มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2848 ตัวตนของหลงอวี้
มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2848
ในเมื่ออพยพหุบเขาสยบปีศาจมาฝั่งอาณากระบี่หวูจี๋แล้ว หลัวซิวย่อมต้องพักอาศัยอยู่ในวังซิวหลัวแห่งหุบเขาสยบปีศาจอยู่แล้ว
หลัวซิวเดินทางไปหุบเขากระบี่อีกครั้ง เข้าพบตู๋กู ได้รับศาสน์ของเจ้าแห่งอาณากระบี่ท่านนี้ ทำให้ศิษย์ในหุบเขาสยบปีศาจล้วนได้รับตัวตนศิษย์แห่งอาณากระบี่หวูจี๋ สามารถเข้าไปฝึกตนในสถานฝึกตนของอาณากระบี่หวูจี๋
ตอนแรกเริ่ม ศิษย์อาณากระบี่กีดกันเล็กน้อย แต่เนื่องจากตัวตนของหลัวซิว รวมไปถึงศาสน์ของเจ้าแดน คนเหล่านั้นจึงพูดอะไรไม่ได้เช่นกัน จากการที่เวลาล่วงเลยไป ทั้งสองฝ่ายก็ค่อย ๆ เข้ากันได้ด้วยดี ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ จึงสลายหายไป
เนื่องด้วยจากไปนานและไม่ได้กลับมาสักที หลัวซิวก็หาเวลาอยู่เคียงข้างภรรยาทั้งสองของตนอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจเช่นกัน ในระหว่างนี้ต้องไม่ขาดกิจกรรมที่อบอุ่นอยู่แล้ว ซึ่งไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้
“เยว่เอ๋อร์ ซีโรว่ พวกเจ้าทั้งสองเป็นภรรยาของข้า ในวันเวลาที่ข้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองจึงต้องโน้มนำสถานการณ์ใหญ่ของหุบเขาสยบปีศาจ แม้นเผ่าจี้ ตระกูลเทพสงครามรวมไปถึงภูเขาว่านเริ่นต่างติดตามข้ามายังโลกร้าง บัดนี้ยังไม่มีจิตใจที่คิดจะทรยศ แต่ทว่าจากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป เรื่องจิตใจมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากมากที่สุด จึงจักประมาทไม่ได้”
บนเตียงนอนในวังซิวหลัว นิ้วมือของหลัวซิวลูบไล้อยู่บนเส้นผมที่แดงฉานปานเปลวเพลิงนั่นของเยว่เอ๋อร์ แล้วค่อย ๆ พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ดังนั้นพวกเจ้าจำเป็นต้องยกระดับศักยภาพให้แข็งแกร่งขึ้น มีเพียงศักยภาพแข็งแกร่งแล้วถึงจะสามารถสยบผู้คนได้”
“น้องโรว่ไม่ได้เรื่องเอง กระทั่งบัดนี้ข้าและพี่เยว่เอ๋อร์ก็ยังฝึกตนไม่ถึงแดนเทพมารระดับเก้า”ซีโรว่พูดด้วยความละอายใจเล็กน้อย
แม้นพวกนางทั้งสองจะเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ใหญ่ของหุบเขาสยบปีศาจ แต่เจ้าแห่งเผ่าจี้จี้หานยู่ ประมุขเขาว่านเริ่นลวี่โหลว รวมไปถึงหัวหน้าตระกูลเทพสงครามซิงเฉิน ผลการฝึกตนของพวกเขาทั้งสามคนล้วนสูงกว่าพวกนางทั้งสองมาก
จี้หานยู่เป็นน้องสาวของหลัวซิว สามารถพูดได้เลยว่าเป็นผู้ที่หลัวซิวบ่มเพาะขึ้นมาเองกับมือ ลวี่โหลวปฏิบัติตามปณิธานที่ยังไม่บรรลุของบรรพบุรุษ ซึ่งจงรักภักดีต่อหลัวซิวเช่นกัน ส่วนซิงเฉินนั้นยิ่งเคยสาบานตั้งนานแล้วว่าจะถวายความจงรักภักดีแด่หลัวซิว
เมื่อพูดตามหลักแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นได้ ทว่าเพื่อคำนึงถึงอนาคตของหุบเขาสยบปีศาจ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเตรียมการพร้อมล่วงหน้าอยู่ดี
“สำหรับเรื่องนี้นั้น ข้ามีแผนการของข้าแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง แล้วริเริ่มวรยุทธ์ที่เหมาะกับการฝึกตนของพวกเจ้าทั้งสองคนมากที่สุด อนาคตเมื่อผลการฝึกตนของพวกเจ้าทั้งสองต่างยกระดับถึงแดนเทพมารระดับเก้า บวกกับค่ายกลชุดหนึ่งที่ข้าจักถ่ายทอดให้พวกเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าอนาคตจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พวกเจ้าก็จะสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย”ยิ้มพลางพูด
“นอกเหนือจากนี้แล้ว อนาคตหากหุบเขาสยบปีศาจของเราต้องการสร้างกองทัพที่ทำสงครามปราบปรามในมหันตภัย แค่อาศัยจำนวนคนในปัจจุบันนั้นยังไม่เพียงพอ ฉะนั้นครั้งนี้ข้าจึงจะเปิดหุบเขาสยบปีศาจสู่โลกภายนอก ก็เพื่อเตรียมพร้อมที่จะให้หุบเขาสยบปีศาจรับศิษย์จากโลกภายนอก อนาคตผู้คนในหุบเขาสยบปีศาจของเราจะยิ่งอยู่ยิ่งมาก ผู้แข็งแกร่งก็จะยิ่งอยู่ยิ่งมากเช่นกัน ขณะที่ข้าไม่อยู่ ก็ต้องให้พวกเจ้าทั้งสองทุ่มแรงกายแรงใจหน่อยแล้วล่ะ”หลัวซิวลูบไล้ใบหน้าของสตรีทั้งสองนางอย่างรู้สึกเอ็นดูพลางพูด
“การที่สามารถช่วยท่านสวามีแบ่งเบาภาระได้นั้น แม้นต้องตายข้าก็ไม่รู้สึกเสียดายเจ้าค่ะ”เหยียนเยว่เอ๋อร์ยิ้มหวาน ซึ่งงดงามมากจนเป็นชนวนที่ทำให้เมืองล่ม
“ข้าก็เช่นกัน……”แม้เสียงของเหยียนซีโรว่จะเบามาก ๆ ทว่ากลับแน่วแน่อย่างยิ่ง
ท้ายที่สุดแล้วชีวิตที่สงบสุขมันก็สั้นอยู่ดี ในยุคสมัยที่มหันตภัยสามารถปะทุได้ตลอดเวลานี้ หลัวซิวไม่อาจอยู่ในความอ่อนละมุนได้นาน ๆ
การจากไปในครั้งนี้ หลัวซิววางแผนที่จะเดินทางไปโลกามนุษย์รอบหนึ่ง หรือว่าจักรวาลกันดารและมหาโลกาพันสามนั่นเอง
ในส่วนลึกของเขาผีเก้ายังมีพลังฉีกชั้นฟ้าหนึ่งก้อน และยิ่งมีร่างศพของประมุขเต๋าเลี่ยเทียนร่างหนึ่งด้วย
มูลค่าของศพผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋านั้นสูงส่งมาก หากสามารถใช้เคล็ดเซียนแปรเก้าดูดซับกลั่นแปรพลังฉีกชั้นฟ้าที่เข้มข้นถึงขีดสุดนั่น เช่นนั้นหลัวซิวก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถฝึกเคล็ดเซียนแปรเก้าขึ้นไปถึงแดนแปรที่สามได้
ทันทีที่เคล็ดเซียนแปรเก้าบรรลุถึงแปรที่สาม ระดับความแข็งแกร่งของร่างเนื้อเขาก็จะสามารถต้านทานพลังโจมตีของอาวุธจักรพรรดิได้แล้ว ไม่ใช่ร่างแห่งจักรพรรดิเทพ แต่กลับสามารถเทียบทัดร่างแห่งจักรพรรดิเทพ!
จากแดน ณ ปัจจุบันของหลัวซิว สามารถฉีกกระชากพื้นโลกปริภูมิได้อย่างง่ายดายเลย เขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอยู่ในอนัตตา ก่อนจะย่างกรายมาถึงดาราที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกับเขาผีเก้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงที่นี่ หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าออร่าฟ้าดินของทั้งมหาโลกาพันสามเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
การมาเยือนของมหันตภัยจะส่งผลกระทบต่อวงกว้าง ราวกับไม่ใช่เพียงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเท่านั้น มหาโลกาพันสามก็ไม่สงบเช่นกัน มีเรื่องเลวร้ายกำลังค่อย ๆ สั่งสมและเตรียมพร้อมที่จะปะทุ ตัวสำนึกของหลัวซิวสัมผัสได้ว่ามีจอมยุทธ์นับหมื่นกำลังต่อสู้เข่นฆ่าทำสงครามปราบปรามกันอยู่ในห้วงดาราแห่งหนึ่ง
ดาราทั้งหลายถูกโจมตีจนแตกสลาย ในบรรดาจอมยุทธ์ทั้งหมด มีผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพเข้าร่วมสงครามด้วย โจมตีจนอนัตตาแตกสลาย ตรีภพซัดสาด ฟ้าดินแตกร้าว
ภัยพิบัติเช่นนี้ส่งผลกระทบถึงขอบเขตที่กว้างขวางมาก หลัวซิวก็เข้าใจดีมากเช่นกันว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ดังนั้นแม้นเขาจะสัมผัสศึกสงครามในครั้งนี้ได้ ทว่ากลับไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง หลัวซิวเข้าไปในดาราเมฆาทมิฬ จากนั้นก็มาถึงส่วนลึกของเขาผีเก้าอย่างรวดเร็ว มองเห็นพลังฉีกชั้นฟ้าก้อนนั้น รวมไปถึงศพของประมุขเต๋าที่นั่งท่าขัดสมาธิอยู่ด้านล่างพลังฉีกชั้นฟ้า แล้วกำลังใช้มือประสานอินหน้าจุดตันเถียง
ครั้นเมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ครั้งแรก มีคนคนหนึ่งที่มาถึงก่อนเขา ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งกลับชาติมาเกิดคนหนึ่งที่มีนามว่าหลงอวี้
ตอนนั้นผลการฝึกตนของหลงอวี้สูงกว่าเขา บอกว่าหลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าแล้วค่อยมาเอาพลังฉีกชั้นฟ้าของที่นี่ไปอีกที ระดับความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวรวดเร็วมากก็จริง แต่คาดว่าหลงอวี้นั่นน่าจะบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าตั้งนานแล้วสินะ
ทันใดนั้นเอง สายตาของหลัวซิวก็มองเห็นเงาดำร่างหนึ่งข้างพลังฉีกชั้นฟ้า ซึ่งเงาดำดังกล่าวก็คือหลงอวี้นั่นเอง!
“สหายหลัว ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็มาเวลานี้เช่นกันอย่างนั้นหรือ!”
ขณะที่หลัวซิวมาถึง หลงอวี้ก็สัมผัสได้แล้วหันหน้ามองมาทางเขา
“อดีตข้าไม่ทราบความเป็นมาของสหายหลัว แต่ทว่าปัจจุบันชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมาก ข้าทราบแล้วว่าเจ้าเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด”หลงอวี้กล่าวเช่นนี้
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลงทราบความเป็นมาของข้าแล้ว ทว่าข้ากลับยังไม่ทราบความเป็นมาของผู้เพื่อนยุทธ์หลงเลย”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็ย่างเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังพลังฉีกชั้นฟ้านั่น
“สหายหลัวจะช่วงชิงพลังฉีกชั้นฟ้าก้อนนี้กับข้าหรือ?”
หลงอวี้เห็นกิริยาท่าทางของหลัวซิว จึงขมวดคิ้วลงเล็กน้อย “สหายหลัวสังเกตไม่เห็นเลยหรือว่าผลการฝึกตนของข้าอยู่ที่แดนราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงแล้ว!”
“ข้ารู้ว่าศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่ง การข้ามขั้นประลองผู้ที่อยู่เหนือกว่าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้า แต่ทว่าอดีตชาติของข้าแข็งแกร่งกว่าอดีตชาติของเจ้า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”หลงอวี้พูดกระแทกเสียงต่ำ การข่มขู่ที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นชัดเจนมาก ๆ
บัดนี้เขากำลังเรียกขวดหยกออกมาหนึ่งใบ เตรียมพร้อมที่จะเก็บพลังฉีกชั้นฟ้าไป สาเหตุที่เขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมานั้น ก็เพื่อจะทำให้หลัวซิวทราบถึงความยากลำบากแล้วถดถอย
“จักใช้คู่ต่อสู้หรือไม่ ก็ต้องลองดูก่อนถึงจะทราบได้”หลัวซิวยิ้มอ่อน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากทราบเช่นกันว่าร่างไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดจะมีศักยภาพอย่างไรกันแน่!”
หลงอวี้ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็ปล่อยฝ่ามือโจมตีไปทางหลัวซิว เกณฑ์พลังเต๋าทั้งปวงวิวัฒนาการ แล้วผนึกรวมเป็นเปลวไฟสีดำ พลังฝ่ามือครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยลี้ พลานุภาพมากมายมหาศาล
“เพลิงอัคคีสีดำ……”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย ก่อนจะนึกถึงนิรยะเพชฌฆาตบนดาราเมฆาทมิฬที่มีชื่อเสียงโด่งดังพอ ๆ กับเขาผีเก้า
“ดูท่าเจ้าเป็นคนที่ทำสงครามกับประมุขเต๋าเลี่ยเทียนในยุคไท่ชูจริง ๆ ด้วย!”
เพียงคำพูดเดียวหลัวซิวก็เปิดเผยความเป็นมาของหลงอวี้แล้ว ครั้นเมื่อเขาเจอหลงอวี้ครั้งแรก เขาสัมผัสพลังออร่าของเพลิงอัคคีสีดำประเภทนี้จากตัวหลงอวี้ไม่ได้แต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นว่าหลงอวี้ในตอนนั้นน่าจะมีการปิดบัง
อีกทั้งนิรยะเพชฌฆาตก็หายไปเวลานั้นพอดีด้วย เขาจึงสันนิษฐานว่ามันน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับหลงอวี้ ดังนั้นจึงยืนยันได้แล้วว่าหลงอวี้ก็คือร่างผู้แข็งแกร่งที่ดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับประมุขเต๋าเลี่ยเทียนกลับชาติมาเกิด!
“เจ้าเดาถูกแล้วอย่างไร คนตายไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ”
สีหน้าอารมณ์ของหลงอวี้เย็นชามาก สังเกตเห็นได้เลยว่าขณะที่เขาลงมือ ก็ตัดสินใจที่จะทำให้หลัวซิวหยุดอยู่ที่นี่ตลอดกาลแล้ว
เขาในอดีตชาติสามารถดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับประมุขเต๋าเลี่ยเทียน เช่นนั้นก็หมายความว่าอย่างน้อยหลงอวี้นี่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่ง
ราชาเทพระดับเก้าขั้นสูงคนหนึ่งที่มีสติปัญญาของประมุขเต๋านั้น สามารถพูดได้เลยว่ามีกำลังรบที่น่าสยดสยองมาก ซึ่งสามารถเทียบทัดมกุฎเทพระดับเก้าได้อย่างแน่นอน
“ตู้มม!”
หลัวซิวปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น มีการปลุกเสกจากกฎทวยเทพธรรมที่วิวัฒนาการออกมาโดยวิถีไร้ลักษณ์ พลานุภาพที่เขาปลดปล่อยออกมาอย่างสบายมือล้วนสามารถเทียบทัดพลังอมตะที่ทรงพลัง
พลังฝ่ามือเพลิงอัคคีดำถูกหลัวซิวทลายภายในหมัดเดียว จู่ ๆ เงาร่างของเขาก็หายวับไปกับที่ ก่อนจะปรากฏด้านหลังหลงอวี้ในวินาทีถัดไป
“โฮกก!”
มีเสียงคำรามมังกรดังก้องกังวาน เพลิงอัคคีสีดำพรั่งพรูออกมาจากตัวหลงอวี้แล้วกลายเป็นมังกรตัวหนึ่ง ก่อนจะอ้าปากขย้ำไปทางหลัวซิว
ในขณะเดียวกัน หลงอวี้ก็จำเป็นต้องล้มเลิกความคิดที่จะเก็บพลังฉีกชั้นฟ้า เพื่อถอยออกมาจัดการหลัวซิว
สิ่งที่แฝงซ่อนอยู่ในเพลิงอัคคีดำไม่ใช่แรงเต๋าเพลิงอัคคีทั่วไป หลัวซิวใช้จิตนึกคิด เตากลั่นนภาจื่อเซียวก็บินออกมาจากตัวหยั่งรู้ของเขา พลังดูดกลืนวิญญาณที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา ปะทะกับมังกรเพลิงอัคคีดำ หวังจะดูดมันเข้าไปในเตาเซียน
หลงอวี้ย่อมต้องรู้จักเตากลั่นนภาจื่อเซียวอยู่แล้ว เนื่องจากครั้นเมื่อเขาเจอหลัวซิวครั้งแรก ทั้งสองก็อาศัยของขลังพรสวรรค์ชิ้นนี้ในการเก็บพลังฉีกชั้นฟ้านี่แหละ
“ช่างน่าทึ่งเสียจริง เจ้าเป็นร่างผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้า ไม่นึกเลยว่าจะสามารถต่อกรกับร่างประมุขเต๋ากลับชาติมาเกิดที่มีผลการฝึกตนราชาเทพระดับเก้าอย่างข้าได้อย่างนั้นหรือ”
แววตาของหลงอวี้ดูเข้มงวดขึ้นมา หากถามว่าเหตุใดตอนแรกเริ่มเขาจึงดูหมิ่นหลัวซิวเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะเกิดจากสภาพจิตใจของประมุขเต๋าในอดีตชาติของตน แต่ทว่าหลังจากได้พบเห็นรู้จักกับอุบายที่แท้จริงของหลัวซิว เขาก็รู้แล้วว่าหากตนไม่ใช้อุบายไพ่เด็ด ต้องกำราบคนดังกล่าวไม่ได้แน่นอน
“หากข้าคาดเดาไม่ผิดละก็ เจ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของเรา”หลัวซิวเขม็งตาพลางพูด
เขาฝึกวิถีไร้ลักษณ์ สามารถวิวัฒนาการสรรพวิชา ซึ่งอ่อนไหวต่อพลังออร่าของวิถีทั้งปวงในหมื่นจักรวาลมาก ๆ จากแรงเต๋าเพลิงอัคคีดำที่ฝ่ายตรงข้ามปลดปล่อยออกมาในเมื่อครู่นี้ เขาก็สัมผัสคลื่นออร่าที่แตกต่างจากเกณฑ์ฟ้าดินในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดได้แล้ว ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างคล้ายคลึงและมีต้นกำเนิดมาจากเกณฑ์พลังเต๋าที่หลงฉิงเทียนเคยปลดปล่อย
หลงฉิงเทียน หลงอวี้ ทั้งสองคนนี้ต่างแซ่หลงเหมือนกัน ดังนั้นหลัวซิวจึงคาดเดาอย่างกล้าหาญว่าบางทีหลงอวี้อาจจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่กำเนิดจากโลกาเทพมังกรไท่ชู
ในยุคสมัยที่ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนควบคุมโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ในพื้นโลกดารานี้ไม่มีคนใดที่แข็งแกร่งกว่าประมุขเต๋าเลี่ยเทียน มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ก้าวข้ามมาจากพื้นโลกดาราอื่น ๆ ถึงจะมีโอกาสแข็งแกร่งกว่าประมุขเต๋าเลี่ยเทียน
แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกสงสัยเหมือนกันคือ เหตุใดประมุขเต๋าในโลกาเทพมังกรไท่ชูจึงต้องก้าวข้ามพื้นโลกมาต่อสู้เพื่อสังหารประมุขเต๋าเลี่ยเทียนด้วย? ทั้งผลลัพธ์สุดท้ายยังเป็นสถานการณ์ที่บาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่าย แล้วดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกันด้วย?
ดูจากผลลัพธ์ ประมุขเต๋าเลี่ยเทียนได้ใช้แรงเต๋าผนึกศพของตัวเองเอาไว้ จึงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกลับชาติมาเกิด ในทางตรงกันข้ามหลงอวี้นี่ดันกลับชาติมาเกิดสำเร็จ จึงแสดงให้เห็นเลยว่าศักยภาพในอดีตชาติของหลงอวี้แข็งแกร่งกว่าประมุขเต๋าเลี่ยเทียนหนึ่งระดับ
เขานึกถึงมหันตภัยแท้จริงที่อาจารย์กล่าวถึง หรือว่ามหันตภัยที่จะปะทุเพราะสงครามระหว่างพื้นโลกดารานี้ เริ่มมีแนวโน้มตั้งแต่ยุคไท่ชูแล้ว?
“เจ้าฉลาดมาก ข้ามิใช่ประมุขเต๋าในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดจริง ๆ แต่เป็นประมุขเต๋าในโลกาเทพมังกรไท่ชู อีกทั้งข้ายังเป็นหนึ่งในประมุขเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยที่ข้าคงอยู่ด้วย”
หลงอวี้พยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ “เจ้ามีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิแต่ก็มีศักยภาพเช่นนี้แล้ว พรสวรรค์ของเจ้าสูงมากจริง ๆ ซึ่งอยู่เหนืออัจฉริยะทั้งปวงที่ข้าเคยพบเห็นรู้จัก!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาของหลงอวี้ก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย “ข้ารู้สึกชื่นชมอัจฉริยะอย่างเจ้ามาก ปัจจุบันมหันตภัยใกล้จะมาเยือนแล้ว สามโลกาต้องได้ทำสงครามกันอย่างแน่นอน หากเจ้ายอมศิโรราบต่อข้า วันนี้ข้าสามารถไว้ชีวิตเจ้าได้หนหนึ่ง”
“ไว้ชีวิตข้าหนหนึ่ง?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ “หลงอวี้เอ๊ยหลงอวี้ แม้นเจ้าในอดีตชาติจักเป็นประมุขเต๋า ทว่าการพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้ามันดูเสแสร้งเกินไปหน่อยไหม ดูท่าหากข้าไม่เอาจริงหน่อย คงจะถูกเจ้าดูถูกแล้วล่ะ”