มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2806 ฝักดาบหวูชวง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2806 ฝักดาบหวูชวง
การฝึกฝนในหอคอยนภากาศสิ้นสุดลงแล้ว ทว่ายังเหลือเวลาอีกสามเดือน ถึงจะได้เข้าไปในสถานแหล่งเต๋า
ในส่วนของระยะเวลาในการประลองยุทธ์นั้น เหล่ายักษ์ใหญ่แห่งวังนภาสิบสองได้ตัดสินใจกันแล้วว่าจะจัดขึ้นในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนในอีกหนึ่งเดือนภายหน้า
บัดนี้ ระหว่างหลัวซิวและตำหนักปีศาจนภาไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว เขาเข้าร่วมตำหนักปีศาจนภา แล้วเข้าไปในหอคอยนภากาศด้วยตัวตนของตำหนักปีศาจนภา ส่วนตำหนักปีศาจนภาก็ได้รับหินนภาพลังเต๋าไปจากพวกเขาเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นความสัมพันธ์ที่เป็นทำนองเดียวกันกับการค้าขายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เมื่อเมื่อการฝึกฝนในหอคอยนภากาศสิ้นสุดลง การค้าขายในครั้งนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนการประลองยุทธ์ถึงจะเริ่มต้นขึ้น หลัวซิวและฮู๋ชิงชิงก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าเช่นกัน แต่เป็นการมาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียนโดยตรง อีกทั้งทำการเช่าห้องลับที่ใช้สำหรับการฝึกฝนอยู่ที่นี่หนึ่งห้อง
ระยะเวลาหนึ่งเดือนสั้นเกินไป ซึ่งไม่มีทางทำให้ศักยภาพของคนคนหนึ่งได้รับการยกระดับอย่างเห็นได้ชัดได้ด้วยซ้ำ หลัวซิวก็ไม่มีความคิดที่จะใช้ช่วงเวลานี้มาฝึกตนเช่นกัน แต่เขาวางแผนที่จะใช้เวลามาศึกษาค้นคว้าตำรับยาของยาเซียนนภาเต๋า
บางทีสำหรับนักยาเซียนคนอื่นแล้ว มาตรแม้นว่าได้รับยาเซียนนภาเต๋า ก็ไม่สามารถกลั่นสกัดมันออกมาได้เนื่องจากต้องรวบรวมวัตถุดิบต้นยาเซียนไม่ได้แน่นอน
ทว่าหลัวซิวกลับไม่คิดเช่นนั้น แม้นวัตถุดิบบางอย่างที่บันทึกอยู่ในตำรับยาจะสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่นนั้นในเมื่อหาไม่ได้ละก็ แล้วจะไม่สามารถใช้วัตถุดิบอื่น ๆ มาทดแทนได้แล้วหรือ?
แม้การเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบยาอย่างหนึ่งจะทำให้ทั้งระบบของตำรับยาพังทลาย จำเป็นต้องอนุมานเพื่อให้มันสมบูรณ์แบบใหม่อีกครั้ง
แต่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของหลัวซิวคืออะไร? นั่นก็คือการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ไงล่ะ!
ฮู๋ชิงชิงก็ไม่ได้ปิดขังเช่นกัน นางออกไปสืบเสาะข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับลู่เมิ่งเหยาแล้ว
เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ระยะเวลาหนึ่งเดือนใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว ห้องลับฝึกตนที่หลัวซิวอยู่เงียบสงัด ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
เมื่อหลัวซิวลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ระยะเวลาในโลกภายนอกก็ผ่านไป 20 วันแล้ว ส่วนภายในสีมาที่เขาเปิดออกโดยการอาศัยพลังศุภรกลับผ่านไปเกือบเจ็ดปีแล้ว!
จากความสามารถการอนุมานอันแข็งแกร่งของวิถีไร้ลักษณ์ ควบคู่กับความล้ำลึกของคัมภีร์โอสถที่เขายึดกุม เขาก็ใช้เวลาไปเกือบเจ็ดปีเช่นกันถึงจะสามารถอนุมานออกมาได้ หากเปลี่ยนเป็นนักยาเซียนคนอื่น ๆ เกรงว่าหากให้เวลาคนดังกล่าวเจ็ดปี ใช่ว่าเขาจะสามารถเสาะหาต้นสายปลายเหตุออกมาได้เสี้ยวหนึ่งเสมอไป
วัตถุดิบหลักในการกลั่นยาเซียนนภาเต๋าย่อมต้องเป็นหินนภาพลังเต๋าอยู่แล้ว แต่ทว่าวัตถุดิบสนับสนุนบางส่วนในตอนแรกถูกหลัวซิวเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งประเภทของวัตถุดิบยาที่เป็นตัวสนับสนุนนี้มีสูงถึง 1863 ประเภท และจำนวน ระดับความร้อนของไฟรวมไปถึงอัตราส่วนของวัตถุดิบยาทุกประเภทล้วนมีข้อจำกัดที่เข้มงวดมาก ๆ!
สามารถพูดได้เลยว่ายาเซียนนภาเต๋าเป็นยาเซียนที่กลั่นยากที่สุดตั้งแต่หลัวซิวเคยพบเจอมา
หลัวซิวมีวัตถุดิบหลักอย่างหินนภาพลังเต๋าสองร้อยกว่าก้อน วัตถุดิบอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากนั้นสามารถหาซื้อได้ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน หลัวซิวรีดไถทรัพย์สินมาจากลู่ยู่จื่อได้เป็นจำนวนมาก บัดนี้มันก็สามารถสร้างประโยชน์ให้เขาได้แล้ว
ผลลัพธ์ที่อนุมานออกมาได้ยังแตกต่างจากการลงมือทำอย่างแท้จริงไม่น้อยเลย ถึงแม้หลัวซิวจะมีประสบการณ์ในการกลั่นยาที่มากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถใช้งานสิ่งที่อนุมานออกมาได้โดยตรง
ด้วยเหตุนี้หลังจากเขารวบรวมวัตถุดิบได้หลายประเภทแล้ว ก็กลั่นล้มเหลวเป็นร้อยรอบเลย
แม้นจะล้มเหลวเป็นร้อยรอบ แต่เขากลับได้ประสบการณ์จากความล้มเหลว ไม่รู้สึกเสียดายวัตถุดิบยาที่เสียหายเลยแม้แต่น้อย และทันทีที่เขากลั่นสำเร็จละก็ เช่นนั้นตำรับยาที่เขาอนุมานออกมาได้ก็จะเป็นตำรับยาที่ใหม่เอี่ยม!
ในที่สุด ในขณะที่เขากลั่นถึงเตาที่ 108 ก็มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยออกมาจากเตากลั่นนภาจื่อเซียว แค่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ ก็ทำให้หลัวซิวเกิดความรู้สึกลึกลับและมหัศจรรย์ราวกับได้ตระหนักรู้เกณฑ์พลังเต๋าที่ระดับขั้นเหนือกว่า
ยาเซียนนภาเต๋าเป็นของดีที่สามารถยกระดับแดนเกณฑ์ของจอมยุทธ์เชียวนะ ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาเกิดความรู้สึกประเภทนี้ เขาก็รู้แล้วว่าในที่สุดตัวเองก็กลั่นสำเร็จสักที
จำนวนเม็ดยาที่กลั่นสำเร็จในเตาแรกมีไม่มาก มีเพียงสามเม็ดเท่านั้น อีกทั้งคุณภาพก็ไม่ได้สูงมากเช่นกัน มีเพียงหนึ่งเม็ดที่เป็นชั้นกลาง ส่วนอีกสองเม็ดเป็นชั้นล่าง
ยาที่อยู่ในระดับเดียวกัน ยาที่มีประสิทธิผลดีที่สุดคือชั้นยอด แต่ว่าวินาทีนี้หลัวซิวก็ไม่สนใจเรื่องระดับความสูงต่ำของคุณภาพยาเช่นกัน ก่อนที่เขาจะหยิบขึ้นมาหนึ่งเม็ด แล้วโยนเข้าปากโดยตรง
ตัวยาละลายทันทีหลังจากโยนเข้าไปในปาก เพียงพริบตาเดียวหลัวซิวก็รู้สึกว่ากระแสสัมผัสของตัวเองถูกฉุดดึงเข้าไปในพื้นที่ที่มหัศจรรย์มาก กฎเกณฑ์ความล้ำลึกของเกณฑ์พลังเต๋าทุกประเภทล้วนกลายเป็นข้อมูลต่าง ๆ แล้วหลอมรวมเข้าไปในความจำของเขา
“ช่างเป็นยาเซียนที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก!”
ประสิทธิผลนี้ทำให้หลัวซิวตกตะลึงหนักมาก นำความล้ำลึกของเกณฑ์พลังเต๋าหลอมรวมเข้าไปในความจำโดยตรง ซึ่งนี่เท่ากับการใช้อำนาจทำให้จอมยุทธ์ยึดกุมพลังเกณฑ์ที่เหนือกว่า เรียกได้เลยว่าเป็นฤทธิ์ยาที่แหกกฎสวรรค์มาก!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หลัวซิวกลับรู้สึกเคารพเลื่อมใสผู้แข็งแกร่งโบราณที่ริเริ่มตำรับยานี้มากกว่า คนคนนั้นต้องมีแนวคิดแบบใดกันนะ ถึงสามารถริเริ่มตำรับยาที่ประณีตละเอียดอ่อนเช่นนี้ออกมาได้
ความรู้สึกนี้หายไปรวดเร็วมาก เมื่อหลัวซิวสัมผัสได้ว่าตนกลับเข้ามาในร่างตัวเองแล้ว เขาก็โบกมือใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการเกณฑ์เบญจธาตุออกมา เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าพลังเกณฑ์ที่วิวัฒนาการออกมาแข็งแกร่งกว่าอดีตเล็กน้อย
“ประสิทธิผลไม่เลวเลย ทว่าเนื่องจากผลการฝึกตนของตัวข้าไม่เพียงพอ ดังนั้นยาเซียนที่กลั่นออกมาจึงเป็นเพียงระดับราชาชั้นเก้า หากผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าเป็นต้นไปกินยาตัวนี้ละก็ ประผลก็เบาบางลงมาก ๆ”
มีรอยยิ้มที่พึงพอใจปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว จากนั้นเขาก็นำวัตถุดิบยาทั้งหมดที่เหลืออยู่กลั่นให้เป็นเม็ดยา โดยที่กลั่นได้ทั้งหมด 60 กว่าเม็ด เพราะเมื่อถึงช่วงหลังฝีมือในการกลั่นยาของเขาก็ยิ่งอยู่ยิ่งชำนาญ อัตราการสำเร็จโอสถก็สูงขึ้นเช่นกัน กระทั่งคุณภาพของยาเซียนสามเตาสุดท้ายที่เขากลั่นได้ยิ่งบรรลุถึงชั้นยอด!
โบกมือถอนสีมาศุภรออก หลัวซิวเดินออกไปจากห้องลับฝึกตน แล้วพบว่าอีกสามก็ถึงวันประลองยุทธ์แล้ว
มีจอมยุทธ์จำนวนมากต่างมารวมตัวกันที่สนามจัตุรัสกลางเมืองศักดิ์สิทธิ์ชิงเทียน เนื่องจากสถานแหล่งเต๋ากำลังจะเปิดออก จึงได้ไม่ได้มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกสวรรค์เท่านั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจากเจ็ดโลกมหาศักดิ์ที่เหลือก็ต่างส่งศิษย์อัจฉริยะมาเช่นกัน
ตั้งแต่ยุคไท่ชูเป็นต้นมา โลกสวรรค์ก็ติดต่อคบค้าสมาคมกับโลกาภายนอกน้อยมาก ๆ ส่วนภพชาตินี้มหัตภัยกำลังจะมาเยือน จึงเปิดสถานแหล่งเต๋าให้แก่กองกำลังอื่น ๆ ซึ่งก็ถือเป็นการร่วมมือขั้นต้นของโลกสวรรค์และแดนศักดิ์สิทธิ์กองกำลังทั้งหลายเช่นกัน
จากการที่เหลืออีกสามวันการประลองยุทธ์ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว จึงมีคนมารวมตัวกันฝั่งสนามจัตุรัสเยอะมาก คนจำนวนไม่น้อยต่างเปิดแผงขายของ ระหว่างจอมยุทธ์ต่างแลกเปลี่ยนค้าขายสมบัติของตน
หลัวซิวเดินเล่นอยู่ที่นี่อย่างเรื่อยเปื่อย จู่ ๆ เมื่อเขามองเห็นชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่ง อีกทั้งบนเสื้อชายหนุ่มคนดังกล่าวยังมีดาบเทพอีกเล่มหนึ่ง แววตาเขาก็เข้มงวดขึ้นมาเล็กน้อย
ผู้ที่ใส่เครื่องแต่งกายประเภทนี้ ไม่ต้องบอกก็ก็รู้แล้วว่าต้องเป็นศิษย์แห่งหอมกุฎดาบแน่นอน เนื่องจากในโลกหล้านี้ มีเพียงเครื่องแต่งกายของหอมกุฎดาบเท่านั้นถึงจะมีรูปดาบปรากฏ หากคนอื่นใส่เสื้อผ้าในทำนองนี้แล้วเดินเตร่ไปไหนมาไหนมั่วซั่ว ทันทีที่ถูกคนในหอมกุฎดาบพบ ก็มีโอกาสถูกสังหารสูงมาก!
สาเหตุที่หลัวซิวเพ่งเล็งความสนใจไปที่คนของหอมกุฎดาบนั้น ย่อมต้องเป็นเพราะลู่เมิ่งเหยาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นเดินเข้าไปอย่างไม่ระมัดระวัง
ชายหนุ่มคนนั้นจากหอมกุฎดาบยืนอยู่หน้าแผงขายของแผงหนึ่ง เจ้าของแผงคือชายวัยกำลังคนคนหนึ่ง หนวดเคราตรงคางให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน บนแผงขายของของเขาวางเต็มไปด้วยสมบัติต่าง ๆ มูลค่าของสมบัติทุกชิ้นล้วนไม่ต่ำ
ส่วนชายหนุ่มจากหอมกุฎดาบกลับต้องตาฝักดาบหนึ่งเล่ม ฝักดาบดังกล่าวไม่ได้ตระการตามากเท่าไหร่นัก ยิ่งกว่านั้นคือมันยังดูธรรมดาและเรียบง่ายเล็กน้อยด้วย ด้านบนยังมีรอยสนิมปรากฏอีกเล็กน้อย
เมื่อสายตาของหลัวซิวร่วงลงบนฝักดาบ สายตาเขากลับผงะไปกะทันหัน เนื่องจากบนฝักดาบดังกล่าวมีคำว่าชวงสลักอยู่ด้วย!
“ฝักดาบของหวูชวงหรือ?”
หลัวซิวรู้สึกตะลึงเล็กน้อย เขานึกไม่ถึงเลยว่าภพชาตินี้จะยังมีโอกาสได้พบเจอมันอีก เขาไม่มีวันลืมเลยว่าครั้นเมื่อผลการฝึกตนของจี้หวูชวงบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าเมื่อปีนั้น นางได้กลั่นดาบเทพไร้เทียมทานหนึ่งเล่ม แล้วยังขอให้เขาสลักคำว่า ‘ชวน’ ลงไปบนฝักดาบด้วย
มีความหมายแฝงซ่อนอยู่ในคำว่าชวนเยอะมาก ๆ บางทีสำหรับจี้หวูชวงเมื่อปีนั้นแล้ว คำว่าชวนไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของชื่อนางอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีการฝากฝังและความคิดถึงที่อยากอยู่เคียงข้างไท่ซ่างฉิงแฝงซ่อนอยู่ด้วย