มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 571
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 571
หลัวซิวยังขาดอาวุธที่เหมาะมืออยู่สักชิ้น ถ้าหากสามารถครอบครองอาวุธของขลังที่เหมาะมือสักชิ้นหนึ่งย่อมเป็นดีที่สุด แต่อาวุธของขลังต่างมีราคาที่แพงมหาศาล หลัวซิวประเมินสถานการณ์ของตนเองแล้ว ก็พบว่าสามารถซื้ออย่างมากที่สุดก็สามารถซื้อได้แค่ของขลังชั้นกลางหนึ่งชิ้นเท่านั้น
ตราขลังมังกรเขียวชิ้นนั้นก็ไม่เลว แต่ของขลังประเภทตราขลังไม่ค่อยเหมาะกับตนเท่าไรนัก ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้ใช้มัน และมอบให้เกาเหลียนหงแทน
นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่เขาคนเดียว หอกรบอัคคีของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มีระดับที่ต่ำเกินไปเช่นกัน เพียงแค่ขั้นดินล่าง
จอมยุทธ์ทั่วไปที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธิ์ ต่างก็ใช้นักยุทธ์ขั้นดินกลางกันแล้ว
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9คนหนึ่ง สำหรับวิชาประเมินสมบัติก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถกลั่นสมบัติวิเศษชั้นสูงออกมาถึงสามชิ้นได้
โดยตลอดมา สำหรับหลัวซิววิชากลั่นสมบัติและหลอมอาวุธต่างก็ไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวเท่าใดนัก แต่หากต้องการอาวุธของขลังที่เหมาะมือสักชิ้น และไม่สามารถซื้อได้ก็จำเป็นต้องกลั่นออกมาเอง
เตาทยานนภามังกรคู่ เป็นเตากลั่นยาชั้นดินสูงอันเลื่องชื่อในสมัยโบราณ นอกจากจะสามารถใช้เพื่อกลั่นยาได้แล้ว ก็ยังสามารถนำมาใช้เพื่อกลั่นสมบัติได้อีกด้วย
“มีหรือไม่มีอาวุธของขลังสำหรับพลังของข้อแล้ว ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก”
หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่ง หลัวซิวก็ล้มเลิกความคิดที่จะกลั่นอาวุธของขลังด้วยตนเองไป เพราะถ้าหากต้องใช้เวลาไปทุ่มเทให้กับวิชาประเมินสมบัติแล้วล่ะก็ ต้องส่งผลกระทบต่อการบรรลุแดนแห่งโลกยุทธ์ของตนอย่างแน่นอน
ถึงแม้เขาจะเชี่ยวชาญวิชากลั่นยาและค่ายกล แต่หากว่ากันตามจริงแล้วนั้น เขาค้นคว้าเพียงแค่วิชาค่ายกลเท่านั้น สำหรับวิชากลั่นยา นั่นคือการถ่ายทอดความทรงจำของปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9มาทั้งสิ้น
ในส่วนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ หลัวซิวเดาว่าคราวนี้หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง ก็น่าจะต้องไปในส่วนของเผ่าหงส์แล้ว
นี่ก็เป็นสิ่งที่หลัวซิวตัดสินใจหลังจากพิจารณาแล้ว เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่อยากไปเผ่าหงส์ เพราะไม่อยากแยกห่างจากตนเอง แต่ถ้าหากไม่ไปเผ่าหงส์ ผลการฝึกตนของนางก็จะหยุดอยู่ที่แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 ไม่สามารถบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้
เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็รู้ในส่วนนี้ดี ดังนั้นนางถึงใช้เวลาในตอนนี้อยู่กับหลัวซิวอย่างมีคุณค่าที่สุดในทุกนาทีทุกวินาที
เพราะนางไม่ต้องการให้ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ จนทำให้หลัวซิวต้องฟุ้งซ่านคอยดูแลนางอยู่ตลอด
สิ่งที่นางต้องการคือจับมือกับเขาบนเส้นทางการฝึกยุทธ์ ไม่อยากกลายเป็นภาระของเขา ต่อให้นางรู้ดีว่าหลัวซิวจะไม่มีวันดูถูกนาง แต่ด้วยนิสัยของนางแล้ว นางไม่ยอมให้ตัวนางเองเป็นเพียงแค่แจกันดอกไม้เท่านั้น
หลัวซิวซื้อยาวิเศษจากในเมืองมาไม่น้อย เขาวางแผนว่าก่อนเหยียนเยว่เอ๋อร์จะไปที่เผ่าหงส์ เขาจะกลั่นยาส่วนหนึ่งให้นาง
ถึงอย่างไรต่อให้กองกำลังของเผ่าหงส์จะใหญ่มาก แต่ทรัพยากรในการฝึกตนที่สามารถเตรียมให้ได้ก็ต้องมีจำกัดแน่ หลัวซิวไม่ได้พูดออกไป แต่ในใจกลับได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้นางแล้ว
“เจ้าสำนักหลัว ภัตตาคารแห่งนี้ในเมืองหลัวเทียนมีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างมาก เข้าไปนั่งพักเสียหน่อยดีหรือไม่?” ฉีฝ่าเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม
ที่นี่คือภัตตาคารที่มีการตกแต่งที่หรูหรา ชื่อว่าภัตตาคารเทียนอี
“อสูรระดับ8?”
เมื่อเข้ามาในภัตตาคารแล้ว ด้านในมีที่ว่างไม่น้อย หลังจากคนทั้งสามเลือกที่นั่งที่ติดกับหน้าต่าง หลัวซิวก็ดูรายการอาหาร บนรายการอาหารนั้นมีรายการหนึ่งที่ใช้อสูรระดับ8เป็นวัตถุดิบ!
อสูรระดับ8เทียบเท่ากับการมีอยู่ของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ หากนำไปไว้ที่ประเทศเทียนหวูเพียงพอที่จะกวาดทุกสิ่ง ต่อให้เป็นตัวหลัวซิวเอง หากพบเข้ากับอสูรระดับ8 ก็ต้องอาศัยวิชาลับที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างเจ้ามรณะ ถึงจะสามารถต้านทานไว้ได้
อสูรระดับ8ทั้งร่างเต็มไปด้วยขุมทรัพย์ ถึงแม้ว่าเพราะเนื้อผสมวิญญาณกลั่นกลายเป็นร่างทองจึงไม่มียาอสูร แต่ภายใต้การชุบร่างนับปีโดยไม่มีจุดสิ้นสุด ชิ้นส่วนต่างๆ ใช้ได้กับกลั่นยา กลั่นสมบัติ แต่ท่ามกลางภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้กลับนำมาใช้ปรุงเป็นอาหาร มันช่างฟุ่มเฟือยเสียเหลือเกิน
ในนาทีนี้เองที่หลัวซิวได้เข้าใจ ว่าเหตุใดกลางภัตตาคารแห่งนี้มีที่ว่างมากมาย เพราะรู้สึกว่าอาหารของที่แห่งนี้แพงจนน่าตกใจ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีกำลังพอจะกินได้
แต่ด้วยฐานะของฉีฝ่าเทียนที่เป็นถึงผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ ตำแหน่งและสถานะไม่ใช่ธรรมดา กินอาหารที่นี่สักมื้อ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร
“เจ้าสำนักหลัว สั่งได้ตามใจ ไม่ต้องเกรงใจข้า” ฉีฝ่าเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางโบกมือเรียกบริกรของภัตตาคารให้เข้ามา
บริกรรีบเดินเข้ามา เรียกท่านผู้ลาดตระเวนเป็นการแสดงความเคารพ เห็นได้ชัดว่าฉีฝ่าเทียนเป็นแขกประจำของที่แห่งนี้
“เอาเหล้าเทียนอีมาก่อนหนึ่งกา มีสินค้าใหม่เข้ามาในช่วงเร็ว ๆ นี้หรือไม่?” ฉีฝ่าเทียนหันไปถามบริกร