มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2888 กงล้อเทพหมื่นผสม
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2888
“สามารถฝึกตนได้ถึงผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่มีสักคนที่จะสามารถจัดการได้ง่าย ๆ เลยจริง ๆ”
ในครั้งนี้ไม่สามารถยึดมังกรพิษเก้าตัวทั้งหมดเอาไว้ได้ ถึงแม้หลัวซิวจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็พึงพอใจมากแล้ว
ถึงอย่างไร นั่นก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด เขาใช้ผลการฝึกตนแดนมกุฎเทพแย่งชิงการคุ้มกันของมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมาได้ ไม่ต่างอะไรกับการถอนเขี้ยวออกจากปากเสือ
หากไม่ใช่เพราะพลังอำนาจอันไร้เทียมทานของของขลังเตาอลวนหวูจี๋ชิ้นนี้ หลัวซิวก็รู้ตัวดีว่าตนจะไม่มีทางมีพลังเฉกเช่นนี้ได้
ขาของเขาเพิ่งจะก้าวลงสู่พื้นโลกของเมืองต้าฮวงโบราณ ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นบนท้องฟ้าเหนือหัว เมฆสีดำที่รวมตัวกันเป็นลูกคลื่น สีดำสนิทเหมือนน้ำหมึก สายฟ้าทัณฑ์สวรรค์
“ทัณฑ์สายฟ้าช่างมาได้อย่างรวดเร็วดีเหลือเกิน”
สำหรับสิ่งนี้หลัวซิวไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด เขาฝึกตนมาถึงวันนี้ ไม่รู้ว่าผ่านมาทัณฑ์สายฟ้าพิโรธมามากน้อยเพียงใดแล้ว มันเหมือนเป็นความเคยชินสำหรับเขาไปเสียแล้ว
เมื่อเทียบกับนักยุทธ์คนอื่น ๆ ที่บรรลุแดนใหญ่จึงจะมีทัณฑ์สายฟ้าลงมาเยือน แต่เขากลับมีทัณฑ์สายฟ้าให้ทุก ๆ การบรรลุแดนเล็ก หากเว้นระยะไปช่วงหนึ่งแต่ยังไม่ถูกสายฟ้าฟาดนั่นก็กลับกลายเป็นความไม่เคยชินไปเสียอย่างนั้น
“ปัง! ปัง! ปัง!”
ทัณฑ์สายฟ้าใช้เวลาไม่นานในการควบแน่น ในพริบตา สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็ตกลงมาจากบนฝากฟ้าท้องฟ้า
ท่ามกลางบททดสอบอันยิ่งใหญ่ที่โดนถล่มด้วยสายฟ้านั้น สีหน้าของหลัวซิวกลับแสดงออกมาถึงความรู้สึกผ่อนคลาย อาศัยร่างเนื้อเคล็ดเซียนแปรเก้าขั้นที่ห้า เรียกได้ว่าเป็นสมบัติแห่งจักรพรรดิเทพชั้นยอด ทัณฑ์สายฟ้าในระดับเช่นนี้สำหรับเขา ก็เหมือนการนอนแช่อยู่ในน้ำร้อนเท่านั้น
“นั่นคืออะไรน่ะ!”
“มีคนกำลังข้ามผ่านทัณฑ์?”
“เหตุใดเมฆทัณฑ์จึงเคลื่อนที่ได้?”
“……”
ตามระยะห่างของหลัวซิวที่เข้าใกล้เมืองต้าฮวงโบราณยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ นักยุทธ์ซึ่งมีหน้าที่รักษากำแพงเมือง ทันใดนั้นก็เห็นกลุ่มเมฆทัณฑ์สายฟ้า เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เมืองต้าฮวงโบราณมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้น ทหารรักษาการณ์จำนวนมากบนกำแพงเมือง ก็รู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ!
แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจและชนเผ่าเฉว่ซ่าได้ประกาศสงครามแล้ว มหาสงครามสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์พิเศษใด ๆ ก็ตามก็สามารถดึงดูดความสนใจจากเมืองต้าฮวงโบราณได้เป็นอย่างดี
“ข้าดึงดูดความสนใจมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
ภาพเงาของเมืองต้าฮวงโบราณปรากฏขึ้นในสายตา หลัวซิวก็รู้สึกถึงตัวสํานึกอันแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งที่กวาดเข้ามา อาจเป็นเพราะความกลัวจากทัณฑ์สายฟ้า ตัวสํานึกเหล่านี้จึงลอยอยู่ใกล้ ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป
ทัณฑ์สายฟ้าของนักยุทธ์เป็นถึงพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์ บริเวณโดยรอบของทัณฑ์สวรรค์ที่ลงมานั้น ไม่มีการโจมตีอย่างแบ่งแยก และตัวสำนึกเมื่อเทียบกับตัวของนักยุทธ์แล้วจะค่อนข้างอ่อนแอกว่า ดังนั้นจึงไม่กล้าเข้าไปต้านอำนาจของทัณฑ์สวรรค์โดยตรง ๆ
แน่นอนว่า คนที่เหมือนอย่างหลัวซิวที่วิญญาณตัวสำนึกได้ฝึกตนถึงระดับพลังแห่งญาณเทวแล้วนั้น จะไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้
เมื่อเห็นว่าทัณฑ์สายฟ้าดูเหมือนจะไม่มีการสิ้นสุดในเร็ว ๆ นี้ หลัวซิวย่อมไม่เอาทัณฑ์สายฟ้าเคลื่อนเข้าไป ดังนั้นเขาจึงอยู่ในที่เดิมก่อน โดยตั้งใจว่าเมื่อจบทัณฑ์สายฟ้าแล้วค่อยว่ากันอีกที
“มีคนกำลังข้ามผ่านทัณฑ์จริง ๆ ด้วย ดูจากพลังของทัณฑ์สายฟ้าแล้ว ดูเหมือนจะมีคนกำลังบรรลุแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดใช่หรือไม่?”
“อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนที่แล้ว น่าจะเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้เพื่อนยุทธ์จากสำนักใด จึงได้มาข้ามผ่านทัณฑ์ถึงที่นี่”
บนกําแพงเมืองนักยุทธ์หลายคนที่ได้รับข่าวต่างมารวมตัวกัน พวกเขาต่างก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
สองชั่วยามต่อมา ทัณฑ์สายฟ้าก็สลายตัว นักยุทธ์หลายคนก็กระจายตัวสํานึกออกไปในทันที เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำ หน้าตาเหมือนวัยหนุ่มสาวกำลังเดินไปทางเมืองต้าฮวงโบราณ
“คนผู้นี้เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนเคยพบเจอ?”
“เป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ ว่ากันว่าเป็นผู้สูงส่งไท่ซ่างกลับชาติมาเกิด ในชาตินี้เขามีนามว่าหลัวซิว!”
สถานะของหลัวซิวไม่นานก็ถูกผู้คนจำได้ ถึงอย่างไรเขาในวันนี้สำหรับโลกร้างก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นร่างเกิดใหม่ของผู้สูงส่งไท่ซ่าง หรือสถานะเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ ต่างก็เพียงพอให้นักยุทธ์จำนวนมากจดจำเขาได้
เมื่อมาถึงประตูเมืองของเมืองต้าฮวงโบราณ หลัวซิวก็หยิบใบเชิญขึ้นมา ทหารยามที่ประตูทำความเคารพด้วยความหวาดกลัว หลัวซิวก้าวเท้าเดินเข้าเมืองไป
เข้ามาในเมืองต้าฮวงโบราณ สายตาของหลัวซิวก็ทอดมองออกไปยังทิศทางของตำหนักหลักเมือง ออร่าอันกว้างใหญ่และทรงพลังรวมตัวกันในทิศทางของตําหนักหลักเมือง ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“กงล้อเทพมากมายเหลือเกิน……”
แววตาของของหลัวซิวก็เผลอมองอย่างอดไม่ได้ เพราะในท้องฟ้าเหนือตําหนักหลักเมือง กงล้อเทพที่ส่องประกายระยิบระยิบที่มากมาย ลอยเคว้งอยู่ในอากาศเหมือน ราวกับดวงอาทิตย์จำนวนเป็นหมื่น!
กงล้อเทพนับหมื่นเรียงรายกันอยู่ในอนัตตา แตกต่างกันอย่างชัดเจน กงล้อเทพที่อยู่สูงที่สุดมีขนาดที่ใหญ่ที่สุด พลังเต๋าที่อยู่ภายในนั้นก็ทำให้คนตื่นตกใจมากที่สุด และนั่นคือกงล้อเทพของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง
ต่ำลงมา เป็นกงล้อเทพของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ มีมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรแปด และมีมหาจักรพรรดิยุทธ์วัฏจักรเก้า
ต่ำลงมาอีก ก็จะเป็นจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด!
“ช่างน่าตื่นตาตื่นใจจริง ๆ”
หลัวซิวพูดด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ เพียงแค่กงล้อเทพของจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดขึ้นไป เขาก็สามารถมองเห็นหมื่นผสมได้แล้ว
ภาพนั้นไม่เพียงแต่ทำให้หลัวซิวตื่นตาตื่นใจได้ ทุกคนที่อยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณณต่างตื่นตกใจและหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจ เพราะผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดที่โดยปกติจะไม่ค่อยได้พบเจอ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่สูงส่งเช่นนั้นก็ยังปรากฏตัวพากันขึ้นทีละคน ๆ อีกด้วย
มีผู้แข็งแกร่งมากมายรวมตัวกัน พลังศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาลปกคลุมฟ้าดิน พลังเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้แกร่งเลิศมาเยือน ก็เกรงว่ายังต้องอ้อมเดิน
เมื่อหลัวซิวมาถึงยังตำหนักหลักเมือง ลานด้านหน้าของตำหนักหลักเมืองก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์เข้าไปในงานประชุมในตำหนักหลักของตําหนักหลักเมืองนั้น ไม่เพียงแต่ต้องมีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดขึ้นไป นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีตัวตนและสถานะที่สมควรอีกด้วย
ด้วยสถานะของหลัวซิวย่อมมีสิทธิ์ได้เข้าไปในตำหนักหลัก ถึงแม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะยังไม่บรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด แต่ด้วยสถานะของเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ การมาครั้งนี้ก็ยังมาในนามตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์อาณากระบี่ เป็นตัวแทนที่เป็นหน้าเป็นตาของแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับมหาอำนาจ
ในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่อาณากระบี่หวูจี๋ รวมถึงสำนักตระกูลมากมายที่อยู่ได้โดยการพึ่งพิงอาณากระบี่หวูจี๋ ต่างก็ส่งผู้แข็งแกร่งมายังเมืองต้าฮวงโบราณตามคำเรียกร้องของอาณากระบี่ด้วย
ด้วยเหตุนี้เมื่อหลัวซิวเข้าไปภายในตำหนักหลักของตำหนักหลักเมือง จึงได้มีที่ผู้แข็งแกร่งจากสำนักตระกูลมากมายเป็นมิตรต่ออาณากระบี่หวูจี๋เข้ามาทักทายหลัวซิว
“เจ้าสำนักน้อยหลัว!”
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว!”
“ได้ยินด้านนอกเมืองคุยกันว่ามีคนข้ามผ่านทัณฑ์ ดูแล้วคงจะเป็นท่านชายหลัวใช่หรือไม่ ช่างเป็นเหมือนดั่งมังกรท่ามกลางฝูงชนจริงเสียด้วย!”
“ได้ยินมาว่าพลังที่แท้จริงของท่านชายหลัวสามารถเทียบได้กับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด สมแล้วที่เป็นผู้สูงส่งไท่ซ่างกลับชาติมาเกิด!”
โลกร้างในเวลานี้ การถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องของหลัวซิวมีมากมาย ถึงอย่างไรสถานะของเขาก็ค่อนข้างพิเศษ ทั้งยังต้องพบเจอกับการลอบฆ่าอีกนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นจึงมีผู้คนไม่มากที่จะดูถูกเขาเพียงเพราะผลการฝึกตนของเขาต่ำ
ยังไม่นับเรื่องอื่น เพียงสถานะของผู้สูงส่งไท่ซ่างกลับชาติมาเกิด เพียงแค่ในอนาคตเขายังมีชีวิตรอด การครอบครองผลการฝึกตนระดับผู้สูงส่งนั้นก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ สหายหลัว! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา!”
เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องเต็มไปด้วยความร่าเริงดังขึ้น เจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองต้าฮวงโบราณเดินเข้ามาทางนี้ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย โอบไหล่ของหลัวซิวด้วยความสนิทสนม
แน่นอนว่าคนผู้นี้ก็คือฮวงหวูจี๋ เมื่อเขาเห็นว่าหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็รู้ได้ทันทีว่าอาณากระบี่หวูจี๋อยู่ข้างชนเผ่าฮวง นั่นทำให้ในใจของฮวงหวูจี๋รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“ผลการฝึกตนของสหายหวูจี๋บรรลุไปอย่างรวดเร็วทีเดียว” หลัวซิวยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อสังเกตุเห็นผลการฝึกตนของฮวงหวูจี๋ในตอนนี้คือจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดช่วงต้นแล้ว ผลการฝึกตนยังไม่มั่นคงเท่าใดนัก น่าจะเป็นเพราะเพิ่งบรรลุได้ไม่นาน
“ใต้หล้ากำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย นี่จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ฮวงหวูจี๋แย้มปากฉีกยิ้มฝืน ๆ ออกมา เห็นได้ชัดว่าผลการฝึกตนของเขานั้นคือการอาศัยทรัพยากรเพื่อดันขึ้นไปให้สูงขึ้น ถึงอย่างไรในครั้งก่อนที่หลัวซิวได้พบเขายังเป็นมกุฎเทพวัฏจักรหกอยู่ หากพูดกันตามหลักการปกติของความคืบหน้าในการฝึกตนแล้ว มันไม่ควรจะเร็วถึงเพียงนี้
หลัวซิวพยักหน้า เขาสามารถเข้าใจปัญหาของฮวงหวูจี๋ได้เป็นอย่างดี ต่อให้เป็นตัวเขาจะไม่เลือกทำเช่นนี้เหมือนกันหรือ มหาทัณฑ์สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกคนต่างเพิ่มพลังและผลการฝึกตนอย่างไม่คิดชีวิต
โดยมีฮวงหวูจี๋คอยอยู่เคียงข้าง หลัวซิวก็หาที่นั่งหนึ่งภายในตำหนักหลัก สายตากวาดไปทั่วตำหนักหลักที่ตอนนี้จุคนไว้มากกว่าหกพันคน
หกพันกว่าคน แต่ละคนมีผลการฝึกตนอย่างต่ำที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด และเมื่อเวลาผ่านไป ยังมีผู้คนเข้ามาที่ตำหนักหลักนี้อยู่เรื่อย ๆ มีบางคนที่หลัวซิวรู้จักอย่างเจ้าสำนักบางแห่ง บรรพอาจารย์ตระกูลต่าง ๆ แต่ก็มีผู้แข็งแกร่งบางคนที่หลัวซิวไม่เคยได้ยินชื่อด้วยเช่นกัน
ทุกคนที่มายังที่แห่งนี้ ต่างก็ปลดปล่อยกงล้อเทพของตนเองออกมา กงล้อเทพวงแล้ววงเล่าราวกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงลอยขึ้นกลางอากาศ หลอมรวมเข้ากับกงล้อเทพวงอื่น ๆ ลอยเคว้งอยู่เหนือท้องฟ้าของตำหนักหลัก
การหลอมรวมของกงล้อเทพยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ปลดปล่อยออกมาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเพื่อกระตุ้นอำนาจของของ เมืองต้าฮวงโบราณ แสดงให้เห็นถึงจำนวนและความแข็งแกร่งของผู้แข็งแกร่ง เพื่อสร้างแรงฮึกเหิมให้กับผู้คนในสงครามที่กําลังจะมาถึง
ท่ามกลางตำหนักหลัก จักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดเกือบหมื่นคน ก็มีกงล้อเทพเกือบเจ็ดหมื่นวงลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ราวกับดาวฤกษ์เจ็ดหมื่นดวง ส่องประกายระยิบระยับ
เรียงตามระดับความสูงต่ำของผลการฝึกตน กงล้อเทพบางวงเรียงอยู่ด้านบน บางลงเรียงรายอยู่ด้านล่าง
กงล้อเทพของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มีขนาดใหญ่กว่ากงล้อเทพระดับจักรพรรดิเทพอย่างเห็นได้ชัด พลังเต๋าแข็งแกร่งกว่า จำนวนก็ไม่ได้มีมากเหมือนดั่งกงล้อเทพระดับจักรพรรดิเทพ ถึงอย่างไรผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วทั้งโลกร้าง ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่ได้พบเจอได้มากเช่นนั้น
“ได้ยินมาว่าพลังของสหายหลัวเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด เหตุใดจึงไม่ปลดปล่อยกงล้อเทพของเจ้าออกมา เพื่อช่วยเสริมพลังให้กับพวกเรา?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น หลัวซิวหันไปมองตามเสียง ก็เห็นว่าเห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วง ตรงเข้ามาด้วยสีหน้าหยิ่งยโส
ไม่จำเป็นต้องให้ฮวงหวูจี๋แนะนำ หลัวซิวก็รู้จักคนผู้นี้ ถึงอย่างไรในช่วงนี้เขาก็รับผิดชอบอาณากระบี่หวูจี๋อยู่ ได้อ่านข่าวกรองที่เกี่ยวข้องกับกองกําลังของโลกร้างและจำได้หลายสิ่งหลายอย่าง
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นคนจากสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของผู้สูงส่งโลกร้างในปัจจุบัน
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงนามว่าจั่วชิว เป็นถึงจักรพรรดิเทพวัยเยาว์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์
ท่ามกลางนักยุทธ์ระดับเทพมารสามารถได้รับสมยานามว่าเป็น “ชายหนุ่มวัยเยาว์” ระยะเวลาในการฝึกตนนั้นต่างก็ไม่ถึงสามพันปี เมื่อเทียบกับอายุขัยที่ยืนยาวของผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ ระยะเวลาสามพันปีนั้นจึงถือว่ายังอายุน้อยอยู่มาก
จั่วชิวก็คือคนที่ฝึกตนไม่ถึงสามพันปีก็บรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด ดังนั้นจึงได้รับการยกย่องเป็นจักรพรรดิเทพวัยเยาว์
ดังเช่นฮวงหวูจี๋ที่ยังเยาว์วัยมาก แต่เวลาในการฝึกตนของเขาก็ได้ล่วงเลยไปมากกว่าสามพันปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รับการสรรเสริญและยกย่องเช่นนี้
ซึ่งนี่ก็หมายความว่า จั่วชิวผู้นี้ คืออัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โลกยุทธ์แข็งแกร่งยิ่งกว่าฮวงหวูจี๋อย่างมาก!
แน่นอนว่า อัจฉริยะต่างก็มีความหยิ่งผยอง เพราะฉะนั้นจั่วชิว สำหรับเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ที่ลึกลับอย่างยิ่งที่เข้ามาอยู่ในโลกร้างต่อหน้าตนนั้น จึงมีความรู้สึกดูถูกหยามเหยียดอยู่ไม่น้อย
ที่เขาบอกให้หลัวซิวปลดปล่อยกงล้อเทพของตนเองออกมา แน่นอนว่าเป็นการลองใจ
ผู้คนมากมายรอบ ๆ มองมาทางนี้ เห็นจั่วชิวและหลัวซิวเผชิญหน้ากัน ทุกคนเกิดความเข้าใจขึ้นพร้อมกันโดยปริยาย
แดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกร้างมีอยู่มากมาย เพียงแค่มีจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดกุมบังเหียน และสำนักตระกูลที่สืบทอดมากว่าล้านปีก็มีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าแดนแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
แต่ทั่วทั้งโลกร้างมีแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอดไม่มาก สำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์และอาณากระบี่หวูจี๋ต่างนับรวมอยู่ในจำนวนนั้น เพราะการมีอยู่ของฮวงจวินในปัจจุบัน ที่ผ่านมาสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ต่างถือว่าตนคือแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งมาตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าหลัวซิวมีชื่อเสียงมากกว่าตน แน่นอนว่ามันทำให้จั่วชิวแห่งสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
ว่ากันคามที่เขาได้รับรู้มานั้น ผลการฝึกตนของหลัวซิวผู้นี้ยังไม่บรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด กงล้อเทพของเขาจะไปมีคุณสมบัติอะไรมาเทียบกับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพมากมายเหล่านั้นได้? คาดการว่าเพียงแค่เขาอัญเชิญกงล้อเทพของตนออกมา เกรงว่าในพริบตาก็คงจะถูกกงล้อเทพของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นกดไว้ไม่สามารถลอยขึ้นไปได้
สำหรับข่าวลือว่าเขามีพลังเทียบเท่าจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด จั่วชิวยิ่งไม่คิดเช่นนั้น เพราะว่าเขารู้ว่าหลัวซิวผู้นี้คือผู้สูงส่งไท่ซ่างกลับชาติมาเกิด ร่างเกิดใหม่ของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง ย่อมต้องมี เขาต้องมีสมบัติที่ทรงพลังจากชาติที่แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของสมบัติทำให้เขาสามารถไปถึงการเทียบเท่าจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ด
และในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าสมบัติจะทรงพลังแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ กงล้อเทพจะสามารถเทียบเคียงกับกงล้อเทพของคนอื่น ๆ ได้หรือไม่ ต้องอาศัยพลังที่แท้จริงของแดนโลกยุทธ์และผลการฝึกตน!
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของจั่วชิว หลัวซิวก็รู้ได้ในทันทีว่าไอ้หนุ่มคนนี้จงใจท้าทายเขา ซึ่งมันทำให้เขาเบื่อหน่อยมาก
แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสำนักอัมพรเทวศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวก็นึกไปถึงตอนที่ตนเรียกหอคอยฮวงหลายต่อหลายครั้งแต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลว หากว่าไม่ใช่เพราะผู้ที่สนับสนุนเขานั้นค่อนข้างยิ่งใหญ่ ก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าตนอาจจะตายตกไปเนิ่นนานแล้ว