มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 860
ปัง!
กระบี่คู่ของลูนฟาดฟันลงไปอย่างรุนแรง แต่ที่แตกสลายนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงเท่านั้น
“ลูน ระวัง มันอยู่ด้านหลังเจ้า!” เสียงของผู้คนจากด้านล่างตระโกนเตือน
สีหน้าของลูนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่ทันได้ตอบโต้ใด ๆ มืดหนึ่งก็จับอยู่บนศีรษะของเขา ถึงแม้ร่างเนื้อของเขาจะบรรลุถึงระดับแดนเจ้ายุทธจักร แต่ศีรษะของเขาก็ยังถูกตบจนแตกละเอียด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว
ว่ากันตามร่างยุทธ์แล้วนั้น ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ต่างเป็นแดนเจ้ายุทธจักรช่วงต้น แต่แดนกฎของหลัวซิวมีระดับที่สูงมาก อีกทั้งเดิมทีกฎความตายก็เชี่ยวชาญด้านการโจมตี ย่อมสามารถโจมตีการป้องกันของเขาจนสลายไปได้
เสียงดังปังสนั่น ร่างกำยำทว่าไร้วิญญาณของลูนกระแทกลงกับพื้นทันที หลัวซิวก็ยังคงเก็บของที่ได้จากการต่อสู้อย่างสบายใจอยู่เช่นเดิม
ที่โลกเชิ่งถิงนั้นมีวิธีการกลั่นแปรอาวุธขลังแตกต่างจากโลกแสงดาวอยู่บ้าง ให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งและวัสดุของอาวุธขลังเป็นอย่างมาก แต่อาวุธขลังที่กลั่นแปรในโลกแสงดาว กลับให้ความสำคัญกับก็เพิ่มพลังมากกว่า แต่ละที่ต่างมีความโดดเด่นต่างกัน
ทางด้านค่ายสว่าง มีหลายคนที่มีทีท่ากล้า ๆ กลัว ๆ เดินขึ้นมาบนแท่นประลอง แต่กลับไม่ได้มาท้าประลองกับหลัวซิว แต่มาเพื่อเก็บศพของดาซีและลูน
“ไม่มีใครขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่?” หลัวซิวกวาดตามองไปทางฝั่งค่ายสว่าง เดิมทีกำจัดดาซีเรียบร้อยแล้วเขาก็ตั้งใจจะลงมา แต่เจ้ายักษ์โง่นั้นกลับดื้อดึงจะขึ้นมามอบแต้มห้วงกระบี่ให้เขา แน่นอนว่าเขาก็ต้องยินดีรับไว้อยู่แล้ว
“ไอ้สารเลวนี่จองหองยิ่งนัก!”
คนจากทางด้านค่ายสว่างราวกับจะพ่นไฟออกมาทางดวงตา แต่ผ฿คนส่วนมากต่างก็ไม่กล้าที่จะขึ้นมาบนแท่นประลอง เพราะว่าแม้แต่ดาซีกับลูนต่างก็ตายกันหมดแล้ว หากพวกเขาขึ้นไปนั่นก็เท่ากับขึ้นไปตายเปล่า ๆ
“ฮ่า ๆ ไอ้พวกขี้ขลาดค่ายสว่าง เมื่อครู่พวกเจ้ายังอวดดีนักหนาอยู่เลยมิใช่หรือ?”
ทางด้านค่ายมืด ครั้งนี้ถือว่าสามารถคลี่คลายสถานการณ์ไปได้ ก็เริ่มหันกลับมาเยาะเย้ยคนจากทางด้านค่ายสว่าง
“พวกเรากลับ!”
คนจากค่ายสว่างต่างก็รู้สึกอับอายจนหน้าร้อนขึ้นมา ไม่สามารถทนรับสายตาเย้ยหยันที่ถูกส่งมาจากทั่วทุกสารทิศได้ ภายใต้การนำทัพของคนจำนวนหนึ่ง พวกเขาได้ออกจากตำหนักเทวมืดไปอย่างรวดเร็ว
“จะไปแล้วหรือ?”
หลัวซิวมุ่ยปาก เดินลงจากแท่นประลอง แค่จัดศัตรูทิ้งไปสองคนก็สามารถได้รับแต้มห้วงกระบี่ได้ถึงพันแต้ม การซื้อขายแลกเปลี่ยนนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง
แต่น่าเสียดายที่คนจากค่ายสว่างไม่ได้โง่ไปเสียทุกคน ยอดฝีมือตายสองคน ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเก่งกาจของเขา ไม่มีใครกล้าหาญขึ้นมาบนแท่นประลองอีก
สายตาของคนจากค่ายมืดที่มองมายังหลัวซิว ต่างก็แฝงไปด้วยความนับถือและความยำเกรง เพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ใด ผู้แข็งแกร่งต่างก็ได้รับความเคารพ ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด พลังที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์ นี่คือคติความเชื่อของค่ายมืด
หลัวซิวมาที่ทางขึ้นชั้นที่สองอีกทั้ง
“เจ้าหนุ่ม พลังที่แข็งแกร่งของเจ้าช่างเกินความคาดหมายจริง ๆ”
ชายชราชุดคลุมสีดำสองคนที่เฝ้าอยู่ที่ปากทางเข้า มีท่าทีที่แตกต่างไปจากตอนแรกอย่างมาก เพราะภาพที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองเมื่อครู่นี้ พวกเขาก็ได้เห็นด้วยเช่นกัน
ชายชราชุดคลุมสีดำทั้งสองคนต่างก็มีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักร ภายใต้ข้อจำกัดบางประการของกองกำลัง คือไม่อนุญาติให้ลงมือต่อสู้ที่ชั้นหนึ่ง
การกระทำของหลัวซิว สามารถเรียกได้ว่าเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของค่ายมืดแล้ว พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ให้ความสำคัญกับเขา
หลัวซิวไม่ได้สนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย เอ่ยปากถามไปตรง ๆ ว่า “ข้าขึ้นไปที่ชั้นสองได้แล้วใช่หรือไม่?”
“ย่อมได้ แต้มห้วงกระบี่ของเจ้าเพียงพอสำหรับเงื่อนไขแล้ว แต่ผลการฝึกตนของเจ้ายังคงต่ำไปเล็กน้อย ทางที่ดีฝึกตนอยู่ที่ชั้นหนึ่งอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง ค่อยขึ้นไปที่ชั้นสองจะเป็นผลดีกับเจ้ามากกว่า”
“ใช่แล้ว ถ้าเจ้าขึ้นไปที่ชั้นสอง ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้มาเข่นฆ่าที่ชั้นหนึ่งอีก ทำได้แค่เพียงท้าประลองอยู่ที่ชั้นสองเท่านั้น ที่ชั้นสองส่วนมากต่างก็เป็นเจ้ายุทธจักร มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นอัจฉริยะมีผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์แต่มีพลังรบระดับเจ้ายุทธจักรได้”
ชายชราชุดคลุมสีดำทั้งสองพูดเกลี้ยกล่อม นั่นก็เพราะเขาเห็นแก่เจ้าหนูคนนี้ที่ปกป้องศักดิ์ศรีของค่ายเอาไว้ ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากเตือน