มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 931
นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว เผ่าพันธุ์มารก็ยังสามารถมีชีวิตรอดต่อมาได้ เบื้องหลังเป็นไปได้อย่างมากว่ามีกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมากเป็นกองหนุนอยู่
หลัวซิวไม่รู้ว่าสมบัติที่เกราะเทพเวหากาลได้มานั้นมันคืออะไรกันแน่ มีเพียงในม้วนหยกสีทองที่บันทึกไว้ถึงเบาะแสของสมบัติ
ม้วนหยกสีทองถูกเขาดูไปหนึ่งครั้งก็ถูกทำลายไปแล้ว ในวันนี้ผู้ที่รู้ถึงที่ตั้งของสมบัตินั้น จึงมีเพียงแค่เขาคนเดียว
นอกจากนี้ หลายปีมานี้ที่โลกแสงดาวยังเกิดเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลัวซิว
หนึ่งในเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นที่เผ่าหงส์ เทพบุตรเผ่าหงส์ได้ปิดขัง ไม่นานนักก็จะบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร และเมื่อบรรลุเป็นเจ้ายุทธจักร ก็ต้องแต่งงานกับเทพธิดา สืบทอดสายเลือดเผ่าหงส์โบราณต่อไป
กองกำลังต่าง ๆ เพื่อที่จะตามหาเบาะแสของเขา ต่างพากันไปบีบคั้นแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ หมายจะให้ธิดาเทพหยุนไห่ทำนายอนาคต บอกที่อยู่ของเขาออกมา
ฉะนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกทำลายล้าง แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวตกใจยิ่งกว่าคือ ธิดาเทพหยุนไห่ในวันนี้ ก็คือเหยียนซีโรว่!
ธิดาเทพหยุนไห่ทุกรุ่นจะทำนายทำนายอนาคตได้เพียง 9 ครั้งเท่านั้น หลังจากเก้าครั้งก็จะต้องพบกับหายนะครั้งใหญ่ ร่างตายวิญญาณสูญสลาย
เหยียนซีโรว่คือศิษย์รุ่นก่อนของธิดาเทพหยุนไห่ ได้รับการสืบทอดวิชาแห่งชะตาของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่
“ให้ตาย!”
เมื่อหลัวซิวได้ยินข่าวนี้ ก็กลายร่างเป็นลำแสงบินลอยไปทางที่ตั้งของค่ายวาร์ปด้วยความรวดเร็วสูงสุด
ที่บริเวณใกล้เคียงของค่ายวาร์ป มีผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ ของโลกแสงดาวคอยเฝ้ายามอยู่ เพราะที่นี่คือเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านจากแดนดารานอกไปยังโลกแสงดาว
ตลอดทางที่หลัวซิวผ่านมานั้นได้เข่นฆ่าแดนเจ้ายุทธจักรไปราว ๆ สิบกว่าคน จนกระทั่งมีผู้แข็งแกร่งระดับอนาคินเจ้ายุทธจักรผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหน้า บังเส้นทางที่เขาต้องการจะมุ่งไป
“หลัวซิว เห็นแก่เจ้าที่ยังเยาว์วัยฝึกตนอย่างยากลำบาก เพียงแค่เจ้ามอบม้วนหยกออกมา จากนั้นกลายมาเป็นศิษย์ของตำหนักดารานภาของข้า ข้าก็จะไม่ถือโทษในความผิดพลาดที่ผ่านมา”
เจ้ายุทธจักรดาราทั้งร่างครอบคลุมไปด้วยแสงดาราระยิบระยับไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับร่างประทับของทวยเทพ เอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงท่าทางอย่างผู้สูงส่ง
เรื่องของหลัวซิวนั้นสำหรับโลกแสงดาวนั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด กองกำลังใหญ่เพียงแค่ทำการตรวจสอบก็สามารถรู้ได้ เขาฝึกตนจนถึงวันนี้ราว ๆ 20 ปีเท่านั้น แต่กลับบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร การฝึกตนที่รวดเร็วระดับนี้ ราวกับเป็นเรื่องที่ต้องแต่สมับโบราณจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด อัจฉริยะเช่นนี้เมื่อเติบโตขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องเป็นถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่ง หรือกระทั่งสามารถคาดหวังว่าจะบรรลุถึงเทพมารระดับนิรันกาลได้เลย
ตำหนักดารานภาได้มีซิงหลิงอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นหมื่นปีอัจฉริยะยากจะพบสักคน ถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นคนที่จะฝึกตนเป็นเทพมาร
ถ้าหากว่ามีหลัวซิวอีกสักคนมาเข้าร่วม เช่นนั้นตำหนักดารานภาภายในร้อยปีข้างหน้าก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีเทพมารสองคน เรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแสงดาว
ความคิดที่ไม่มองความเป็นจริงของเจ้ายุทธจักรดารานั้นช่างสว่างไสว แต่หลัวซิวกลับไม่ได้หวั่นไหวตามไปเลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะแย่งชิงม้วนหยก แม้กระทั่งไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจไล่ตามล่าข้า ตำหนักดารานภาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ใหญ่ทั้งสี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จากที่มุมมองของข้า ก็เป็นเพียงเท่านั้นไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด”
สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลัวซิวมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็เป็นแค่เพียงผู้คนที่ใช้หาประโยชน์ต่อกันเท่านั้น
เขาพลิกมือเรียกหอกยุทธ์มังกรดำออกมา ทันใดนั้นก็ระเบิดออกไป หอกรบมังกรเปล่งรัศมีนับร้อยลี้ บดขยี้สูญญากาศ
เจ้ายุทธจักรดาราเป็นถึงอนาคินผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร พลังต่อสู้เทียบเท่ากับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป ดังนั้นในวินาทีที่หลัวซิวลงมือนั้นก็ได้ลงมืออย่างเต็มกำลัง ไม่เพียงแต่ระเบิดหอกรบมังกรเปล่งรัศมีออกไป แต่ยังใช้ตราทวยมรณะไปด้วย
“หืม?” เมื่อหลัวซิวขับเคลื่อนหอกยุทธ์มังกรดำ เจ้ายุทธจักรดาราก็สัมผัสได้ถึงออร่าที่ตระหง่านนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นักยุทธ์ระดับสมบัติวิเศษพรสวรรค์งั้นรึ?”
เขาในฐานะอนาคินเจ้ายุทธจักร กลับไม่มีสมบัติระดับนักยุทธ์สมบัติวิเศษพรสวรรค์สักชิ้น เห็นได้ชัดว่าเจ้าหลัวซิวผู้นี้ประสบโอกาสที่ดีอย่างมาก โชคลาภมหาศาล