มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 939
ในวันนี้ระดับค่ายกลของร่างแยกชุดขาวได้บรรลุถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าแล้ว แม้กระทั่งสีครามสกัดออกมาจากหญ้าสีฟ้า แต่กลับมีสีเข้มกว่าสีฟ้า หากเทียบกับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำท่านนี้ที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลในสมัยโบราณแล้ว เขากลับเก่งกว่าเสียยิ่งกว่า
พรสวรรค์ในการตระหนักรู้ของเขานั้นหาตัวจับยาก ระยะเวลาสั้น ๆ ราวยี่สิบปีเท่านั้น ก็สามารถตระหนักรู้วิชาค่ายกลได้ถึงแดนนี้ ทำให้จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอดไม่ได้ที่จะชื่นชมด้วยความตกใจ
ร่างแยกชุดขาวเดินออกมาจากใจกลางหอคอยฝึกตน ยกมือขึ้นโบกสะบัด ธงค่ายแต่ละชิ้นกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปรอบด้าน จากนั้นธงค่ายกลายเป็นลายค่าย ประทับลงที่อนัตตา
“เริ่ม!”
ทันใดนั้น มือของเขาก็จีบวิชาค่ายกล ทั่วทั้งแดนปริภูมิสั่นไหวอย่างรุนแรง ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายออกจากใจกลางอนัตตาไม่สิ้น
หลายปีมานี้แดนตำหนักจื่อกับโลกภายนอกตัดขาดจากกัน ศิษย์จำนวนมากของสำนักไท่เสวียนต่างก็มีผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลการฝึกตนของผู้คุมกฎเกาเหลียนหงก็ได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ช่วงปลายแล้ว ศิษย์วัยเยาว์ในสำนักก็มีหลายคนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง ก็ได้บรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์และแดนราชายุทธ์แล้ว เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตของสำนักไท่เสวียน
การพัฒนาของสำนักแห่งหนึ่ง ไม่สามารถจะดูแต่ระดับพลังต่อสู้ที่มากล้นได้ ยังจำเป็นต้องดูว่าในภายภาคหน้ายังมีคนสืบทอดหรือไม่ การสืบทอดของสำนักจะได้ไปต่อหรือไม่นั้น จำเป็นต้องเติมเต็มด้วยเลือดสด ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงจะเพียงพอที่จะสามารถยืดเวลาชีวิตออกไปได้
ในบรรดาศิษย์ใจกลาง ผลการฝึกตนของปี้เซียนเสว่สูงที่สุด ตอนนี้ได้บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว นางยังเป็นร่างแห่งเสวียนหยินแต่กำเนิด ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีใครชี้นำ ยังสามารถฝึกตนได้ถึงแดนระดับนี้ คุณสมบัติพรสวรรค์ของเขานั้นสามารถเรียกได้ว่าอยู่ในขอบเขตของอัจฉริยะระดับแนวหน้าแล้ว
แต่ว่า ผู้ที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วที่สุดกลับไม่ใช่ปี้เซียนเสว่ แต่เป็นหลินจื่อเฟิง
ในตอนนั้นที่หลินจื่อเฟิงติดตามเขามาที่สำนักไท่เสวียน ผลการฝึกตนเพิ่งจะถึงแดนราชายุทธ์ แต่ในวันนี้กลับบรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ทุกเมื่อ
ผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต่อให้เป็นหลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม ถึงจะบอกว่าความเร็วในการฝึกตนของเขานั้นเร็วกว่า แต่เขาได้รับโชคที่ดีมากมายร่วมด้วยจึงสามารถมาถึงขั้นนี้ได้ แต่หลินจื่อเฟิงกลับปิดขังอยู่ภายในแดนตำหนักจื่ออยู่ตลอด
ในตอนแรกที่ได้พบกับหลินจื่อเฟิง หลัวซิวก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา กระทั่งสามารถทำให้เขารู้สึกถึงความผูกพันบางอย่าง แต่ความรู้สึกเช่นนี้ เขาสามารถรู้สึกได้จากตัวของคนผู้เดียวเท่านั้น นั่นคือเหยียนซีโรว่
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเคยบอกเอาไว้ เหยียนซีโรว่คือความมุ่งมั่นที่เขาหลงเหลือเอาไว้ในชาติใดชาติหนึ่ง เมื่อผ่านการเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ความมุ่งมั่นนี้ก็จะหลบซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวิญญาณ เมื่อใดที่ได้พบเจอ เมื่อนั้นก็จะรู้สึก
ในเมื่อทั้งสองต่างก็มีความรู้สึกประเภทนี้เหมือนกัน หลัวซิวก็สามารถคาดเดาได้คร่าว ๆ ว่า บางทีหลินจื่อเฟิงคนนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเขาในชาติใดชาติหนึ่งก็เป็นได้
พูดถึงวัฏจักรชีวิต เมื่อผลการฝึกตนของหลัวซิวบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร ตามหลักการแล้วควรจะได้รับการมอบของขวัญครั้งหนึ่งจากกฎดั้งเดิม
เพียงแต่เขาไม่ได้รีบร้อยไปทำมันแต่อย่างใด เพราะว่าเขายังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ
“โครมคราม……”
หลายวันต่อมา แดนตำหนักจื่อเข้าใกล้อนัตตาโดยรอบของโลกแสงดาวแล้ว หลัวซิวชุดดำที่ยืนอยู่บนยอดเขาสายตานั้นราวกับสายฟ้า มองทะลุไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
“กำหนดตำแหน่ง!”
เขาตระโกนออกไปเสียงดัง มือจับเป็นตราประทับ ด้วยพลังแห่งกฎปริภูมิดั้งเดิม ตรึงแดนตำหนักจื่อเอาไว้
ทันใดนั้นเขาก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า ยกมือขึ้นโบกสะบัด ฉีกอนัตตา ก้าวเข้าไปภายในแดนตำหนักจื่อ
แดนตำหนักจื่อในทุกวันนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ฝึกตนที่ดีมากที่หนึ่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยออร่าปราณทิพย์อันแรงกล้า
หลังจากระดับค่ายกลของร่างแยกชุดขาวระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า สิ่งที่ลงมือทำเป็นอย่างแรก ย่อมเป็นการสร้างค่ายผนึกปราณอย่างยากลำบากภายในแดน ซึ่งจำเป็นต้องมีระดับถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า
ยิ่งไปกว่านั้นคือค่ายผนึกปราณเหล่านี้ต่างก็ถูกเขาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น สามารถดูดซับพลังจิตจากโลกภายนอกได้ในขณะที่ยังอยู่ในอนัตตา โดยผ่านการกลั่นแปรของค่ายผนึกปราณ แปรเปลี่ยนเป็นปราณทิพย์ เอาไว้ให้ศิษย์ของสำนักไท่เสวียนที่อยู่ในแดนได้ใช้ฝึกตน
มาถึงใจกลางหอคอยฝึกตน ร่างแยกชุดดำชุดขาวทั้งสองได้พบกันเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านไปเป็นเวลาสิบปี