มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 306 ขอความช่วยเหลือ
วิชามารจับจิตพรากวิญญาณ? เห็นได้ชัดว่าเผยหยวนชิวเจ้าตระกูลเผย ต้องการใช้มันกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ เพื่อพรากหยวนหยินไปจากเธอ รวมทั้งวิญญาณเทพจิต เพื่อใช้มันในการบรรลุเป็นจักรพรรดิยุทธ์
“สามปี? แม้แต่วันเดียวฉันก็รอไม่ได้!”
สีหน้าของหลัวซิวมืดหม่นหมองคล้ำ จนเขาไม่อาจควบคุมพลังงานรอบตัวของเขาได้ เพลิงมรณะก่อตัวปั่นป่วนไปทั่วบริเวณ ทำเอาทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องถูกเผากลายเป็นเถ้าธุลี
“ตระกูลเผย แค่ตายยังไม่สาสม!”
หลัวซิวรีบหยิบกล่องส่งเสียงออกมาอย่างไม่ลังเล เขาส่งข้อความไปหาอาจารย์ตระกูลสวีท่านนั้น “ผมอยากให้คุณช่วยผมสักครั้ง”
หลัวซิวสูญเสียการควบคุมพลังจิตแท้ของตัวเอง ทำให้ราชายุทธ์อย่างเสิ่นหยวนหนานตกใจ เมื่อเขามาถึงก็เห็นของภายในห้องถูกเผาจนราบ และยังสัมผัสได้ว่ารอบตัวของหลัวซิวมีไอสังหารอย่างเข้มข้น เขาจึงไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“มีเรื่องอะไรอยากให้ฉันช่วยไหม” เสิ่นหยวนหนานเอ่ยปากถาม
เขาสูดหายใจเข้าลึก หลัวซิวควบคุมไอสังหารเข้าไปภายในร่างกาย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ผมจัดการเองได้”
แม้ว่าเสิ่นหยวนหนานจะเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ทว่าพลังยุทธ์ของเขาห่างชั้นกับเผยหยวนชิวอยู่มาก อีกอย่างตอนนี้เขาได้ขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิยุทธ์อย่างอาจารย์ตระกูลสวีไปแล้ว ย่อมไม่ต้องการที่จะรบกวนเสิ่นหยวนหนานแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง กล่องส่งเสียงของหลัวซิวก็สั่นเบาๆ เป็นสวีจิงเหนียนที่ตอบกลับมาสั้นๆ ว่า “ตกลง!”
อาจารย์สวีผู้นี้ยังไม่ทันถามรายละเอียดด้วยซ้ำ แต่ก็ตอบปากรับคำอย่างไม่ลังเล
หลัวซิวลุกขึ้นยืนแล้วหันไปกล่าวกับเสิ่นหยวนหนานว่า “ผมจำเป็นต้องไปเมืองยงฉี”
ระหว่างที่กล่าวหลัวซิวก็เคลื่อนตัวไปยังห้องค่ายวาร์ปของแก๊งอย่างรวดเร็ว
“เมืองยงฉี?” เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของหลัวซิว เสิ่นหยวนหนานจึงขมวดคิ้ว “เหมือนว่าตระกูลเผยจะอยู่ที่เมืองยงฉี เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ของเด็กคนนี้แล้ว คงจะไม่ได้ไปหาเรื่องตระกูลเผยเข้าอีกกระมัง”
ใบหน้าแก่ชราของเสิ่นหยวนหนานกระตุกเล็กน้อย “เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้จะทำให้ผู้อื่นวางใจบ้างไม่ได้เลยหรือ ประเทศเทียนหวูกว้างใหญ่ไพศาล เขาต้องการมีเรื่องกับคนให้ครบทุกคนเลยหรือถึงจะสบายใจ”
“หนุ่มสาวสมัยนี้ พละกำลังแข็งแกร่งยิ่ง หรือว่าเราแก่ไปแล้ว”
……
แม้ว่าจะใช้ค่ายวาร์ป หลัวซิวก็ยังคงต้องใช้เวลาเดินทางจากเขตการปกครองโตว้ไห่ไปถึงเมืองยงฉีถึงเจ็ดวัน
เขาใช้กล่องส่งเสียงเพื่อนัดพบกับอาจารย์ตระกูลสวีที่รัฐชิงสุ่ยเมืองยงฉี
ที่รัฐชิงสุ่ย เป็นฐานที่ตั้งหลักของตระกูลเผยในเมืองยงฉี
“ขอแค่ไม่เกิดเรื่องกับเยว่เอ๋อร์ ไม่อย่างนั้นแล้วฉันจะให้ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูและเมืองรอบๆ ต้องลุกเป็นไฟ!”
เขาเคลื่อนที่เดินทางไปอย่างลับๆ ด้วยความเร็วราวกับมุ่งหน้าไปยังขอบฟ้า
ผ่านไปหกวัน หลัวซิวก็เดินทางมาถึงเมืองชิงสุ่ย ในรัฐยงฉี เร็วกว่าเวลาที่คาดไว้ถึงหนึ่งวัน
หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่อย่างตระกูลสวีมีฐานที่ตั้งอยู่ที่เมืองไห่หยุน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองยงฉีไม่ไกลนัก ดังนั้นอาจารย์ตระกูลสวีจึงเดินทางไปถึงก่อนหน้าถึงสามวัน และรออยู่ที่เมืองชิงสุ่ย
แน่นอนว่าอาจารย์ตระกูลสวีไม่สามารถที่จะปรากฏตัวอย่างเปิดเผยได้ แต่ต้องซ่อนพลังและฐานะของตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วการมาถึงของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ จะเป็นการทำให้ตระกูลเผยเริ่มเตรียมตัวป้องกัน
ตระกูลเผยเป็นตระกูลที่มีอำนาจปกครองเมืองชิงสุ่ย โดยมีราชายุทธ์สี่คนเป็นผู้ปกครอง และมีผู้ฝึกจิตสิบหกคนเป็นผู้คุมกฎ และมีผู้อยู่แดนพรสวรรค์อีกร้อยกว่าคน
ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ดึงดูดสายตาผู้คน เป็นสถานที่ที่หลัวซิวนัดพบผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อาจารย์ตระกูลสวี
“ผู้น้อย ไม่เจอกันนานเลย” สวีจิงเหนียนกล่าวทักหลัวซิวด้วยท่าทางสุภาพ
การฝึกตนของหลัวซิวน่าตื่นตะลึงอีกไม่นานคงจะพัฒนาจนมีระดับเทียบเคียงกับตนได้ ทว่าอาจารย์ผู้ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหากที่จักรพรรดิยุทธ์สวีจิงเหนียนให้ความสำคัญ
เพราะเหตุใดราชวงศ์ตระกูลฝานถึงวางอำนาจในประเทศเทียนหวูได้ เหตุผลหลักๆ น่าจะเป็นเพราะเสด็จอาหัวหน้าแก๊งนักกลั่นยาผู้นั้น
สถานะของปรมาจารย์นักกลั่นยาระดับ 6 มีความสำคัญที่ไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ก็ยังอยากสร้างสัมพันธไมตรีด้วย
สวีจิงเหนียนถึงขั้นรู้สึกว่า ผู้ที่จะสอนลูกศิษย์ออกมาได้มีความสูงเช่นหลัวซิวนี้จะต้องไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะไม่ได้เป็นเพียงปรมาจารย์นักกลั่นยาระดับ 6 เท่านั้น
เพราะหลัวซิวไม่ได้กลั่นยาได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นนักค่ายกลได้อีกด้วย!
ผู้แข็งแกร่งที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านการกลั่นยาและค่ายกลนั้น ดูเป็นบุคคลที่ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่จริง
“ผู้อาวุโส ผมขอสรุปใจความสำคัญเลยก็แล้วกัน คราวนี้ที่ผมขอให้ผู้อาวุโสลงมือ เพราะต้องการให้ท่านกำจัดตระกูลเผย” หลัวซิวเป็นห่วงความปลอดภัยของเหยียนเยว่เอ๋อร์จึงกล่าวเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม
“กำจัดตระกูลเผย?” สวีจิงเหนียนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
การนัดพบกันในรัฐชิงสุ่ย ทำให้เขาพออนุมานได้ว่าหลัวซิวมีเรื่องกับตระกูลเผย เนื่องจากเผยหยวนซิวคือราชายุทธ์ขั้น 9 ผู้ที่จะกำราบเขาได้จะต้องเป็นจักรพรรดิยุทธ์
ทว่าเขานึกไม่ถึงว่า หลัวซิวถึงขั้นต้องการกำจัดตระกูลเผย ไม่ได้เป็นเพียงความแค้นทั่วๆ ไปเท่านั้น
สวีจิงเหนียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “การจะกำจัดตระกูลเผยนั้น ด้วยพลังของข้าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เรื่องนี้จะเกี่ยวพันถึงหลายอย่าง หมายรวมไปถึงอีกเก้าตระกูลใหญ่ที่มีราชวงศ์ตระกูลฝานอยู่ในนั้น เรื่องนี้จะทำให้ตระกูลสวีของข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
การที่สวีจิงเหนียนพูดแบบนี้ไม่ตั้งใจจะบอกปัด แต่ตระกูลเผยเป็นตระกูลที่มีอำนาจใหญ่ ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงผลประโยชน์ในหลายส่วน หากถูกกำจัดไปแล้วเกรงว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งและความวุ่นวายในหลายๆ ด้าน
“ขอเพียงผู้อาวุโสช่วย ผมรับปากเลยว่า ผมจะเชิญอาจารย์ของผมช่วยตระกูลสวีในการกลั่นยาขั้น 6 เป็นจำนวน 10 เม็ด โดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ”
หลัวซิวได้รับปากที่จะตอบแทนด้วยค่าตอบแทนที่ล้ำค่า “นอกจากนี้แล้ว หากผู้อาวุโสสามารถช่วยหาวัตถุดิบมาได้ ให้ผมช่วยท่านกลั่นยาระดับ 7 ยังได้”
น้ำใจที่ติดค้างกันเพียงครั้งเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้อาจารย์ตระกูลสวียอมเสี่ยงที่จะเป็นศัตรูกับอีกเก้าตระกูลใหญ่ได้ ทว่าความเสี่ยงกับผลประโยชน์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาตลอด การไม่กล้าเสี่ยงอาจเป็นเพราะผลไม่ประโยชน์ไม่มากพอก็เท่านั้น
สวีจิงเหนียนชะงักไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลัวซิวจะให้ผลตอบแทนเขามากเช่นนี้
ยาระดับ 6 ไม่ใช่ผักปลา แม้แต่ในบรรดาสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู นี่ก็ถือว่าเป็นของล้ำค่ามาก ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครทำใจหยิบมันออกมาใช้ได้สักเท่าไหร่
ทว่าหนุ่มน้อยคนนี้กลับรับปากในทันทีว่าจะให้เขาถึงสิบเม็ด?
แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นการมอบยาระดับ 6 ให้เปล่าๆ แต่เป็นการกลั่นยาให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน นั่นหมายความว่าเขาต้องหาวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาสิบเม็ดมาให้ได้
แต่ถึงอย่างนี้ มูลค่าของมันก็ยังสูงมากเกินกว่าที่จะประเมินได้อยู่ดี เพราะในประเทศเทียนหวูแห่งนี้ ปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 6 มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือเสด็จอาในตระกูลฝาน