มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2804 ตราประมุขเต๋า
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2804 ตราประมุขเต๋า
ญาณมรณะในสุสานถูกกวาดล้างหมดแล้ว แต่หลัวซิวและลู่ยู่จื่อกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเพราะเหตุนี้
อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นสถานฌาปนของผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าคนหนึ่ง เมื่ออยู่ในสถานที่ประเภทนี้ การที่จะมีเหตุสุดวิสัยใด ๆ เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางหลัวซิวและลู่ยู่จื่อก็ไม่ประสบพบเจอกับภัยอันตรายใด ๆ จริง ๆ ทั่วทั้งสถานฌาปนรกร้างว่างเปล่า ไม่เหมือนสถานที่ที่มีสมบัตินับไม่ถ้วนอย่างที่จินตนาการเอาไว้เลย
ในที่สุด พวกเขาทั้งสองคนก็มาละแวกใกล้เคียงของแท่นบูชาสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสถานฌาปนสักที
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงพลานุภาพที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ พลังอำนาจประเภทนี้เหมือนดั่งอำนาจที่น่าเกรงขามของเทียนเต้า มากมายไร้ขอบเขต ทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง
“นี่ก็คืออำนาจแห่งประมุขเต๋าหรือ?”
หลัวซิวเขม็งตามองไป แดนประมุขเต๋าเป็นแดนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเทียนเต้า ดังนั้นออร่าพลานุภาพของประมุขเต๋าจึงสามารถเทียบทัดอำนาจอันน่าเกรงขามของเทียนเต้า
“แล้วนั่นคืออะไรอีก?”
จู่ ๆ หัวใจของหลัวซิวก็เต้นเร็วขึ้นมา เขามองเห็นวัตถุที่เหมือนดั่งลูกแก้วรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสีดำหนึ่งลูกลอยอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของแท่นบูชาที่สูงใหญ่นั่น ชี่มรณะอันไร้ขอบเขตในสถานฌาปนล้วนผนึกรวมกันที่ลูกแก้วลูกนั้น จากนั้นมันก็แพร่กระจายออกมาตลบฟุ้งไปทั่วสุสาน
วัตถุชิ้นนั้นเมื่อดูผิวเผินแล้วมันเหมือนช่องจิตดวงหนึ่งมาก ทว่ากลับไม่มีคลื่นออร่าวิญญาณดั้งเดิมเลย
“ชัวะ!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ลู่ยู่จื่อก็โคจรพลังอมตะปริภูมิ บินตรงไปยังส่วนยอดของแท่นบูชาที่สูงใหญ่นั่นโดยตรง ความเร็วรวดเร็วถึงขีดสุด
เมื่อหลัวซิวตอบสนองกลับมาได้ ลู่ยู่จื่อก็ขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุดของแท่นบูชานั่นแล้ว ยื่นมือออกไปคว้าลูกแก้วสีดำลูกนั้น
“โครม!”
ชี่มรณะทั้งหลายตัดสลับกัน มือที่ยื่นออกไปของลู่ยู่จื่อถูกชี่มรณะต้านทาน มาตรแม้นว่าเป็นเกณฑ์ปริภูมิที่เขาโคจรโดยธรรมเวชเสวียนก็ทลายชี่มรณะได้ยากมาก
ในขณะเดียวกัน ก็มีแสงกระบี่ดวงหนึ่งตัดสับมา ลู่ยู่จื่อสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ที่ส่งตรงมาจากด้านหลัง เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง แล้วหลบเลี่ยงแสงกระบี่ดังกล่าวไป
อำนาจที่แสงกระบี่พุ่งตรงเข้ามาไม่ลดน้อยลงเลย โจมตีไม่โดนลู่ยู่จื่อ แต่กลับเฉือนสับไปทางลูกแก้วสีดำโดยตรง
ชี่มรณะสีดำทั้งหลายพรั่งพรูออกมาจากลูกแก้วสีดำ ภายใต้การกัดกร่อนจากชี่มรณะ แสงกระบี่ก็เริ่มพังทลายลงไป ก่อนจะสลายหายไปในอนัตตาอย่างรวดเร็ว
“ผู้เพื่อนยุทธ์หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงต้องจู่โจมข้า?”
สีหน้าของลู่ยู่จื่อดูย่ำแย่มาก เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขาคอยระมัดระวังหลัวซิว ไม่แน่เจ้าหมอนั่นก็จะแทงข้างหลังเขาแล้วจริง ๆ
“ผู้เพื่อนยุทธ์ลู่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่ได้จู่โจมเจ้านะ ข้าแค่จะโจมตีลูกแก้วสีดำนั่น”
สีหน้าหลัวซิวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ยิ้มอ่อนครั้งหนึ่ง “จะว่าไปผู้เพื่อนยุทธ์เจ้าจักลงมือแก่งแย่งลูกแก้วสีดำนั่นอย่างอดใจรอไม่ไหว ตกลงของสิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?”
วินาทีนี้หลัวซิวแทบจะสามารถยืนยันได้แล้วว่า จุดประสงค์แท้จริงที่ลู่ยู่จื่อมาชั้น 13 ของหอคอยนภากาศนั้น ก็มาเพื่อลูกแก้วสีดำลูกนี้นี่แหละ
แต่ทว่ารอบ ๆ ลูกแก้วสีดำลูกนั้นมีเกณฑ์ความตายที่ล้ำลึกอย่างยิ่งโอบล้อมอยู่ มาตรแม้นว่าลู่ยู่จื่อจะลงมือเร็วมาก แต่กลับไม่ได้ครอบครองง่ายขนาดนั้น หลัวซิวถึงได้มีโอกาสลงมือ
ลู่ยู่จื่อทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง เขาไม่ได้ตอบกลับคำถามของหลัวซิวแต่อย่างใด มีพลังเต๋าไหลเวียนอยู่รอบกายเขา จากนั้นก็มีประตูสำนักเต๋าที่โบราณเรียบง่ายหนึ่งบานปรากฏด้านหลังเขา อัญประตูสำนักเต๋าที่แท้จริงมีเพียงบานเดียวเท่านั้น ซึ่งถูกยึดกุมอยู่ในมือผู้สูงส่งโลกเสวียนในยุคปัจจุบัน ทว่าชาติปางก่อนของลู่ยู่จื่อก็คือผู้สูงส่งโลกเสวียน และเคยยึดกุมสำนักเต๋า ดังนั้นการตระหนักรู้ในธรรมเวชเสวียนที่แฝงซ่อนอยู่ภายในอัญประตูสำนักเต๋าก็สูงส่งมากเช่นกัน
“นี่ผู้เพื่อนยุทธ์วางแผนที่จะแตกหักกับข้าน้อยหรือ?”ตรงมุมปากหลัวซิวมีรอยยิ้มจาง ๆ ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะอยู่ต่ำกว่าลู่ยู่จื่อหนึ่งแดนเล็ก แต่ถ้าเกิดต้องต่อสู้กันจริง ๆ โอกาสที่เขาจะชนะกลับสูงกว่า
หนังตาข้างขวาลู่ยู่จื่อกระตุกทีหนึ่ง เขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลัวซิวสังหารจวินห้าวเซวียนในก่อนหน้านี้ จึงพูดในใจว่า “เจ้าหมอนี้ดุดันจนเหลือเชื่อ เกรงว่าแม้นข้าจะปลดปล่อยอุบายไพ่เด็ดที่อำพรางอยู่ออกมา ก็ไม่มีทางสยบมันได้แน่นอน”
ถ้าเกิดจะสู้ละก็ โอกาสชนะไม่สูง นี่จึงทำให้ลู่ยู่จื่อรู้สึกลำบากใจขึ้นมา แต่หลัวซิวกลับไม่รีบไม่ร้อน แค่อมยิ้มพลางรอให้ลู่ยู่จื่อตัดสินใจ
“หึ!”
สุดท้ายลู่ยู่จื่อก็ระงับอารมณ์ชั่ววูบที่จะลงมือแล้วพูด: “บอกให้เจ้าทราบก็ได้ ลูกแก้วสีดำลูกนั้นก็คือตราประมุขเต๋า”
“ตราประมุขเต๋า?”หลัวซิวที่ได้ยินเช่นนี้แล้วก็ขมวดคิ้วลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชาติปางก่อนหรือภพชาตินี้ เขาก็ไม่เคยได้ยินของอย่างตราประมุขเต๋ามาก่อนเลย
แต่ว่าขอแค่เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับประมุขเต๋า แค่ชื่อของมันก็ฟังดูเก่งกาจมาก ๆ แล้ว
“ตราประมุขเต๋าที่กล่าวถึงนั้น ก็คือโอกาสที่สามารถทำให้จอมยุทธ์คนหนึ่งบรรลุเป็นประมุขเต๋า!”
ลู่ยู่จื่อค่อย ๆ พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าก็บังเอิญทราบมาจากโอกาสครั้งหนึ่งเช่นกันว่าประมุขเต๋าคงกระพันในสมัยต้าเหยียนถูกผู้อื่นโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ใกล้จะดับสลายสุดสิ้นเขาได้หลบหนีเข้ามาในชั้นที่ 13 ของหอคอยนภากาศ แล้วบุกเบิกสถานฌาปนของตนเองที่นี่ อีกทั้งทิ้งตราประมุขเต๋าไว้ที่นี่ด้วย”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของลู่ยู่จื่อ หลัวซิวก็เข้าใจแล้ว ตราประมุขเต๋าก็เท่ากับการถ่ายทอดสืบสานอีกประเภทหนึ่ง ขอแค่ได้รับตราประมุขเต๋า อีกทั้งกลั่นแปรหลอมรวมตราประมุขเต๋าเข้ากับตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับการตระหนักรู้ทั้งปวงของประมุขเต๋าคงกระพัน เท่ากับผันร่างเป็นประมุขเต๋าคงกระพันอีกคนหนึ่ง บรรลุถึงช่วงที่เขาเคยรุ่งโรจน์ที่สุด
ซึ่งจุดประสงค์ของลู่ยู่จื่อก็เรียบง่ายมาก ๆ เขาอยากครอบครองตราประมุขเต๋าดังกล่าว แม้นนี่จะเป็นตราประมุขเต๋าAttrความตาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ปริภูมิที่เขาฝึก ทว่าตราประมุขเต๋ากลับสามารถทำให้เขาบรรลุสู่แดนประมุขเต๋า และใช่ว่าเกณฑ์ปริภูมิจะสามารถทำให้ความฝันของเขาลุล่วงได้เสมอไป
สามารถพูดได้เลยว่าสำหรับจอมยุทธ์ส่วนมากในหมื่นจักรวาลแล้ว ตราประมุขเต๋าก็คือสมบัติที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ ทว่าเมื่อหลัวซิวเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว เขากลับรู้สึกว่าตราประมุขเต๋านี่เหมือนของที่ไม่มีค่าอะไร
เนื่องจากเมื่อหลอมรวมตราประมุขเต๋าแล้ว ก็เท่ากับได้ย่างกรายลงเส้นทางที่ประมุขเต๋าคงกระพันเคยเดิน อนาคตอย่างมากแค่สามารถบรรลุถึงแดนที่ประมุขเต๋าคงกระพันเคยบรรลุถึง และจะไม่มีโอกาสพัฒนาได้อีกเลย
ตราประมุขเต๋าสามารถทำให้คนคนหนึ่งบรรลุเป็นผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋า ในขณะเดียวกันมันก็จะกลายเป็นอุปสรรคที่ผูกมัดการพัฒนาในอนาคตด้วย
แต่มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงมีคนอีกเป็นจำนวนมากเลือกที่จะเลือกตราประมุขเต๋าอยู่ดี อย่างไรเสียตั้งแต่โบราณกาลมา อสูรจิตที่สามารถอาศัยตนเองแล้วบรรลุถึงแดนประมุขเต๋าได้นั้น จักมีสักเท่าไหร่เชียว?
ชาติปางก่อนของลู่ยู่จื่อคือผู้แกร่งเลิศ ระหว่างผู้แกร่งเลิศและประมุขเต๋าดูเหมือนจะห่างกันเพียงเสี้ยวเดียว ทว่าเสี้ยงนี้กลับเป็นช่องกว้างที่แทบจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้เลย
ต่อให้กลับชาติมาเกิดสำเร็จแล้ว แต่ลู่ยู่จื่อก็ยังคงไม่คิดว่าภพชาตินี้ตนจะสามารถอาศัยเกณฑ์ปริภูมิบรรลุสู่แดนประมุขเต๋าได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเลือกตราประมุขเต๋า แล้วทำให้ตัวเองในภพชาตินี้บรรลุสู่แดนประมุขเต๋า!
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องครอบครองตราประมุขเต๋าลูกนี้ให้ได้ หากผู้เพื่อนยุทธ์วางแผนที่จะแก่งแย่งกับข้าละก็ เราทั้งสองคงต้องบาดเจ็บสาหัสกันทั้งคู่แล้วล่ะ”
หลังจากบอกเล่าความลับของตราประมุขเต๋าออกมาแล้ว แววตาของลู่ยู่จื่อก็ดูเฉียบคมและดุดันขึ้นมา แม้เขาจะเกรงกลัวหลัวซิว แต่ก็จะไม่ยอมทอดทิ้งตราประมุขเต๋าเพราะเหตุนี้
อีกทั้งเขายังมีอีกความคิดหนึ่ง นั่นก็คือเขารู้สึกว่าหลัวซิวเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด จากความทะนงองอาจของคนดังกล่าว ต้องไม่มีทางเลือกเส้นทางของตราประมุขเต๋าแน่นอน ดังนั้นในทางตรงกันข้ามกลับจะมองว่าตราประมุขเต๋าไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลู่ยู่จื่อสมกับเป็นเฒ่าประหลาดที่คงอยู่มาสองภพชาติจริง ๆ เขามองทะลุจิตใจและธรรมชาติของมนุษย์ได้ชัดเจนมาก หลัวซิวไม่ได้รู้สึกสนใจในตราประมุขเต๋านี่จริง ๆ
แน่นอนอยู่แล้วว่าแม้หลัวซิวจะไม่สนใจในตราประมุขเต๋า แต่เขาก็จะไม่ยอมยกตราประมุขเต๋าให้ลู่ยู่จื่อง่าย ๆ แน่นอน
“เจ้าและข้าร่วมมือกันถึงจะสามารถบุกรุกเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ จึงสมควรที่จะแบ่งตราประมุขเต๋านี่ให้ข้าส่วนหนึ่งสิ”
หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง “ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนยุทธ์ลู่มีวิธีการใดที่สามารถแบ่งตราประมุขเต๋าออกเป็นสองส่วนได้หรือไม่?”
“แบ่งออกเป็นสองส่วน?”ลู่ยู่จื่อที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็แทบจะหัวเสียจนตายไปเลย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าสามารถแบ่งตราประมุขเต๋าได้หรือไม่ ต่อให้สามารถแบ่งได้ ตราประมุขเต๋าที่ขาดตกบกพร่องจะมีประโยชน์มะเขืออะไรเล่า?
ทว่าเขาก็ฟังนัยยะแฝงในคำพูดของหลัวซิวออกเช่นกัน นั่นก็คือหากเขาต้องการตราประมุขเต๋าลูกนี้ ก็จำเป็นต้องเอาของอะไรบางอย่างให้หลัวซิวเป็นการทดแทน
“คนที่ตรงไปตรงมาอย่างเรา ๆ ไม่ชอบอ้อมค้อม หากผู้เพื่อนยุทธ์มีข้อเรียกร้องอะไรก็สามารถพูดออกมาได้เลย ขอแค่เป็นสิ่งที่แซ่ลู่สามารถทำให้ได้ ข้าก็จักไม่บ่ายเบี่ยงแม้แต่น้อย ขอแค่ผู้เพื่อนยุทธ์ยอมยกตราประมุขเต๋านี่ให้ข้า ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรข้าก็ยอม!”
เมื่อเรื่องดำเนินการมาถึงขั้นนี้ ลู่ยู่จื่อย่อมต้องแสดงด้านที่เด็ดเดี่ยวเด็ดขาดออกมาอยู่แล้ว
หากสามารถเจรจากันอย่างสันติสุขได้ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว หากเจรจากันไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงต่อสู้กันแล้วล่ะ สิ่งเดียวที่ทำให้ลู่ยู่จื่อรู้สึกชื่นใจเล็กน้อยคือหลัวซิวไม่มีความคิดที่จะอาศัยตราประมุขเต๋าเพื่อบรรลุเป็นประมุขเต๋า
หลัวซิวไม่ชอบวิธีการที่อยู่ในกรอบประเภทนี้จริง ๆ สำหรับหลัวซิวแล้ว ของชิ้นหนึ่งที่ตนไม่ต้องตาแต่กลับสามารถแลกกับมูลค่าที่มากมายมหาศาล มันย่อมต้องเป็นการค้าขายที่ไม่เลวอยู่แล้ว
“บนตัวผู้เพื่อนยุทธ์มีหินนภาพลังเต๋ากี่ก้อนหรือ?”หลัวซิวถาม
“ยังมี 103 ก้อน หากผู้เพื่อนยุทธ์ต้องการละก็ ทั้งหมดนี้จะเป็นของเจ้า”ลู่ยู่จื่อไม่มีความลังเลใจใด ๆ ยกมือโบกทีหนึ่ง หินนภาพลังเต๋าทั้ง 103 ก้อนก็กลายเป็นลำแสง บินตรงไปทางหลัวซิว
เมื่อเปรียบเทียบกับตราประมุขเต๋าแล้ว หินนภาพลังเต๋าเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ
ในส่วนของยาเซียนนภาเต๋านั้น ลู่ยู่จื่อก็ไม่คิดว่าหลัวซิวจะสามารถกลั่นสกัดออกมาได้เช่นกัน เนื่องจากวัตถุดิบส่วนมากที่ต้องใช้ในการกลั่นยาเซียนล้วนเป็นสิ่งที่สูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว โอกาสที่จะรวบรวมมาได้นั้นริบหรี่มาก!
หากไม่สามารถกลั่นเป็นเม็ดยาเซียน เช่นนั้นหินนภาพลังเต๋าเหล่านี้ก็จะไม่มีค่าอะไร ประสิทธิผลในการฝึกตนก็แค่ดีกว่ากรองแก้วโลหิตเล็กน้อยเท่านั้นแหละ
“การตระหนักรู้ในธรรมเวชเสวียนของผู้เพื่อนยุทธ์สูงส่งมาก ข้าก็รู้สึกสนใจในวรยุทธ์ของเจ้ามากเช่นกัน”
“ยกให้เจ้า!”
“กรองแก้วโลหิตของข้าเหลือไม่มากแล้ว ชาติปางก่อนผู้เพื่อนยุทธ์คือผู้สูงส่งในโลกาหนึ่ง น่าจะมีทรัพย์สินอยู่ไม่น้อยเลยสินะ?”
“ยกให้เจ้า!”
“อนาคตเมื่อข้าจะบรรลุสู่ผู้สูงส่ง ต้องการหินบรรพไท่ชูจำนวนมาก ผู้เพื่อนยุทธ์ก็น่าจะมีเก็บสะสมอยู่เช่นกันใช่หรือไม่?”
“ยกให้เจ้า! ……”
ของที่หลัวซิวรีดไถนั้นมีไม่น้อยจริง ๆ ทำให้ลู่ยู่จื่อรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก แต่หลัวซิวก็รู้จักน้ำหนักในการปฏิบัติตัวเช่นกัน ขีดจำกัดที่เขารีดไถไม่เคยอยู่เหนือเส้นตายที่ลู่ยู่จื่อสามารถยอมรับได้เลย
“เอาอาวุธเทพของขลัง และพวกทองเซียนตัวเซียนระดับสูงให้ข้าอีกนิดหน่อยก็พอแล้ว”หลัวซิวยิ้มตาหยีพลางพูด พลางเก็บสมบัติจำนวนมากเข้ากระเป๋า
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว เจ้าทำเช่นนี้มันเกินเลยไปหน่อยหรือไม่?”ลู่ยู่จื่อเริ่มกัดฟันกรอดแล้ว หากแววตาสามารถสังหารเทพได้ละก็ หลัวซิวคงถูกเขาประหารชีวิตไปเป็นหมื่นครั้งแล้ว
“เกินเลยไปหรือ? เมื่อนำของเหล่านี้เปรียบเทียบกับโอกาสที่สามารถบรรลุเป็นประมุขเต๋าได้แล้ว มันก็แตกต่างกันมากเลยนะ ถึงแม้ผู้เพื่อนยุทธ์เจ้าจะเก็บของเหล่านี้ไว้ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าบรรลุเป็นประมุขเต๋าได้เช่นกัน แต่ตราประมุขเต๋ากลับสามารถทำได้!”
หลัวซิวเบ้ปาก ดูไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย นี่จึงทำเอาลู่ยู่จื่อใกล้จะกระอักเลือดแล้วจริง ๆ
ในที่สุด นอกเหนือจากอาวุธเทพชีวีของลู่ยู่จื่อที่ไม่ถูกหลัวซิวรีดไถไปแล้ว ส่วนใหญ่สมบัติอื่น ๆ ล้วนถูกหลัวซิวค้นและรีดไถไปเกือบครึ่ง!
ต้องท้าวความก่อนว่าลู่ยู่จื่อเมื่อชาติปางก่อนเป็นผู้สูงส่งในโลกาหนึ่ง เขาได้ทิ้งทางหนีทีไล่ในการกลับชาติมาเกิดของตัวเองตั้งนานแล้ว ทิ้งทรัพย์สินและทรัพยากรดุจมหานทีเอาไว้ ซึ่งในบรรดาทรัพยากรทรัพย์สินทั้งหมดนี้ มีครึ่งหนึ่งที่เป็นจำนวนที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
หลัวซิวได้รับผลประโยชน์ที่มากมายเช่นนี้ ก่อนที่เขาจะตบ ๆ ก้นแล้วจากไปเลย นอกเหนือจากตราประมุขเต๋าแล้ว บนแท่นบูชาก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย เขาวางแผนที่จะไปเดินเล่นในสถานที่อื่น ๆ ดู เพื่อไปตามหาโลงศพเทวของประมุขเต๋าคงกระพัน