มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2850 ม้วนหยกสามชิ้น
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2850
“เจ้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ”
คลื่นตัวสำนึกที่เก่าแก่ดังก้องอยู่ในตัวหยั่งรู้ แม้นจะอยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนท่านนี้ในยุคไท่ชูก็ยังคงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อยู่เช่นเคย
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คำมั่นสัญญาของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่งคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเลย
แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว โอกาสเช่นนี้มันกลับไม่มีค่าอะไร เนื่องจากอาจารย์ของเขาคือมกุฎเต๋าหวูจี๋ ซึ่งเขาไม่ใช่คนที่ต้องการที่พึ่งพิงอย่างในอดีตอีกต่อไปแล้ว
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าต้องไปหาน้ำอมฤตเทียนอีที่ใด แล้วเจ้าจักให้ข้าตอบตกลงเจ้าได้อย่างไร จักให้เชื่อคำมั่นสัญญาของเจ้าได้อย่างไร?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม
“ข้าขอสาบานด้วยตัวธรรม ขอแค่เจ้าช่วยข้าตามหาน้ำอมฤตเทียนอี ข้าจะตอบตกลงทุกข้อเรียกร้องของเจ้าแน่นอน”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น คลื่นตัวสำนึกที่เก่าแก่ก็สั่นคลอนเล็กน้อย ถัดจากนั้นหลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของคำสาบานด้วยตัวธรรม
คำสาบานประเภทนี้มีข้อผูกมัดต่อจอมยุทธ์สูงมาก ๆ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าก็ขัดขืนไม่ได้ ทันทีที่ผู้สาบานด้วยตัวธรรมคืนคำ เช่นนั้นผลที่ตามมาก็จะดับสลายสูญสิ้น ร่างตายธรรมสูญ
เมื่อมีคำสาบานนี้ หลัวซิวก็ไม่มีเหตุผลใด ๆขจ ที่สามารถปฏิเสธธุรกรรมในครั้งนี้แล้วจริง ๆ อีกทั้งสามารถพูดได้เลยว่าธุรกรรมในครั้งนี้ไม่มีผลเสียใด ๆ ต่อเขา ต่อให้เขาไม่เจอน้ำอมฤตเทียนอีฌบ ตัวเองก็ไม่มีความเสียหายอะไรเช่นกัน
ถ้าเกิดเจอน้ำอมฤตเทียนอีแล้ว เขาก็สามารถเสนอข้อเรียกร้องต่อประมุขเต๋าเลี่ยเทียนที่ฟื้นคืนชีพหนึ่งข้อ ซึ่งประมุขเต๋าเลี่ยเทียนไม่มีข้อจำกัดต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว จึงแสดงให้เห็นเลยว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นมีความบริสุทธิ์ใจอยู่
“ได้ ข้าตกลงแล้ว!”หลัวซิวรับปาก
“ดีมาก!”
มีความรู้สึกที่เหมือนยกภูเขาออกจากอกถ่ายทอดมาจากคลื่นตัวสำนึกที่เก่าแก่ ถัดจากนั้นพลังฉีกชั้นฟ้าที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ซัดสาดผนึกรวมกันอย่างต่อเนื่อง ตัวสำนึกของประมุขเต๋าเลี่ยเทียนส่งตรงมาอีกครั้ง “นำอาวุธสังหารปราบปรามของเจ้าออกมา ข้าจะถ่ายเทแรงเต๋าของข้าแด่เจ้า ซึ่งสามารถทำให้อาวุธเทพชีวีของเจ้าทรงพลังมากยิ่งขึ้น”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็มีความสุขมาก เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเพื่อเป็นการให้เขาทำงานให้ตัวเองดี ๆ ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนวางแผนที่จะมอบผลประโยชน์ให้เขาล่วงหน้า
การที่สามารถทำให้ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนลงมือด้วยตนเองได้นั้น เช่นนั้นแรงเต๋าที่เขาจะมอบให้มีโอกาสเป็นพลังแห่งประมุขเต๋าสูงมาก
โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อมีโอกาสเช่นนี้ ย่อมต้องนำมันมายกระดับอาวุธเทพชีวีของตัวเองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่เหมือนจอมยุทธ์ทั่วไป เขาไม่ได้ฝึกเซ่นอาวุธเทพชีวีใด ๆ
หากพูดถึงอาวุธเทพชีวีจริง ๆ เช่นนั้นร่างเนื้อของเขาก็คืออาวุธเทพชีวีของตัวเขาเอง
ถึงแม้พลานุภาพของร่างเนื้อเขายังไม่แข็งแกร่งเท่าของขลังสมบัติที่ยึดกุม แต่ทว่าจากการที่ค่อย ๆ ชุบมาอย่างต่อเนื่อง จากการที่ผลการฝึกตนของเขามีการยกระดับ จึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งร่างเนื้อของเขาจะเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์เคียงคู่กับเขา
ด้านการโจมตีปราบปรามของร่างยุทธ์ร่างเนื้อในปัจจุบันของเขาเทียบเท่าภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้า ส่วนด้านการป้องกันนั้น มีเพียงอาศัยความลึกลับและมหัศจรรย์ของเคล็ดเซียนแปรเก้า ถึงจะสามารถต้านทานพลังโจมตีของอาวุธจักรพรรดิระดับเก้าได้
อันที่จริงร่างเนื้อเช่นนี้ถือว่าแข็งแกร่งมาก ๆ แล้ว
หากได้รับการหลอมรวมและปลุกเสกด้วยพลังฉีกชั้นฟ้า เช่นนั้นก็อาจจะสามารถทดแทนพลังสังหารปราบปรามที่ไม่เพียงพอของร่างยุทธ์ร่างเนื้อ เขาที่อยู่ในแดนร่างมกุฎเทพระดับเก้าจะมีพลังโจมตีที่เทียบเท่าอาวุธจักรพรรดิระดับเก้า
เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็มีความคิดต่าง ๆ นานากระพริบผ่านไปในหัวหลัวซิว แม้นประโยชน์ของการทำเช่นนี้จะมีเยอะมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีข้อบกพร่องหลายอย่างเช่นกัน
หากหลอมรวมพลังแห่งประมุขเต๋าเลี่ยเทียนเข้าไปในร่างเนื้อ ทันทีที่ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายต่อพลังดังกล่าวละก็ เช่นนั้นก็เท่ากับฝังเร้นความอันตรายลงไปในร่างกาย
อุปนิสัยที่รอบคอบระมัดระวังเป็นที่พึ่งพิงที่สามารถทำให้หลัวซิวค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นทีละขั้น หากไม่มีอุปนิสัยที่ระมัดระวังเช่นนี้ เขาคงดับสลายสูญสิ้นไปตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าโอกาส กลัวอะไรต่อมิอะไรไปหมดก็ไม่ใช่อุปนิสัยของเขาเช่นกัน
สภาพจิตใจที่ซับซ้อนเช่นนี้ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยคำพูด ทว่าท้ายที่สุดหลัวซิวก็ตัดสินใจคว้าโอกาสในครั้งนี้เอาไว้ เนื่องจากเขาอยากให้ศักยภาพของตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นจริง ๆ
“ข้าฝึกธรรมเวชกาลร้าง ร่างเนื้อก็คืออาวุธเทพชีวีของข้า”หลัวซิวตอบกลับเช่นนี้
“เวิ่ง!”
มีพลังออร่าที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูมาจากจุดศูนย์กลางของกลุ่มดาวฤกษ์ เหมือนอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ประมุขเต๋าเลี่ยเทียได้นำพลังแห่งประมุขเต๋าของตัวเองที่ผนึกรวมอยู่ตรงจุดศูนย์กลางมอบให้เขาส่วนหนึ่ง
ถึงแม้พลังแห่งประมุขเต๋าที่ผนึกรวมอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของกลุ่มดาวฤกษ์จะเป็นเพียงส่วนน้อย ๆ ที่ไม่โดดเด่นอะไรก็ตาม แต่สำหรับหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนแค่เทพมารระดับเก้าแล้ว มันก็ยังคงเป็นโชคโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ อยู่ดี
หากให้เขาทำเอง เขาไม่มีทางเก็บพลังแห่งประมุขเต๋ามาเป็นของตัวเองได้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อมีการปลุกเสกจากปณิธานของประมุขเต๋าเลี่ยเทียน พลังแห่งประมุขเต๋าเลี่ยเทียนเสี้ยวนี้ที่หลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขา ไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายเขาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าจะคอยเจ้าอยู่ที่นี่……”
คลื่นตัวสำนึกที่เก่าแก่ค่อย ๆ สลายหายไป ถัดจากนั้นร่างศพของประมุขเต๋าเลี่ยเทียนก็ลอยออกไปไกล ลอยอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางของกลุ่มดาวฤกษ์แรงเต๋านี่
……
หลังจากที่ออกมาเขาผีเก้า หลัวซิวก็ฉีกกระชากปริภูมิอีกครั้ง แล้วย้อนกลับไปยังโลกร้าง
ครั้งนี้หลัวซิวจากมาแค่สิบกว่าปีเท่านั้น สำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่มีอายุขัยยืนยาวแล้ว ระยะเวลาสิบกว่าปีก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นแหละ
ทว่าตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็เริ่มมีท่าทีที่จะมีเรื่องเลวร้ายปะทุแล้ว มีท่าทีและลางสังหรณ์ที่มหันตภัยอันลึกลับเตรียมพร้อมที่จะปะทุ
ณ วังซิวหลัวแห่งหุบเขาสยบปีศาจ ทันทีที่หลัวซิวกลับมา ก็มองเห็นตู๋กูเจี้ยนเฉินเลย
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะกลายเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งอาณากระบี่แล้ว”ตู๋กูเจี้ยนเฉินมองหลัวซิวด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ซับซ้อนเล็กน้อย
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่กำเนิดในยุคสมัยเดียวกันกับไท่ซ่างฉิงในอดีตชาติของหลัวซิว สำหรับตัวตนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ขนาดนี้นั้น แม้แต่เขาเองก็รู้สึกยากที่จะปรับตัว
ผลการฝึกตนของตู๋กูเจี้ยนเฉินในปัจจุบันฟื้นฟูกลับคืนสู่จักรพรรดิเทพระดับเก้าแล้ว และยิ่งบรรลุถึงจักรพรรดิเทพระดับเก้าขั้นสูง มีตัวตนเป็นผู้อาวุโสแห่งอาณากระบี่หวูจี๋ ทันทีที่เขาสามารถบรรลุสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า เช่นนั้นเขาก็จะสามารถกลายเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างที่มีสิทธิ์และอำนาจสูงในอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว
การคงอยู่ของเจ้าแดนลึกลับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่ตัวตู๋กูเจี้ยนเฉินเองก็มีโอกาสได้เข้าเฝ้าน้อยมาก ๆ
จากรูปร่างลักษณะภายนอก ผลการฝึกตนของเจ้าแดนแห่งอาณากระบี่หวูจี๋คือมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า และเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน ทว่ากลับมีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่ทราบว่าผลการฝึกตนที่แท้จริงของศิษย์พี่ตู๋กูท่านนั้นของตน แท้จริงแล้วอยู่ที่ผู้สูงส่งช่วงปลาย
“มหันตภัยในยุคนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
ณ วังซิวหลัว หลัวซิวและตู๋กูเจี้ยนเฉินกำลังนั่งประจันหน้ากัน เหยียนซีโรว่และเหยียนเยว่เอ๋อร์นั่งอยู่ข้างกายเขา คอยชงชาให้พวกเขาทั้งสอง
“ในช่วงสิบกว่าปีที่ข้าไม่อยู่นี้ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในโลกร้างอีกหรือ?”หลัวซิวถาม
“ระยะเวลาสิบกว่าปีดูเหมือนจะสั้น แต่ทว่าโลกร้างกลับตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว สำนักตระกูลจำนวนไม่น้อยล้วนถูกล้มล้าง แม้นกองกำลังที่ถูกล้มล้างจะไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ในจำนวนทั้งหมดก็มีผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าไม่น้อยเช่นกัน”ตู๋กูเจี้ยนเฉินกล่าวเช่นนี้
“เริ่มต้นขึ้นแล้วหรือ?”
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย มกุฎเทพระดับเก้าที่อยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่ค่อนข้างมีหน้ามีตาแล้ว
โดยส่วนใหญ่แล้วตระกูลสำนักที่มีมกุฎเทพระดับเก้าคอยปกปักรักษานั้น หากไม่ไปรุกรานกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมากจะมีการถ่ายทอดสืบสานที่ยาวนานมาก ภูมิฐานแน่นลึก ตลอดช่วงเวลานับหมื่นปี ยากมากที่จะมีกองกำลังหนึ่งล่มสลาย
ปัจจุบันภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสิบกว่าปี ก็มีกองกำลังถูกล้มล้างไปแล้วหลายกองกำลัง เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่มีความเกี่ยวข้องกับมหันตภัยแห่งยุคปัจจุบัน
“ตรวจสอบสาเหตุชัดเจนหรือยัง?”หลัวซิวถามอีกครั้ง
“ยัง”ตู๋กูเจี้ยนเฉินส่ายหน้า มาตรแม้นว่าเป็นความสามารถด้านหน่วยข่าวกรองของอาณากระบี่หวูจี๋ ก็ตรวจสอบเงื่อนงำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว หลัวซิวก็ขมวดคิ้วแน่นมากขึ้น เขานึกถึงมหันตภัยพรหมเซียนที่อาจารย์กล่าวถึง มกุฎเต๋าหวูจี๋เคยบอกไว้ว่ามหันตภัยในยุคนี้จะเกิดขึ้นเพราะพรหมเซียน มหันตภัยในครั้งนี้จะส่งผลกระทบกว้างกว่ามหันตภัยทั้งปวงตั้งแต่ยุคไท่ชูจวบจนปัจจุบัน เทียบเท่าภัยพิบัติแห่งยุคต้าเหยียนที่ทำลายล้างประวัติศาสตร์เลย
ทันทีที่มหันตภัยเช่นนี้ปะทุ จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของหุบเขาสยบปีศาจ ก็เป็นเพียงคลื่นเล็ก ๆ ลูกหนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เท่านั้นแหละ หากไม่ทันได้ระวังก็อาจถูกล้มล้าง และไม่คงอยู่อีกต่อไป
“อีกไม่นานข้าก็จะข้ามผ่านทัณฑ์แล้ว”จู่ ๆ ตู๋กูเจี้ยนเฉินก็เอ่ยปากพูด
“ข้ามผ่านทัณฑ์? เช่นนั้นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าจริง ๆ แล้วล่ะ”สีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวดูผงะเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สังเกตคลื่นผลการฝึกตนที่แผ่กระจายออกมาจากตัวตู๋กูเจี้ยนเฉินลาง ๆ ซึ่งอยู่ในริมขอบที่ใกล้จะบรรลุแล้วจริง ๆ
“มีอะไรน่ายินดีหรือ? ในยุคสมัยนี้มีอัจฉริยะบังเกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ตั้งแต่โบราณกาลมามีน้อยคนมากที่สามารถทลายพันธนาการบรรลุสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า และในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ ก็มีจักรพรรดิเทพระดับเก้าหลายคนบรรลุสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า”ตู๋กูเจี้ยนเฉินยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูด
“มากเช่นนี้เลยรึ?”
หลัวซิวที่ได้ยินข่าวคราวนี้แล้วก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน ดูท่าเขาก็ยังเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันน้อยไปหน่อย
ทว่าก็ไม่ผิดหรอกที่เขาจะรู้สึกตะลึงเช่นนี้ เนื่องจากตั้งแต่โบราณกาลมา จำนวนคนที่สามารถก้าวเข้าสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าได้นั้น ต้องมีไม่มากอย่างแน่นอน
หนึ่งยุคตรีภพมีเวลาสามแสนสามหมื่นสามพันสามร้อยล้านปี ในกาลเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ จำนวนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าที่บังเกิด อย่างมากสุดก็มีไม่ถึงสามพันคน การที่จะบอกว่าหาพบได้ยากในรอบร้อยล้านปีนั้น เป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากการที่จอมยุทธ์คนหนึ่งอยากบรรลุสู่แดนระดับนี้ ไม่เพียงต้องพึ่งพรสวรรค์เท่านั้น ยังต้องมีโอกาส ความสามารถในการตระหนักรู้และโชคที่ดีมาก ๆ ด้วย
โดยส่วนใหญ่แล้วใช่ว่าจะไม่มีสถานการณ์ที่มีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดอุบัติขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเสมอไป ซึ่งมันจะเป็นบางช่วงเวลาที่พิเศษมาก
ยกตัวอย่างเช่นช่วงเวลาที่มหันตภัยสั่นคลอน หรือช่วงที่ยุคสมัยใดยุคสมัยหนึ่งเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับยุคสมัยที่ไท่ซ่างฉิงของหลัวซิวในอดีตชาติคงอยู่ ก็คือยุคสมัยที่เพิ่งเริ่มต้นยุควัฏสงสารนั่นเอง ในยุคสมัยนั้นมีอัจฉริยะบังเกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย วงการศิลปะการต่อสู้รุ่งโรจน์ นอกเหนือจากไท่ซ่างฉิงแล้ว ยังมีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอย่างตู๋กูเจี้ยนเฉิน จี้หวูชวง เมิ่งเสี้ยต่าง ๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแม้แต่ในยุคสมัยนั้น ก็ไม่ถึงขั้นมีมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าหลายคนอุบัติขึ้นมาภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงร้อยกว่าปี
เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพปกติเกิดขึ้น จึงยิ่งทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความน่าสยดสยองของมหันตภัยที่กำลังจะมาเยือน
ยิ่งมหัตภัยที่กล่าวถึงผันผวนมากเท่าไหร่ ผู้แข็งแกร่งก็ยิ่งปรากฏได้ง่ายขึ้น เมื่อพูดในอีกมุมหนึ่งญด จำนวนผู้แข็งแกร่งที่ปรากฏยิ่งมาก ก็หมายความว่าความผันผวนของมหันตภัยก็ยิ่งรุนแรง ยิ่งน่ากลัว
เมื่อการฝึกยุทธ์บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้า ก็ได้สัมผัสกับธรรมเกณฑ์ฟ้าดินที่ค่อนข้างสูงลึกแล้ว ซึ่งจะมีกระแสสัมผัสพิเศษที่อธิบายไม่ได้ สามารถสัมผัสได้ว่ามหันตภัยที่เหมือนดั่งเมฆครึ้มบุปประชิดพรมแดนกำลังจะมาเยือน
“ทัณฑ์แห่งมหาจักรพรรดิยุทธ์สำคัญอย่างยิ่ง จากระดับศักยภาพของเจ้าสามารถข้ามผ่านได้อย่างง่ายดายเลย แต่ถ้าเกิดจะวางรากฐานเพื่อบรรลุเป็นผู้สูงส่งในอนาคตให้มั่นคง การตกตะกอนของเจ้ากลับยังไม่ค่อยเพียงพอ”หลัวซิวพูดกระแทกเสียงต่ำ
การฝึกยุทธ์นั้นจะเดินไปทีละก้าวแล้วว่ากันไปทีละก้าวไม่ได้ จำเป็นต้องมองการณ์ไกล การที่จะบรรลุจากจักรพรรดิเทพระดับเก้าสู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้านั้น อย่าริอ่านคิดแค่ว่าสามารถข้ามผ่านทัณฑ์ก็เพียงพอแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการบรรลุสู่แดนที่สูงกว่าในอนาคตด้วย
บางทีผลการฝึกตนภพชาตินี้ของหลัวซิวอาจจะไม่สูง แต่โลกทัศน์ของเขากลับอยู่สูงกว่าเขาในอดีตชาติ เขาย่อมสามารถมองตัวตู๋กูเจี้ยนเฉินทะลุปรุโปร่งอยู่แล้วว่าภท จากรากฐานที่เขาตกตะกอนในมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้านั้นเพียงพอแล้ว แต่อนาคตถ้าเกิดจะบรรลุเป็นผู้สูงส่งด้วยละก็ รากฐานเขายังแย่ไปหน่อย
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็พลิกมือหยิบม้วนหยกออกมาสามชิ้น แผ่ตัวสำนึกออกไป แล้วทำการจารึกลงไปบนม้วนหยก ก่อนจะยื่นม้วนหยกทั้งสามชิ้นนี้ไปให้ตู๋กูเจี้ยนเฉิน
“นี่คือ?”ตู๋กูเจี้ยนเฉินทำหน้างุนงงแล้วยื่นมือออกไปรับ
“เจี้ยนเฉิน นี่คือของสามสิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนเจ้าข้ามผ่านทัณฑ์ สิ่งที่บันทึกในม้วนหยกชิ้นหนึ่งคือประสบการณ์บางส่วนที่ข้าข้ามผ่านทัณฑ์แห่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ในอดีตชาติ สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกอีกชิ้นคือความเข้าใจและการตระหนักรู้บางส่วนในวิถีกระบี่ของข้า ส่วนในม้วนหยกชิ้นสุดท้ายนั้น คือเคล็ดเซียนระดับประมุขเต๋าหนึ่งวิชา”หลัวซิวค่อย ๆ ตอบกลับอย่างผ่อนคลาย