มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2868 พลังของหมัด
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2868
เช่นเดียวกับที่ตู๋กูคาดเดา หลัวซิวใช้วังเซียนศักดิ์สิทธิ์บุกทะลวงเพื่อกำลังบังคับตัวเองไปสู่ขีดจำกัดทีละก้าว
ทุกคนมีขีดจำกัด แม้แต่เทพมารที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งนักยุทธ์ก็เช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น หลัวซิวได้บรรลุถึงราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิแล้ว และเขาก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
มีขีดจำกัดสามประเภทในนักยุทธ์ หนึ่งคือขีดจำกัดของร่างเนื้อ สองคือขีดจำกัดของจิตวิญญาณ และสามคือขีดจำกัดของตัวธรรม
สิ่งที่หลัวซิวกำลังท้าทายอยู่ในขณะนี้คือขีดจำกัดของร่างเนื้อ เมื่อร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว โดยทั่วไปจะมีสองสถานการณ์เกิดขึ้น
สถานการณ์หนึ่งคือหมดเรี่ยวแรงสลบไปหรือหมดเรี่ยวแรงตายไป! อีกอย่างหนึ่งคือการก้าวข้ามขีดจำกัด ระเบิดศักยภาพของร่างกายและไปสู่ระดับที่สูงขึ้น!
ผลลัพธ์ที่หลัวซิวต้องการคืออย่างหลัง และนี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ในตอนนี้เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้อง เจ้าบ้าไปแล้วรึ?”
เมื่อเห็นหลัวซิวกระพริบตา ตู๋กูก็รู้เจตนาของเขา แต่เป็นเพราะเขารู้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
หลายคนรู้วิธีการเข้าใกล้ขีดจำกัดแล้วเกินขีดจำกัด แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้? หากบีบบังคับตัวเองแรงมากเกินไป อาจตายได้! เมื่อมีบางอย่างผิดพลาด แม้ว่าจะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่มันจะทำลายรากฐานของวิถียุทธ์อย่างรุนแรง และจะกลายคนไร้ประโยชน์ในอนาคต!
ตู๋กูอยากห้ามหลัวซิว ถ้าเขาจะห้ามหลัวซิวไว้ด้วยกำลังของเขา หลัวซิวก็จะไม่มีทางต้านทานได้
แต่เมื่อตู๋กูสบตากับหลัวซิว เขาก็รู้สึกได้ถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ ซึ่งทำให้ใจของเขาสั่นสะท้าน
และตอนที่ตู๋กูกำลังลังเล หลัวซิวก็บุกเข้าไปใน วังเซียนศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
แต่คราวนี้ หลัวซิวถูกส่งออกมาเพียงแค่บุกไปถึงชั้นที่ชั้นสองของ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เมื่อเขาถูกส่งออกมาจาก วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ ทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ตกอยู่ในอาการหมดสติ
ตู๋กูตกใจ กำลังจะไปตรวจสอบสภาพร่างกายของหลัวซิว ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของเขา
“อย่าแตะต้องเขา!”
ตู๋กูคุ้นกับเสียงนี้ เป็นเสียงของอสจารย์นั่นเอง
เห็นได้ชัดว่า เมื่อตู๋กูนำหลัวซิวไปที่ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ มกุฎเต๋าหวูจี๋ได้ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวที่นี่ตลอด
“อาจารย์…” ตู๋กูสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์
“ไม่ต้องกังวล ศิษย์น้องของเจ้าคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจะไม่เอาชีวิตของตนมาเล่นสนุก” มกุฎเต๋าหวูจี๋อธิบาย
สำหรับคำพูดของอาจารย์ ตู๋กูเชื่ออย่างลึกซึ้ง ในเมื่อแม้แต่อาจารย์ก็พูดเช่นนั้น ความกังวลบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ หายไป และเขายืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ จ้องมองหลัวซิวที่อยู่ในอาการหมดสติ
ในเวลานี้ หลัวซิวอ่อนล้าอย่างมากแล้ว ร่างกายของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก เขาจมอยู่ในสภาวะที่แปลกประหลาด
หลังจากต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าใน วังเซียนศักดิ์สิทธิ์เขาเกือบจะหมดแรงทั้งในด้านของผลการฝึกตนและพละกำลัง แต่เมื่อร่างกายของเขาทำงานหนักเกินไปจนถึงจุดวิกฤต พลังใหม่ก็พุ่งเข้ามาในร่างกายของเขา
และพลังนี้มาจากศักยภาพของร่างกายของเขา!
เมื่อผู้คนใกล้จะหมดหวัง พวกเขาสามารถระเบิดพลังพิเศษออกมาได้เสมอ พลังนี้คือศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลัวซิวทำสำเร็จแล้ว ด้วยวิธีการที่แทบสิ้นหวังนี้ ทำให้เขาสามารถดึงศักยภาพของเขาออกมาได้สำเร็จในแดนราชาเทพระดับเก้า
แน่นอน ศักยภาพแบบนี้ไม่สามารถบีบออกได้ในคราวเดียว ในอนาคต ขณะที่เขาฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ศักยภาพที่มากขึ้นจะถูกนำออกมาาอย่างช้าๆ ให้เขาได้รับพลังที่แข็งแกร่งกว่า
เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของเขาก็ไม่อ่อนล้าอีกต่อไป ถูกแทนที่ด้วยพลังพลานุภาพอันแข็งแกร่ง ไหลวนไปทั่วรอบตัวเขา
ผลการฝึกตนของเขาไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ แต่ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
“ศิษย์น้อง เจ้า…”
ตู๋กูรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของหลัวซิวซึ่งทำให้เขาพูดไม่ออกอย่างมาก มันยากสำหรับเขาที่จะจินตนาการว่ามีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ในโลก อย่างไรก็ตาม เขาถือได้ว่าเป็นนักวิถีกระบี่เก่งกาจที่หาได้ยากตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่เมื่อเทียบกับรุ่นน้องที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์ให้ความสำคัญกับเขามาก!
ไม่น่าแปลกใจที่นายท่านให้ความสำคัญกับเขามาก!
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ปกป้องข้าอยู่ที่นี่”
เมื่อหลัวซิวเห็นตู๋กู เขาก็รู้สึกได้ถึงความห่วงใยของศิษย์พี่ที่มีต่อเขา ความรักแบบศิษย์พี่ศิษย์น้องนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจของเขา
หลังจากได้ยินคำพูดของหลัวซิวแล้ว ตู๋กูก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นี่คือทางเข้า วังเซียนศักดิ์สิทธิ์เฉพาะศิษย์โดยตรงของ มกุฎเต๋าหวูจี๋เท่านั้นที่มีสิทธิ์มาที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อปกป้องเขาก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ศิษย์น้องเล็กคนนี้ จริงๆเลย…
ต้ากู่ส่ายหัว “ศิษย์น้องเล็ก เป็นเรื่องดีที่เจ้าสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้สำเร็จ แต่เรื่องแบบนี้มันอันตรายเกินไป ในอนาคตเจ้าอย่าทำมันโดยประมาทอีก”
หลัวซิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวล ศิษย์พี่ ในใจข้ารู้ว่าวิธีนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวสำหรับแต่ละแดนใหญ่ หากจะใช้อย่างต่อเนื่อง ก็เล่นชีวิตแล้วจริงๆ”
“ศิษย์น้อง เจ้าต้องการที่จะบุกทะลวงต่อไปหรือไม่? เจ้าแน่ใจแค่ไหนที่จะบุกทะลวงผ่านชั้นที่สิบเก้า?” ตู๋กูหรี่ตาถาม ทะลุขีดจำกัดของตัวเองแล้วแข็งแกร่งขึ้น ในเมื่อเขาไม่ถามก็รู้ว่าหลัวซิวจะไปบุกทะลวงอย่างแน่นอน
“ข้าไม่กล้าพูดเกินไป มีความแน่นอนเจ็ดแปดส่วน” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แน่ใจว่าเจ็ดแปดส่วน?” สีหน้าของตู๋กูประหลาดใจ ปากของเขาอ้ากว้างจนแทบจะยัดกำปั้นเข้าไปได้
อย่าบอกว่าแปดส่วนเลย แม้แต่เจ็ดส่วนก็มั่นใจมากแล้ว ถ้าสามารถทะลุชั้นที่สิบเก้าได้ ก็จะอยู่ในระดับเดียวกับบันทึกของอาจารย์แล้ว
ในวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็บุกทะลวงถึงชั้นที่สิบเก้าและมาถึงชั้นที่ยี่สิบ!
และก่อนหน้านี้หลัวซิวบุกทะลวงผ่านชั้นที่สิบแปดมาถึงชั้นที่สิบเก้า ดังนั้นห่างกับอาจารย์เพียงก้าวเดียว
นี่เป็นบันทึกที่น่าภาคภูมิใจ แต่นี่เพิ่งผ่านไปนานแค่ไหนกัน คนๆนี้กำลังจะบุกทะลวงชั้นที่สิบเก้า และในไม่ช้าจะสามารถยืนหยัดเคียงคู่กับอาจารย์ได้?
หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งแค่ไหน แม้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า หากระงับผลการฝึกฝนให้อยู่ในระดับแดนเดียวกับเขา จะต้องถูกเขาทุบตีทั้งเป็นให้ตาย!
บางทีอาจารย์ที่สร้างเคล็ดเซียนแปรเก้าขึ้นมาสามารถต่อสู้กับเขาในแดนเดียวกันได้ แต่หลัวซิวยังคงมั่นใจว่าหากระดับผลการฝึกตนเท่ากัน แม้แต่มกุฎเต๋าหวูจี๋ก็อาจสู้เขาไม่ดี เพราะเขาผ่านการต่อสู้ใน วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ มานับไม่ถ้วน มีความเข้าใจใหม่และความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ และได้รวมความเข้าใจนี้เข้ากับเคล็ดเซียนแปรเก้า หลอมรมเข้ากับระบบการฝึกฝนชุบร่างเนื้อ
วิถีกลั่นร่างของเขาไม่ใช่การฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าด้วยการเลียนแบบเท่านั้น แต่บนพื้นฐานของเคล็ดเซียนแปรเก้า เขาหลอมรวมกับความเข้าใจบางส่วนของตน และเปลี่ยนให้เป็นของเขาเอง
เมื่อเข้าไปใน วังเซียนศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง หลัวซิวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของเขาก้าวกระโดดไปก้าวใหญ่ เขามีพลังพอๆ และในไม่ช้าก็มาถึงชั้นที่สิบเก้า
“บูม!”
แสงภูตเซียนที่สว่างไสวรวมตัวกันในที่เดียวและเด็กชายผมขาวก็เดินออกมา เช่นเดียวกับผลการฝึกตนของเขาอยู่ที่ราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิ แต่ออร่ารอบกายที่ล้อมรอบกลับเทียบได้กับจักรพรรดิเทพวัฏจักรเจ็ดคนหนึ่ง
ดวงตาของหลัวซิวเริ่มจริงจัง เมื่อเขามาที่นี่เป็นครั้งแรกเขาถูกเด็กชายผมขาวต่อบออกมาจาก วังเซียนศักดิ์สิทธิ์โดยกระบวนท่าเดียว
ครั้งนี้เขาก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองแต่เขาไม่กล้าที่จะประเมินคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าต่ำไป เพราะนี่คือชั้นที่สิบเก้าของ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์จนถึงตอนนี้ มีเพียง มกุฎเต๋าหวูจี๋เท่านั้นที่สามารถทะลวงผ่านได้
…
“อาจารย์ ท่านว่าศิษย์น้องเล็กสามารถทะลุผ่านชั้นที่สิบเก้าได้หรือไม่?” จากคำพูดของอาจารย์ ฉินจ้านก็ได้รู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับหลัวซิว และได้ยินว่าเขาทะลุขีดจำกัดเพื่อจะไปบุกทะลวงชั้นที่สิบเก้าของวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ ในใจก็แปลกใจอยากรู้เช่นกัน
ในฐานะศิษย์ของมกุฎเต๋า แน่นอนว่า ฉินจ้านก็เคยไปวังเซียนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่แม้ว่าเขาจะเป็นภูตเซียนตั้งแต่เกิด แต่เขาก็ไม่ได้เปรียบอะไรมากนักใน วิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์และบันทึกปัจจุบันของเขาหยุดอยู่ที่ชั้นสิบแปด
แน่นอนว่า ฉินจ้านไม่ได้ไปที่ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลาหลายร้อยล้านปีแล้ว เพราะเขาฝึกฝนวิถีกลั่นวิญญาณ วิถีเซียนร่างศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมาะกับเขา หากพูดถึงแค่ความแข็งแกร่ง อย่างน้อยฉินจ้าน ก็สามารถบุกทะลวงไปถึงชั้นที่ยี่สิบกว่า
สำหรับมกุฎเต๋าหวูจี๋เขาไม่ได้ไปที่ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาเนิ่นานแล้ว เพราะสำหรับมกุฎเต๋าในตอนนี้ เขาอยู่ห่างจากการกลายเซียน เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ถ้าเขาไม่สามารถผ่านก้าวน้ำแได้ แม้ว่าเขาจะสามารถบุกเข้าไปในชั้นสุดท้ายของ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้ มันก็ไม่มีความหมายสำหรับเขา
“พูดแค่ผลการฝึกตนราชาเทพระดับเก้าแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับศิษย์น้องเล็กของเจ้าที่จะทะลุผ่านชั้นที่สิบเก้า หากในอนาคต บรรลุถึงแดนประมุขเต๋า ยังสามารถทะลุผ่านชั้นที่สิบเก้าได้ ก็จะถือว่าเก่งกาจจริงๆ” มกุฎเต๋าหวูจี๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว.
เมื่อแสงท้องฟ้าส่องลงมาจาก วังเซียนศักดิ์สิทธิ์ดวงตาของตู๋กูก็อดไม่ได้ที่จะสว่างขึ้น เพราะเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือหลัวซิว ศิษย์น้องเล็กของเขาที่ถูกส่งออกมาจาก วังเซียนศักดิ์สิทธิ์
หลัวซิวล้มหัวฟาดพื้นหลังจากกระเด็นออกมาจากวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่น
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าสบายดีไหม?” ตู๋กูรีบเดินเข้าใกล้ เมื่อเห็นท่าทางของหลัวซิวเขาก็รู้ว่าเขาต้องถูกทุบตีออกมา
แต่สิ่งที่ตู๋กูสนใจมากก็คือ ศิษย์น้องเล็กคนนี้ถูกทุบตีออกมาจากที่ชั้นสิบเก้าหรือถูกทุบออกมาหลังจากทะลุผ่านถึงชั้นที่ยี่สิบ?
หลัวซิวยืนขึ้นจากพื้น แต่เขาไม่ได้ตอบคำพูดของตู๋กู แต่จ้องหน้าอกของตนอย่างเหม่อลอย
บนหน้าอกของเขามีรอยหมัดที่จมลงไป ถ้าเขาไม่ถูกส่งออกมาจากวังเซียนศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเวลาวิกฤต รอยหมัดนี้คงจะทะลุร่างกายของเขาและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน!
วังเซียนศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่แห่งประสบการณ์ ไม่มีเจตนาฆาตกรรม มิฉะนั้นเขาอาจจะไม่สามารถกลับมาได้
การเหม่อลอยของหลัวซิวไม่ใช่เพราะเขาพ่ายแพ้ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ล้มเหลวตลอดไป เขาไม่ใช่คนประเภทที่ไม่สามารถทนกับความล้มเหลวได้
สิ่งที่ทำให้เขาต้องตะลึงคือพลังอมตะของเขาถูกทำลายแล้ว!
แดนราชาเทพระดับเก้าขั้นปฐมภูมิเหมือนกัน คู่ต่อสู้ที่เขาพบบนชั้นยี่สิบสามของ วังเซียนศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ต่อยเขา ตราประทับหงฮวง ตราสรรพสิทธิ์และสรรพวิถีล้วนว้างพลังอมตะหลักทั้งสามของเขา ถูกพังทลายหมดจด แล้วยังมีหมัดต่อยลงบนร่างของเขาทำให้เขากระเด็นออกจากวังเซียนศักดิ์สิทธิ์
หากเป็นมกุฎเทพระดับเก้าคนหนึ่งที่ทำได้ถึงขั้นนี้ หลัวซิวจะไม่ตกตะลึงมากนัก แต่ผู้ที่ทำได้ถึงเช่นนี้คือคนที่มีระดับผลการฝึกตนเท่ากันกับเขา!
ในโลกนี้มีคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้จริงหรือ?
แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้พลังอมตะเข้าล็อกเดิมที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แต่หลัวซิวก็ชัดเจนมากว่าแม้ว่าเขาจะใช้พลังอมตะเข้าล็อกเดิม แต่เขาก็อาจไม่สามารถต้านทานหมัดนั้นของคู่ต่อสู้ได้!