรพวิถีล้วนว้าง!”
หลัวซิวหกระเหินเดินฟ้า มองข้ามพลังโจมตีของจ้าวปีศาจเทียนหยาง เห็นเพียงเมื่อพระอาทิตย์ทั้งเก้าดวงที่มีพลังอันน่าสยดสยองแฝงซ่อนอยู่ประชิดใกล้ร่างกายหลัวซิว จู่ ๆ ปริมาตรของพระอาทิตย์ทั้งเก้าดวงก็เล็กลงกะทันหัน ภายใต้การสาดส่องจากแสงเซียน พระอาทิตย์ทุกดวงจึงสลายหายไปโดยสิ้นเชิง
พลังอมตะโจมตี ไร้ประสิทธิผล!
“นี่มันจะมีทางเป็นไปได้อย่างไร?”
จ้าวปีศาจเทียนหยางเบิกตากว้าง “หรือว่ามันก็เป็นร่างเทวไร้มลทินเหมือนกัน?”
ในโลกหล้านี้ ผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็มีเพียงร่างเทวไร้มลทินในตำนานแล้วล่ะ แต่ทว่าจวบจนปัจจุบัน ดูเหมือนผลการฝึกตนของสวีเซิ่งเจี๋ยแห่งโลกร้างที่ถูกเรียกขานว่าท่านชายไร้มลทิน ก็เพิ่งจะบรรลุถึงแดนมกุฎเทพหกกงล้อหรือเปล่า?
การที่จะทลายพลังอมตะที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้ออย่างเขาปลดปล่อยออกไปนั้น แดนของร่างเทวไร้มลทินจำเป็นต้องบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อก่อน
“มันไม่ใช่ร่างเทวไร้มลทิน แต่ก็แข็งแกร่งกว่าร่างเทวไร้มลทินมาก”
สีหน้าอารมณ์ของจ้าวปีศาจเสวียนหยินดูตึงเครียดอย่างยิ่ง ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา จ้าวปีศาจแห่งสำนักหยินหยางของพวกเขาไม่เคยร่วมมือกันมานานมาก ๆ แล้ว ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้ทั้งสองร่วมมือกันโจมตีคนคนหนึ่ง แต่กลับได้ปะทะกับปีศาจที่ไม่สามารถประเมินความลึกตื้นได้
“ตู้มม!”
มีเพลิงอัคคีที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมาจากเตากลั่นนภาจื่อเซียว แล้วซัดกระหน่ำไปทางจ้าวปีศาจเสวียนหยิน
ในขณะเดียวกัน เตาอลวนหวูจี๋ก็ถูกหลัวซิวเรียกออกมาเช่นกัน รัศมีเทวผสมผสานกัน แล้วมีเงาลวงมหาศักดิ์ที่ทรงพลังกว่าเก่าผนึกรวมออกมา
ใช้พลังแห่งวิถีเซียนในแดนจักรพรรดิเทพกระตุ้น ปัจจุบันมีคลื่นพลังที่เทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อแพร่กระจายออกมาจากเงาลวงมหาศักดิ์แล้ว
“ถอย!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงของทูตเพ้าขาวสะท้อนมาข้างหูจ้าวปีศาจเสวียนหยินและจ้าวปีศาจเทียนหยาง
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว จ้าวปีศาจทั้งสองจึงไม่ได้ประมือกับหลัวซิวต่อ ต่างพากันผันร่างเป็นแสงกล แล้วถอยกลับไปยังหุบเขาอสูรฟ้า
ในขณะเดียวกัน ผู้สูงส่งทั้งหกแห่งหุบเขาอสูรฟ้าที่กำลังประจัญบานกับพวกเจ้าเมืองต้าฮวงก็ต่างพากันถอยกลับ
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ กองทัพใหญ่ของหุบเขาอสูรฟ้าก็ล้วนถอยกลับเข้าไปในหุบเขาอสูรฟ้าแล้ว กลางอนัตตาเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยร้าวปริภูมิ มีเศษชิ้นส่วนของของขลังอาวุธที่นับไม่ถ้วน และมีเศษซากชิ้นส่วนร่างกายที่นับไม่ถ้วนด้วย เลือดสีแดงสดพุ่งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
“ฆ่า!”
เจ้าเมืองต้าฮวงออกคำสั่งหนึ่ง ผู้สูงส่งทั้งเจ็ดจึงผนึกรวมอสูรฟ้าเดชานุภาพแล้วบุกโจมตีเข้าไปในหุบเขาอสูรฟ้าโดยตรง
ในเวลาเดียวกัน ภายใต้การร่วมมือกระตุ้นและควบคุมจากจอมยุทธ์ที่นับไม่ถ้วน ของขลังโบราณของเมืองต้าฮวงโบราณก็คืนสภาพกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยสิ้นเชิง ก่อนจะพุ่งชนเข้ากับหุบเขาอสูรฟ้าอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตามเกราะป้องกันของหุบเขาอสูรฟ้าแข็งแรงมาก ซึ่งอยู่เหนือการจินตนาการของผู้คน ต่อให้อยู่ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ค่ายกลคุ้มกันของหุบเขาอสูรฟ้าก็แข็งแรงไม่อาจมลาย ไม่มีท่าทีที่จะแตกร้าวเลยแม้แต่น้อย
“ตู้มม!”
หลังจากหุบเขาอสูรฟ้าถูกโจมตีไปสามวัน ทั้งหุบเขาก็ลอยขึ้นฟ้ากะทันหัน พุ่งชนเข้ากับอนัตตาจนแตกสลาย ก่อนจะหายวับไปภายในพริบตา
“ฮ่าฮ่า พวกสวะแห่งหุบเขาอสูรฟ้า เก่งจริงพวกมึงก็อย่าหนีสิ!”
“เราชนะแล้ว!”
“หุบเขาอสูรฟ้าบินหนีไปแล้ว!”
จากการบินหนีของหุบเขาอสูรฟ้า อารมณ์ความรู้สึกของคนฝั่งเมืองต้าฮวงโบราณก็ฮึกเหิมขึ้นมา ตะโกนโห่ร้องอย่างมีความสุข
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า แก่งแย่งดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมา!”
เจ้าเมืองต้าฮวงโบกมือครั้งหนึ่ง คูเมืองที่เก่าแก่ลอยอยู่บนนภาสูง ตระกูลเทียนฮวงรวมไปถึงผู้คนในตระกูลสำนักทั้งหลายต่างพากันลงมือปฏิบัติการ ทำการแก่งแย่งดินแดนที่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่ายึดครองไปกลับมา
ในช่วงอดีตที่ผ่านมา แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าลงมือปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งภายใต้การสนับสนุนของโลกาฟ้าดินหลิงหลงและโลกาเทพมังกรไท่ชู พวกเขาแทบจะยึดกุมอาณาเขตหนึ่งในสามของทั้งโลกร้างเลย
……
“ท่านทูต จักยอมแพ้เช่นนี้เลยหรือ?”
ภายในหุบเขาอสูรฟ้าที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ในอนัตตา จ้าวปีศาจเสวียนหยิน จ้าวปีศาจเทียนหยางรวมไปถึงบรรพอาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์เก้ากงล้อแห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าล้วนมองทูตเพ้าขาวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแปลกใจ
“ไม่ยอมแพ้แล้วจะทำอย่างไรได้?”
ทูตเพ้าขาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งประโยคหนึ่ง เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าสงครามในครั้งนี้เป็นเพียงการทดสอบหยั่งเชิงโลกร้างของท่านเจ้าศักดิ์สิทธิ์
การทดสอบหยั่งเชิงในครั้งนี้ มีผู้สูงส่งเจ็ดคนปรากฏในชนเผ่าฮวง แต่ในส่วนของเรื่องที่ว่าตกลงชนเผ่าฮวงมีผู้สูงส่งกี่คนนั้น ก็ยังเป็นตัวเลขที่ไม่แน่ชัดอยู่ดี
“ท่านทูต นะนี่……”
สีหน้าของบรรพอาจารย์แห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าเปลี่ยนไป “เมื่อเราถอย อาณานิคมของชนเผ่าเฉว่ซ่าและแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจเราก็ต้องถูกพวกคนในเมืองต้าฮวงโบราณยึดครองไปแน่นอน”
ก็ไม่แปลกหรอกที่บรรพอาจารย์ชนเผ่าเฉว่ซ่าจะลนลานเช่นนี้ อย่างไรเสียรากฐานของชนเผ่าเฉว่ซ่าก็ยังอยู่ที่โลกร้าง แม้นชนเผ่าเฉว่ซ่าจะส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยออกไปเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ แต่คนส่วนมากในชนเผ่ายังคงอยู่ในสถานบรรพบุรุษ
“หุบปาก!”
ทูตเพ้าขาวทำเสียงหึอย่างไม่ค่อยพอใจทีหนึ่ง บรรพอาจารย์ชนเผ่าเฉว่ซ่าจึงสั่นสะดุ้งขึ้นมาทันที ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก เนื่องจากเมื่อครู่นี้เขาสัมผัสจิตสังหารเสี้ยวหนึ่งที่ไม่มีการปิดบังได้จากตัวทูตเพ้าขาว
ถ้าเกิดเขายังกล้าพูดจาไร้สาระอีกแม้แต่คำเดียว เกรงว่าคงจะถูกทูตเพ้าขาวสังหารคาที่แน่นอน
จ้าวปีศาจเสวียนหยินและจ้าวปีศาจเทียนหยางสบตากันครั้งหนึ่ง ต่างสามารถมองเห็นความจนปัญญาได้จากแววตาของกันและกัน
วินาทีนี้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจอีกได้อย่างไร แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของโลกาฟ้าดินหลิงหลงและโลกาเทพมังกรไท่ชูเท่านั้นแหละ ซึ่งประโยชน์ของหมากอย่างพวกเขาก็คือการทดสอบหยั่งเชิงชนเผ่าฮวง
ปัจจุบันแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าไม่มีมูลค่าใด ๆ ที่สามารถหลอกใช้ได้อีกแล้ว และพวกเขาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปยังโลกร้างได้อีกเช่นกัน ทางรอดเพียงหนทางเดียวก็คือขอสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชูพึ่งพิง
ทันใดนั้นเอง หัวใจของทูตเพ้าขาวก็สั่นไหวขึ้นมา เขายกมือขึ้นมาขยำทีหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีรัศมีที่เป็นประกายระยิบระยับปรากฏในมือเขา
“จ่างเทียนตี้?”
ทูตเพ้าขาวขมวดคิ้วลง และรัศมีที่อยู่ในมือเขาก็คือข่าวสารที่ผู้แข็งแกร่งฝั่งจ่างเทียนตี้ส่งมาให้เขานั่นเอง
ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา กองกำลังของจ่างเทียนตี้ล้วนเคลื่อนไหวอยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมาโดยตลอด และสงครามแห่งมหันตภัยในครั้งนี้ โลกาฟ้าดินหลิงหลงและโลกาเทพมังกรไท่ชูก็เลือกที่จะร่วมมือกันจัดการโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด
และเวลานี้กองกำลังอย่างจ่างเทียนตี้ก็ยื่นกิ่งใบสมอที่เป็นสัญลักษณ์สันติภาพให้สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงและเผ่ามังกรไท่ชู ดูเหมือนก็มีเจตนาที่อยากร่วมมือกันเช่นกัน
……
ณ สถานบรรพบุรุษชนเผ่าฮวง ภายในวิหารบรรพจารย์
“บรรลุแล้ว! ฮ่าฮ่า เจ้าหมอนั่นไม่เลวเลยนี่ เพิ่งบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพเจ็ดกงล้อ ก็สามารถสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์แปดกงล้อช่วงปลายได้แล้ว”
ชายชราแก่เฒ่าที่ใบหน้าแดงระเรื่อคนหนึ่งดื่มเหล้า พลางใช้นิ้วชี้ไปทางภาพฉากที่ปรากฏบนกระจกอย่างไม่สนภาพลักษณ์
ซึ่งสิ่งที่ปรากฏอยู่บนกระจกย่อมต้องเป็นสถานการณ์รบกลางอนัตตาระหว่างเมืองต้าฮวงโบราณและหุบเขาอสูรฟ้าอยู่แล้ว
“ตาเฒ่าฮวง เจ้าเมาแล้ว”
มกุฎเต๋าหวูจี๋นั่งท่าขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูด
“ข้าไม่ได้เมาสักหน่อย เจ้าเคยเห็นมกุฎเต๋าเมาด้วยหรือ?”ตาแก่ที่ผอมแห้งเบ้ปากพลางตอบกลับ
มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็จนปัญญามากเช่นกัน ในบรรดามกุฎเต๋าจำนวนมากของพื้นโลกดาราทั้งสามโลกา เกรงว่าก็คงมีเพียงบรรพจารย์ฮวงคนนี้เท่านั้นแล้วที่ไม่มีความเป็นมกุฎเต๋าเลย ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ปล่อยตัวมากเกินไป
“พอแล้ว มาคุยเรื่องทางการดีกว่า ครั้งนี้พวกมันแค่ทดสอบหยั่งเชิง ผู้ที่ส่งมาก็เป็นเพียงพวกเด็กระดับผู้สูงส่ง แต่ทว่าหากมีครั้งต่อไปละก็ เกรงว่าคงจะส่งระดับประมุขเต๋ามาแล้ว”จู่ ๆ สีหน้าของมกุฎเต๋าหวูจี๋ก็ดูเข้มงวดขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว มกุฎเต๋าบรรพจารย์ฮวงที่ยังดูไม่จริงจังในเมื่อครู่นี้ก็หุบยิ้มเช่นกัน ยกดื่มเหล้าที่อยู่ในมือหมดแก้วในอึกเดียวแล้วพูด: “ใช่สินะ มหันตภัยยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้มาแล้ว แล้วใครให้แดนบรรพกาลดันอยู่ในโลกร้างของข้าเล่า?”
“ตลก หากแดนบรรพกาลไม่อยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่ในโลกร้างแล้วเฝ้าดูแลรักษาไปพร้อมกับตาแก่อย่างเจ้ารึ?”มกุฎเต๋าหวูจี๋หัวเราะพลางตำหนิด่า