มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 680
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 680
นับจากที่ได้รับลูกแก้วความเป็นตายมา จากประสบการณ์ในหลายปีมานี้ ของกำนัลจากกฎดั้งเดิมนั้นมีประโยชน์ต่อหลัวซิวเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้แล้วยิ่งระดับผลการฝึกตนเพิ่มขึ้น ของกำนัลที่ได้รับจากกฎดั้งเดิมผ่านทางเทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็ยิ่งมากขึ้น ก็เหมือนกับของกำนัลที่ได้มาตอนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ในเมื่อก่อนหน้านี้ โดยให้เขาได้รับรู้กฎการเวียนว่ายตายเกิดเล็กน้อย
“ไปที่หอคอยฝึกตนอีกสามหอคอยที่เหลือก่อน ของกำนัลจากกฎดั้งเดิมนั้นเอาไว้ก่อน”
ในที่สุดหลัวซิวก็ห้ามใจของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีการดำรงอยู่อันยิ่งใหญ่ที่คนภายนอกไม่รับรู้ หากถูกคนพบตอนที่เขาเข้าสู่โซนสงสารวัฏเข้า เช่นนั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อย่างธรรมดาแน่นอน
เขากวาดตามองอันดับรายชื่อที่อยู่บนแท่นศิลาหิน หลัวซิวก็เหาะขึ้นสู่อากาศ มุ่งหน้าไปยังจุดที่หอคอยร่างทองตั้งอยู่
ในบรรดาจอมยุทธ์ ผู้ที่เดินเส้นทางกลั่นร่างนั้นมีไม่มากนัก เพราะการชุบร่างเนื้อ ไม่ใช่ว่าจะต้องอาศัยการกลืนกินพลังฟ้าดินจิตเพื่อฝึกฝนเท่านั้น แต่จะต้องให้ร่างเนื้อผ่านการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องให้ร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดถึงขีดสุด
ดังนั้น แม้ว่าจะอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ และมีคนที่เลือกเส้นทางการกลั่นร่างอยู่น้อยมาก
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่หลัวซิวมาถึงด้านหน้าหอคอยร่างทอง มีเพียงหนึ่งคนที่กำลังทะลวงด่านอยู่ในหอคอย และอีกคนอยู่ด้านนอกที่ไม่รู้ว่ากำลังต่อแถวหรือรอคนที่อยู่ด้านในอยู่กันแน่
หอคอยร่างทองเองก็มีทั้งหมดเก้าชั้น ตอนนี้ชั้นที่สองมีแสงสีทองกำลังส่องแสงระยิบระยับอยู่ หมายความว่ากำลังมีคนทะลวงด่านในชั้นที่สองอยู่
ร่างของเขาเหาะลงไปยังด้านข้างหอคอยร่างทอง ห้วงความคิดของหลัวซิวกำลังซื่อสารของกับมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ
“เจ้าหนุ่ม ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นล้วนฝึกฝนกลั่นวิญญาณและกลั่นร่าง จิตวิญญาณคือรากฐานของจอมยุทธ์ ในนั้นรวมไปด้วยพลังดวงจิต และพลังกาย!”
“นับแต่โบราณมา ผู้ที่สามารถบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรขึ้นไป ต่างก็เคยฝึกวรยุทธ์กลั่นวิญญาณหรือไม่ก็วรยุทธ์กลั่นร่าง แต่พวกคนที่ไม่ฝึกฝนวิญญาณ เพียงแค่ฝึกฝนพลังจิตแท้ ต่อให้มีพรสวรรค์เพียงใด ก็ยากที่จะบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรได้”
จากที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวมา เส้นทางที่เขาเดินนั้นก็คือการกลั่นร่าง และจากที่ระดับผลการฝึกตนยิ่งสูงขึ้น ความแข็งแกร่งของการกลั่นร่างและกลั่นวิญญาณก็จะยิ่งแสดงออกมาอย่างเต็มที่
“อย่าได้ดูถูกอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเด็ดขาด โดยเฉพาะอัจฉริยะทั้งสี่คนที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่เจ้าพูดถึงพวกนั้น จากพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นระดับผลการฝึกฝนการกลั่นวิญญาณหรือการกลั่นร่าง จะต้องอยู่เหนือกว่าคนอื่นที่อยู่ในแดนเดียวกันอย่างแน่นอน” มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวเตือน
สำหรับเรื่องที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวมานั้น หลัวซิวนั้นเห็นด้วยเป็นอย่างมาก อย่างน้อยครั้งแรกที่เขาไปทะลวงหอคอยเทพจิต ก็ทะลวงได้ถึงแค่ชั้นที่สองเท่านั้น
และต้าวหวูซินได้ทะลวงก่อนหน้าเขา ก็สามารถทะลวงได้ถึงชั้นที่สอง เหมือนว่าจะผ่านมาได้อย่างสบายกว่าเขา เช่นนี้ก็หมายความว่า ต้าวหวูซินจะต้องฝึกฝนยอดวิชายิ่งเลิศของวรยุทธ์กลั่นวิญญาณเป็นแน่แท้ ไม่เพียงตัวสำนึกวิญญาณแข็งแกร่ง แถมยังได้ร่ำเรียนวรยุทธ์ที่ร้ายกาจ
ตอนประลองยุทธ์ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น หลัวซิวยังเย้ยหยันอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้อยู่เลย แต่พอได้ไปมาหาสู่นานวันเข้า อัจฉริยะพวกนี้ก็ได้ค่อย ๆ เปิดเผยความสามารถแท้ปกปิดเอาไว้ออกมา ทำให้หลัวซิวรู้ว่าตนมองคนพวกนี้ต่ำไปจริง ๆ
“แม้ว่าข้าจะได้ลูกแก้วความเป็นตายมา ก็ไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดของเขาจะไม่มีใครเทียบได้ โลกกว้างใหญ่ไพศาล คนมีความสามารถปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย คนที่โดดเด่นยิ่งกว่าข้านั้น มีอยู่มากมาย!”
สภาพจิตใจของหลัวได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เพราะหลายปีมานี้ความสามารถของเขาก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังอ่อนวัยกว่าอีกมาก สติปัญญาก็ยังต้องเติบโตขึ้นไปอีก
ไม่นานนัก แสงสว่างในชั้นที่สองของหอคอยร่างทองก็พลันดับลง เงาร่างสายหนึ่งถูกส่งกลับออกมา เสื้อผ้าบนร่างกายขาดหลุดลุ่ย หน้าบวมจมูกช้ำ เลือดไหลอาบ