มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2766 ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานในหนึ่งโลก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2766 ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานในหนึ่งโลก
ธรรมเวชกาลร้าง เป็นธรรมที่ลึกซึ้งกว่าวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสาร ธรรมประเภทนี้แทบจะอรรถาธิบายความล้ำลึกขั้นสุดท้ายของการกลั่นร่างเนื้อ หากสามารถเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของธรรมนี้ ก็จะสามารถบรรลุเป็นร่างเทวที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สุดในจักรวาล!
ครั้นเมื่อเจอหอคอยฮวงครั้งแรก วิถีไร้ลักษณ์ของหลัวซิวก็สัมผัสความล้ำลึกของธรรมเวชกาลร้างได้อย่างรวดเร็วและเฉียบแหลมแล้ว ทราบว่าหนังสือยุทธภัณฑ์ที่เขาเจอก็วิวัฒนาการมาจากธรรมเวชกาลร้างนี่แหละ
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าบรรพศักดิ์สิทธิ์ผู้บุกเบิกหนังสือยุทธภัณฑ์ ก็ต้องเคยได้รับการตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างมาก่อนแน่นอน
แต่ทว่าวิถีหนังสือยุทธภัณฑ์ก็ยังไม่เหมือนธรรมเวชกาลร้างอยู่ดี เนื่องจากภายในวิถีหนังสือยุทธภัณฑ์มีความล้ำลึกของธรรมเวชกาลร้างแฝงอยู่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด
ทว่าเนื่องจากเคยตระหนักรู้ในหนังสือยุทธภัณฑ์ ทำให้หลัวซิวตระหนักรู้ธรรมเวชกาลร้างได้ง่ายมากขึ้น เขาเพลิดเพลินอยู่กับการตระหนักรู้ธรรมประเภทนี้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้ตัวเลยว่ากาลเวลาในโลกาภายนอกผ่านพ้นไปกี่ปีแล้ว
ในระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น หลัวซิวรู้สึกว่าตัวเองตระหนักรู้ในปริภูมิพื้นที่ขาวโพลนแห่งนี้มาพันปีแล้ว แต่ในความเป็นจริงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากธรรมเวชกาลร้าง เวลาในการเคลื่อนที่ของปริภูมิแห่งนี้แตกต่างจากโลกาภายนอกมาก ๆ เขารู้สึกว่าเวลาได้ผ่านพ้นไปพันปี ทว่าเวลาโลกาภายนอกเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
ในที่สุด หลัวซิวก็ตระหนักรู้ธรรมสุดล้ำลึกที่แฝงซ่อนอยู่ในเงาสะท้อนหอคอยฮวงตรงหน้าโดยสิ้นเชิง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาก็กลับมาชัดเจนเหมือนเก่า หยุดการอนุมาน
วิชากลั่นร่างของเขาได้รับการปรับให้สมบูรณ์แบบขึ้นอีกหนึ่งขึ้น เขาใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการธรรมเวชกาลร้างที่ตนตระหนักรู้ได้ออกมา จนประกอบเป็นลายค่ายทั้งหลายหลอมรวมเข้ากับวิชาสลักแห่งตน ค่อย ๆ สลักหลอมรวมเข้าไปในร่างกายตัวเอง
“เวิ่งง!”
ณ เสี้ยววินาทีนั้น มีรัศมีเทวที่งดงามแย้มบานออกมาจากตัวเขา มีออร่าธรรมดั้งเดิมที่มากมายมหาศาลจนทำให้ผู้คนเคารพยำเกรงรั่วไหลออกมาลาง ๆ
นำธรรมเวชกาลร้างสลักเข้าไปในร่างตน วิธีการประเภทนี้ไม่ได้ทำให้ร่างเนื้อของหลัวซิวได้รับการยกระดับแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นการเพิ่มศักยภาพร่างเนื้อของเขาอย่างเป็นนัย
ยกตัวอย่างเช่นปัจจุบันเขาอยู่ในแดนเทพมารระดับแปด มากสุดร่างเนื้อของเขาสามารถชุบถึงร่างราชาเทพระดับเก้าก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว ซึ่งไม่มีทางบรรลุถึงร่างมกุฎเทพระดับเก้าแน่นอน นอกซะจากว่าผลการฝึกตนของเขาก็มีการทลายพันธนาการของแดนใหญ่ บรรลุถึงระดับเทพมารระดับเก้า
แต่มีการตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้าง อีกทั้งสลักธรรมประเภทนี้หลอมรวมเข้าไปในร่างกายตัวเอง ขีดจำกัดของเขาจึงถูกบุกเบิกจนขยายออก ยกตัวอย่างเช่นปัจจุบันผลการฝึกตนของเขาอยู่ที่เทพมารระดับแปดช่วงกลาง อย่างมากสุดร่างเนื้อสามารถชุบถึงร่างราชาเทพระดับเก้าช่วงกลาง แต่วินาทีนี้กลับมีศักยภาพที่มากกว่า ซึ่งสามารถฝึกถึงร่างราชาเทพระดับเก้าช่วงปลาย!
สามารถพูดได้เลยว่าศักยภาพร่างเนื้อที่เพิ่มขึ้นนี้ ข้อดีของมันกลับอยู่เหนือผลการฝึกตนที่ได้รับการยกระดับ!
และในเวลานี้เอง เงาสะท้อนของหอคอยฮวงก็หายไป สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือประตูหินอีกหนึ่งบาน ปรากฏในปริภูมิขาวโพลนที่อยู่ตรงหน้า
หลัวซิวไม่มีความลังเลใจใด ๆ มุ่งหน้าเดินตรงไปทันที ใช้มือทั้งสองข้างกดลงบนประตูหิน ทุ่มสุดกำลังสามารถ ถึงจะผลักประตูหินดังกล่าวจนแง้มออกเล็กน้อย
“ชั้นที่สามของหอคอยฮวงหรือ?”
หลังจากผลักประตูหินแล้วเดินเข้าไป สิ่งที่หลัวซิวเห็นก็ยังคงเป็นพื้นที่ที่ขาวโพลนอยู่เช่นเคย ราวกับเขาเดินมาจากอีกฝั่งหนึ่งของประตูหิน แล้วกลับมาถึงตำแหน่งในเมื่อครู่นี้อีกครั้ง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
แต่ทว่าประตูหินที่อยู่ด้านหลังเขากลับหายไปแล้ว
สายตาของเขาจับจ้องไปข้างหน้า หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ ที่นี่น่าจะยังมีเงาสะท้อนของหอคอยฮวงปรากฏอีก ส่วนเงาสะท้อนที่ปรากฏอีกครั้งนั้น ความล้ำลึกของธรรมเวชกาลร้างที่แฝงซ่อนอยู่ภายในจักลึกลับและมหัศจรรย์กว่าธรรมที่ตระหนักรู้ได้ในชั้นที่สอง!
ไม่มีเหตุการณ์สุดวิสัยเกิดขึ้นแต่อย่างใด ทันทีที่มีความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาในหัวหลัวซิว เงาสะท้อนของหอคอยฮวงก็ปรากฏแล้ว ซึ่งเหมือนอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้เลย ความล้ำลึกของธรรมที่แฝงซ่อนอยู่ในเงาสะท้อนหอคอยฮวงหลังนี้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม!
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
ดูเหมือนหลัวซิวจักเข้าใจอะไรบางอย่าง เริ่มตั้งแต่ชั้นที่สองของหอคอยฮวง ทุก ๆ ชั้นน่าจะมีเงาสะท้อนของหอคอยฮวงหนึ่งหลัง ความล้ำลึกของธรรมที่แฝงซ่อนอยู่ภายในก็จะยิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้น ค่อย ๆ ก้าวหน้าไปตามลำดับ ทำให้ผู้คนได้ตระหนักความมหัศจรรย์ของธรรมเวชกาลร้าง
บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีการเลือกนายของหอคอยฮวงก็เป็นได้ มีเพียงเข้าใจและตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างได้มากพอ สุดท้ายถึงจะได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง แล้วกลายเป็นเจ้าของอัญสมบัติเลิศล้ำชิ้นนี้
ในส่วนของฮวงจวินนั้น เขาแค่อาศัยผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งของตัวเองมาควบคุมหอคอยฮวง ซึ่งไม่ใช่เจ้าของหอคอยฮวงแต่อย่างใด ไม่ได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง แม้นเขาก็มีการตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้างเช่นกัน แต่กลับไม่มีวาสนาที่จะได้เข้ามาในหอคอยฮวง สิ่งที่ตระหนักรู้ได้จึงมีน้อยมาก ๆ
“มิน่าล่ะอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดทั้งหลายถึงต่างทุ่มสุดชีวิตเพื่อช่วงชิงโควต้าหอคอยฮวง ดูท่ากองกำลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็น่าจะทราบความเร้นลับที่อยู่ในหอคอยฮวงบ้างไม่มากก็น้อย”
หลัวซิวกำลังคาดคะเนในใจ หอคอยฮวงจะเปิดออกในทุก ๆ หนึ่งยุคตรีภพ การถ่ายทอดสืบสานของบางกองกำลังใหญ่ยาวนานอย่างยิ่ง ก้าวข้ามมาแล้วหลายยุคตรีภพ เคยเห็นหอคอยฮวงเปิดออกแล้วหลายครั้ง จากสติปัญญาของพวกเขา การที่จะศึกษาแล้วค้นพบความเป็นไปได้และความเร้นลับบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน
แต่ทว่าธรรมเวชกาลร้างลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ ซึ่งลึกซึ้งประณีตสวยวิจิตรกว่าวิถีสวรรค์และวิถีวัฏสงสารเสียอีก หากไม่มีความสามารถในการตระหนักรู้ที่ล้ำเลิศสูงส่ง ก็ไม่มีทางตระหนักรู้ได้มากด้วยซ้ำ หลัวซิวสันนิษฐานว่าจากอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศหนึ่งพันคนที่เข้ามาในหอคอยฮวง ส่วนมากก็น่าจะตระหนักรู้ได้แค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละ
หากสิ่งที่ตระหนักรู้ได้เป็นเพียงเปลือกนอก ประโยชน์ก็มีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย มากสุดแค่สามารถปรับให้วรยุทธ์ที่ตัวเองฝึกสมบูรณ์แบบขึ้นนิดหนึ่ง
เนื่องจากคนอื่นไม่มีวิถีไร้ลักษณ์ หลัวซิวจึงสามารถตระหนักรู้ความมหัศจรรย์ของธรรมเวชกาลร้างได้อย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักเป็นเพราะข้อดีที่วิถีไร้ลักษณ์ของเขาชำนาญมากที่สุดก็คือการอนุมาน!
ห้วงแท้พลังเต๋าที่ตระหนักรู้ได้จากชั้นที่สองของหอคอยฮวง เป็นเพียงเปลือกนอกของธรรมเวชกาลร้าง
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ เขาก็ตระหนักรู้อยู่ในชั้นที่สองของหอคอยฮวงมานานเป็นพันปีเช่นกัน หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คาดว่าคงต้องใช้เวลาเป็นหมื่นปี หรือนานกว่านี้ถึงจะสามารถตระหนักรู้ได้โดยสิ้นเชิง
นั่งลงในท่าขัดสมาธิ มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดนับหมื่นปรากฏในดวงตา หลัวซิวเข้าสู่สภาวะอนุมานอย่างทุ่มสุดกำลังสามารถโดยตรง ธรรมเวชกาลร้างของชั้นที่สามลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ถึงแม้หลัวซิวจะมีความรู้เบื้องต้นของธรรมเวชกาลร้างแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ อยู่ดี
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น เป็นเพราะเขาถูกพันธนาการโดนแดนของตนเอง อย่างไรเสียผลการฝึกตนของเขาก็เป็นเพียงเทพมารระดับแปด อาศัยประสบการณ์ของชาติปางก่อนและความสามารถในการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ เขาถึงจะมีข้อได้เปรียบต่าง ๆ ทว่าท้ายที่สุดแล้วผลการฝึกตนต่ำก็ยังเป็นข้อเสียเปรียบอยู่ดี ซึ่งไม่สามารถตระหนักรู้ธรรมสุดมหัศจรรย์ที่อยู่ในระดับขั้นที่สูงกว่า
“ระยะเวลาที่หอคอยฮวงเปิดออกคือสิบปี ซึ่งข้าตระหนักรู้อยู่ในชั้นที่สองไปเป็นพันปีแล้ว จึงแสดงให้เห็นเลยว่าเวลาในหอคอยฮวงแตกต่างจากโลกาภายนอก ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเวลาในหอคอยฮวงช้ากว่ามาก”
มีความคิดนี้กระพริบผ่านไปในหัวหลัวซิว และเขาก็ตระหนักรู้อยู่ในชั้นที่สามของหอคอยฮวงไปเกือบหมื่นปีแล้ว!
ระยะเวลาพันปีเท่ากับไม่กี่ชั่วโมงของโลกภายนอก ส่วนระยะเวลาหมื่นปี ก็เท่ากับหลายวันของโลกาภายนอก
สลักธรรมเวชกาลร้างที่ตัวเองตระหนักรู้ได้ลงไปในร่างกายอีกครั้ง หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าศักยภาพของร่างเนื้อตัวเองเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“เวลาเพิ่มขึ้นตามลำดับสิบเท่า หรือว่าเมื่อก้าวขึ้นสู่ชั้นสี่ ข้าต้องใช้เวลาหนึ่งแสนปีถึงจะตระหนักรู้ได้โดยสิ้นเชิงหรือ?”
หลัวซิวขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจต่อความสามารถในการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่น ความเร็วของเขาถือว่าเร็วมาก ๆ แล้ว
เมื่อเขาก้าวขึ้นสู่ชั้นที่สี่ คนอื่นยังคงอยู่ชั้นแรก มีเพียงอัจฉริยะที่มีความสามารถในการตระหนักรู้น่าทึ่งเพียงสองสามคนเท่านั้น ที่เพิ่งก้าวขึ้นสู่ชั้นสาม
หลัวซิวเจอจุดตีบตันในชั้นที่สี่ เขาตระหนักรู้ห้วงแท้พลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในเงาสะท้อนหอคอยฮวงไปได้เจ็ดส่วน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถตระหนักรู้ความล้ำลึกได้มากกว่านี้ ไม่มีการพัฒนาขึ้นอีกขั้น
เขาติดอยู่กับก้าวนี้มานานสามหมื่นปีถ้วน เมื่อตระหนักรู้ห้วงแท้พลังเต๋าของชั้นสี่ได้โดยสิ้นเชิง ก็ใช้เวลาไปหนึ่งแสนห้าหมื่นปี!
ระยะเวลาที่เขาใช้ในชั้นที่สี่ เลยมาครึ่งหนึ่งของเวลาที่เขาคิดคำนวณเอาไว้ล่วงหน้า!
เขาสลักธรรมเวชกาลร้างที่ตระหนักรู้ได้ลงไปในร่างกาย ประตูหินปรากฏอีกครั้ง ในขณะที่เขากำลังจะเดินขึ้นไปผลักประตูหินอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏหน้าประตูหิน
แสงทองดังกล่าวกลายเป็นร่างของชายหนุ่มที่หุ่นร่างสูงชะลูด สายตาร่วงลงบนตัวหลัวซิว “สามารถเดินขึ้นมาถึงชั้นที่สี่ของหอคอยฮวง เจ้าเก่งมาก ๆ เจ้าชื่ออะไรหรือ?”
“ท่านคือผู้ใด?”หลัวซิวเขม็งตาถาม มีความระแวดระวังเสี้ยวหนึ่งทะลุออกมาจากดวงตา
“เหอะ ๆ ข้าคือผู้ใด? ข้าเป็นอดีตเจ้าของหอคอยฮวง หวงทงเทียน!”
ชายหนุ่มยิ้มอ่อน “หอคอยฮวงจะเปิดออกในทุก ๆ หนึ่งยุคตรีภพ มีเพียงตระหนักรู้ห้วงแท้พลังเต๋าของชั้นที่สี่ได้โดยสิ้นเชิง ถึงจะมีคุณสมบัติได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวงขั้นต้น หากเจ้าจักไปชั้นห้า ก็จำเป็นต้องผ่านด่านนี้ของข้าไปให้ได้ก่อน”
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดของฝ่ายตรงข้าม จึงรู้สึกตะลึงงันอย่างควบคุมไม่ได้ “เทพสงครามเหนือเมฆา หวงทงเทียน?!”
หลัวซิวคุ้นเคยกับชื่อดังกล่าวอยู่ เนื่องจากในยุคปลายของยุควัฏสงสาร หวงทงเทียนก็คือเจ้าเผ่าของตระกูลเทพสงคราม ซึ่งดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับจ้าววัฏสงสารยุคที่แปด
ในยุคสมัยนั้นยังไม่มีการกำหนดแดนผู้สูงส่ง ตระกูลเทพสงครามเป็นเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในโลกร้าง และหวงทงเทียนก็คือประมุขแห่งโลกร้าง ถูกเรียกขานว่าจ้าวฮวงอย่างเคารพนอบน้อม และยึดกุมอัญสมบัติหอคอยฮวง!
ในยุคสมัยนั้น มาตรแม้นว่าเป็นเมืองต้าฮวงโบราณ ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของตระกูลเทพสงคราม เมื่อหวงทงเทียนย่างกรายมาเมืองต้าฮวงโบราณ เจ้าเผ่าและผู้อาวุโสของชนเผ่าฮวงก็ล้วนต้องออกมาต้อนรับ เพื่อแสดงมารยาทที่มีเกียรติสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิว ณ ปัจจุบัน หรือไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน ผู้แข็งแกร่งอย่างหวงทงเทียนก็เป็นผู้แข็งแกร่งในตำนาน
ในขณะเดียวกัน จิตใจหลัวซิวก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจและตั้งตารอคอยเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่านี่เป็นร่างผันที่หวงทงเทียนทิ้งไว้เมื่อปีนั้น หากพูดให้แม่นยำหน่อยละก็ นี่ไม่ใช่ร่างผันที่หวงทงเทียนทิ้งไว้ แต่เป็นจิตภัณฑ์ของหอคอยฮวงได้ทำการสะท้อนเงาครั้นเมื่อหวงทงเทียนยังเป็นหนุ่มออกมา
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าครั้นเมื่อหวงทงเทียนยังหนุ่ม เขาก็อยู่ในช่วงเวลาที่หอคอยฮวงเปิดออกเมื่อครั้งล่าสุด อีกทั้งได้รับการยอมรับจากหอคอยฮวง กลายเป็นเจ้าของหอคอยฮวง เขาถึงจะมีชื่อเสียงอันโด่งดังอย่างเทพสงครามเหนือเมฆาไร้เทียมทาน
“โค่นล้มข้า หรือสามารถประมือกับข้าได้อย่างสูสี เจ้าจะถึงจะสามารถเข้าไปในชั้นที่ห้า”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หวงทงเทียนก็ลงมือแล้ว เขาแค่ปล่อยหมัดออกมาอย่างง่ายดายมาก หมัดนี้ดูเหมือนจะธรรมดาเรียบง่าย ไม่มีความลึกลับมหัศจรรย์ใด ๆ เลย แต่ก็เหมือนมีห้วงแท้พลังเต๋าสูงสุดที่เป็นแก่นแท้แฝงซ่อนอยู่ภายใน
หวงทงเทียนในสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นก็อยู่ในแดนเทพมารระดับแปดเช่นกัน เขาเคยเดินขึ้นไปถึงชั้นที่สี่ของหอคอยฮวง อีกทั้งตระหนักรู้ในธรรมเวชกาลร้าง ด้วยเหตุนี้ร่างเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นกัน อนุภาพของหนึ่งหมัดก็เทียบเท่าพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของเทพมารระดับเก้าแล้ว
“ตราประทับปรปักษ์สวรรค์!”
หลัวซิวพลิกมือปล่อยวิชาตราประทับออกไปหนึ่งตรา พุ่งชนเข้ากับกำปั้นของหวงทงเทียน ก่อนจะมีพลังควันหลงที่น่าทึ่งม้วนซัดออกมา
“ห้วงแห่งบำเพ็ญปรปักษ์? ดูท่าเจ้ายังเป็นผู้บำเพ็ญปรปักษ์อีกด้วย แต่ทว่าพลังอมตะที่เจ้าปลดปล่อยออกมาไม่ใช่พลังอมตะของเจ้าสินะ? เจ้าไม่เคยเข้าร่วมศึกแห่งการย้อนปราบปรามสังหารสวรรค์ ดังนั้นเจ้ายังไม่สามารถยึดกุมห้วงแท้ที่แท้จริงของการปรปักษ์สวรรค์!”
กำปั้นของหวงทงเทียนสั่นเทิ้ม คลื่นสั่นสะเทือนที่มากมายมหาศาลม้วนซัดมา ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างกายของตัวเองถูกสั่นสะเทือนจนใกล้จะพังทลายแล้ว ถูกบีบจนต้องถอยออกไปสิบกว่าก้าวภายในพริบตา
“สมกับเป็นอดีตผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานในหนึ่งโลกจริง ๆ”แววตาของหลัวซิวเข้มงวดขึ้น จากการทดสอบหยั่งเชิงในเมื่อครู่นี้ เขาก็รู้แล้วว่าหากอาศัยอุบายทั่วไป เขาไม่มีทางเอาชนะหวงทงเทียนที่เป็นวัยรุ่นได้แน่นอน