มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2763 สมบัติล้ำค่าดลจิต
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2763 สมบัติล้ำค่าดลจิต
“โครม!”
เมื่อผู้คนที่อยู่ใจกลางสนามจัตุรัสยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ หอคอยฮวงก็เปิดออกพร้อมกับเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ตกลงหอคอยฮวงนี้สูงใหญ่มากเพียงใดกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือตัวสำนึก ต่างไม่สามารถสำรวจดูได้เลย ประตูใหญ่ที่อยู่ด้านล่างสุดเปิดออก จากนั้นก็มีแสงอาทิตย์ที่งดงามสาดส่องลงมา ราวกับถนนที่กว้างใหญ่
“หอคอยฮวงเปิดออกแล้ว จำกัดเวลาสิบปี ข้าขออวยพรล่วงหน้าให้อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทุกท่านได้รับดอกผลและมีการตระหนักรู้ในหอคอยฮวง”เสียงของฮวงจวินค่อย ๆ สะท้อนมา ดังก้องอยู่ข้างหูทุกคน
“ในที่สุดก็เปิดออกแล้ว!”
เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็มีคนจำนวนมากระงับความตื่นเต้นดีใจไม่อยู่ พุ่งตรงเข้าไป ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้ร้อนรนมากเท่าไหร่นัก หกระเหินเดินฟ้าอย่างเชื่องช้า มาถึงหน้าประตูใหญ่ของหอคอยฮวงที่เปิดออก
แค่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่บานนี้ หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากมายมหาศาล แรงกดดันดังกล่าวกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะเป็นตัวสำนึกหรือร่างเนื้อ หรือพลังอมตะ ผลการฝึกตนล้วนถูกกดอัดอย่างรุนแรง การโคจรก็ทำได้ยากลำบาก
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว “ยิ่งเข้าใกล้ทางเข้าของหอคอยฮวงนี้ แรงกดดันก็ยิ่งมาก อีกทั้งแรงกดดันประเภทนี้จะเพิ่มขึ้นตามแดนผลการฝึกตน ผู้ที่มีผลการฝึกตนยิ่งสูง แรงกดดันที่ต้องเผชิญหน้าด้วยก็ยิ่งสูง หากผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้ามาถึงที่นี่ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานแรงกดดันของที่นี่ได้ และร่างกายต้องระเบิดแตกแน่นอน ร่างตายธรรมสิ้น!”
“สหายหลัวพูดถูก หากใครหน้าไหนก็สามารถเข้าไปได้ละก็ เราคงไม่ได้รับโควต้าของหอคอยฮวงตั้งนานแล้ว”ฮวงหวูจี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยปากพูดเช่นกัน
หลัวซิวพยักหน้า เขาไม่เพียงเข้าใจเรื่องเหล่านี้เท่านั้น เขายังเข้าใจด้วยว่าดูเหมือนฮวงจวินจะเป็นผู้ยึดกุมหอคอยฮวง ทว่าแท้จริงแล้วเขายังไม่ถือเป็นเจ้าของหอคอยฮวงอย่างแท้จริง เขาแค่สามารถอาศัยผลการฝึกตนที่เกะกะระรานของตัวเองมากระตุ้นหอคอยฮวงเท่านั้น ฮวงจวินก็ไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหอคอยฮวงได้เช่นกัน เนื่องจากมาตรแม้นว่าเป็นตัวฮวงจวินเอง ก็เข้าไปในหอคอยฮวงไม่ได้!
แรงกดดันบริเวณทางเข้าหอคอยฮวง ไม่ถือว่ารุนแรงต่อเหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับแปด เงาดำทั้งหลายบินเข้าไปภายใน ก่อนจะหายเข้าไปในแสงทองที่แวววาวจับตาภายในพริบตา
หลัวซิวก็ย่างเท้าเดินเข้าไปเช่นกัน อาศัยร่างเนื้อที่แทบจะสามารถเทียบเคียงกับร่างเทวราชาเทพระดับเห้าของเขา จึงสามารถเข้าไปในหอคอยฮวงได้อย่างง่ายดาย
เสี้ยววินาทีที่เข้าไปในหอคอยฮวง ถึงกับไม่ทันได้สังเกตภาพเหตุการณ์ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ด้วยซ้ำ แสงทองที่นับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกมา เหมือนดั่งฝนตก ทั้งมากและถี่
ฟึ่บ!
อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่มีศักยภาพเทียบทัดเทพมารระดับเก้าไม่ทันได้ป้องกันตัว ถูกแสงทองที่นับไม่ถ้วนเฉือนสับภายในพริบตา เลือดเนื้อสาดกระเด็น สภาพน่าเวทนามากจนไม่อาจทนดูได้
มีคนตอบสนองกลับมาได้รวดเร็วมาก รีบเรียกของขลังคุ้มกันออกมา ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้การโจมตีของแสงทอง ก็ถอยหลังกลับไปอย่างต่อเนื่องอยู่ดี ใบหน้าขาวซีด
มีกระบี่เทพเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางแสงทอง และปราณกระบี่สีทองที่นับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากกระบี่เทพเล่มนั้นนั่นเอง
“นั่นมันสมบัติที่ถูกหล่อเลี้ยงออกมาจากหอคอยฮวง!”
มีคนใช้นิ้วชี้ไปทางกระบี่เทพ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นดีใจ “กระบี่เทพเล่มนี้ดลจิตแล้ว อย่างน้อยก็เป็นอาวุธเทพระดับเก้าชั้นสูง!”
“หากอยากครอบครองกระบี่เทพ ก็จำเป็นต้องสยบมัน ลงมือ!”
อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากตอบสนองกลับมา เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มีพลังอมตะพลังโจมตีที่นับไม่ถ้วนพุ่งไปทางกระบี่เทพจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลังโจมตีเหล่านี้กระทบลงบนกระบี่เทพจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟ เสียงดังกังวานและเต็มไปด้วยพลัง แต่กระบี่เทพเล่มนั้นกลับแข็งแรงมากจนผิดปกติ ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
ต้องท้าวความก่อนว่าของขลังศัสตราวุธที่ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเรียกออกมา ล้วนอยู่ในระดับภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้า พลังอมตะที่ได้รับการปลุกเสกด้วยอาวุธระดับนี้ยังสร้างความเสียหายอะไรให้แก่กระบี่เทพไม่ได้ จึงเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าวัสดุของกระบี่เทพเล่มนี้สูงเพียงใด หากสามารถฝึกเซ่นบ่มเพาะมัน ศักยภาพของมันก็จะสูงมาก ไม่แน่อนาคตอาจสามารถบ่มเพาะให้มันกลายเป็นภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้า หรือระดับขั้นที่สูงกว่าก็เป็นได้
แต่ว่าสิ่งที่หลัวซิวสังเกตกลับไม่ใช่พลานุภาพของตัวกระบี่เทพ แต่เป็นออร่าพลังเต๋าที่ไหลเวียนอยู่ภายในกระบี่เทพ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าออร่าพลังเต๋าประเภทนี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับหอคอยฮวง ซึ่งมีความเร้นลับของธรรมเวชกาลร้างแฝงซ่อนอยู่!
“เตี๊ยง!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงระฆังดังก้องกังวาน ถัดจากนั้นก็มีระฆังลูกใหญ่ปรากฏบนท้องฟ้า พลังโจมตีพลังอมตะของอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจำนวนมากล้วนถูกคลื่นระฆังต้านทานเอาไว้
“เป็นอาวุธเทพอีกชิ้นหนึ่งที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่งไม่เป็นรองอีกแล้ว!”มีคนตะโกนพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ นอกจากคนที่ถูกกระบี่เทพจู่โจมจนตายในตอนแรก หลังจากตอบสนองกลับมาได้แล้ว คนอื่นที่เหลือจึงรีบตั้งตัวตั้งสติ หากสามารถสยบอาวุธเทพทั้งสองชิ้นนี้ มันต้องเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน!
หยุนยี่เทียนและฮวงหวูจี๋ก็ต่างกระตือรือร้นอยากทดลองดูเช่นกัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าทั้งคู่ก็รู้สึกหวั่นไหวด้วย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ถูกหล่อเลี้ยงออกมาจากหอคอยฮวงเชียวนะ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ของขลังศัสตราวุธที่เทพมารระดับเก้าทั่วไปกลั่นเทียบเคียงได้
“อย่าไป เจ้าดูฝั่งนั้น”
หลัวซิวโบกมือสกัดกั้นฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนเอาไว้ ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปทางขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป เห็นเพียงมีแสงทองที่นับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป อย่างน้อยก็มีของขลังอาวุธเทพที่ดลจิตหลักสิบชิ้นบินตรงมาทางนี้ มีคลื่นพลังโจมตีที่นับไม่ถ้วนสั่นกระเพื่อมออกมา พลานุภาพแข็งแกร่งมากจนน่าสยดสยอง
“ให้ตายเถอะ! เยอะขนาดนี้เลยหรือ?”
สีหน้าของหยุนยี่เทียนและฮวงหวูจี๋ก็ต่างเปลี่ยนแปลงไปกะทันหัน หากมีอาวุธเทพของขลังประเภทนี้เพียงชิ้นสองชิ้นค่อยยังชั่วหน่อย เมื่ออาวุธเทพของขลังที่มากมายขนาดนี้ปรากฏพร้อมกัน อีกทั้งยังล้วนดลจิตด้วย ซึ่งแข็งแรงอย่างยิ่ง ในบรรดาอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งทั้งหมด เกรงว่าคงไม่มีคนใดที่สามารถต้านทานพลังโจมตีประเภทนี้ได้
คนอื่นก็สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว สีหน้าต่างเปลี่ยนไปพร้อมกัน ทุกคนล้วนหลบหนีไปทั่วทุกสารทิศ แค่อาวุธเทพหนึ่งถึงสองชิ้นก็ทำให้พวกเขาต้องทุ่มแรงกายแรงใจเยอะมากแล้ว เมื่อสมบัติล้ำค่าสิบกว่าชิ้นที่ดลจิตพุ่งตรงมา ต้องทำให้อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่อยู่ในที่เกิดเหตุเสียหายสาหัสแน่นอน
แต่ดูเหมือนกับว่าหอคอยฮวงสมบัติล้ำค่าที่ดลจิตเหล่านี้จะไม่ได้ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แส้ยาวเส้นหนึ่งกลายเป็นมังกรทองพุ่งคำรามผ่านหมอก อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งสองคนร่วมมือกันป้องกัน แต่ก็ถูกแส้ฟาดจนกระเด็นออกไปอยู่ดี แล้วกระอักเลือด
อีกฝั่งหนึ่ง กงล้อสีทองหนึ่งวงโคจรบินตรงมา เฉียบคมอย่างยิ่ง ฉีกกระชากอนัตตา ตัดของขลังคุ้มกันชิ้นหนึ่งที่อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งเรียกออกมาจนแยกออก แล้วตัดแขนข้างหนึ่งของเขาลงมา เลือดสดพุ่งกระฉูด เสียงกรีดร้องก้องกังวาน
แต่ทว่าในบรรดาอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งหนึ่งพันคนที่เข้ามาในหอคอยฮวง ทุกคนล้วนมีศักยภาพที่ไม่ธรรมดา มีสมบัติล้ำค่าติดตัว ถึงแม้คนจำนวนมากจะได้รับบาดเจ็บ แต่กลับมีคนตายดับสลายสูญสิ้นน้อยมาก ๆ
หลังจากผ่านศึกการต่อสู้ที่ยุ่งเหยิงไป หลัวซิวพบว่าฮวงหวูจี๋ หยุนยี่เทียนและฮู๋ชิงชิงต่างไม่อยู่ข้างกายแล้ว สมบัติล้ำค่าสิบกว่าชิ้นที่ดลจิตพุ่งสลับไปมาอยู่กลางอนัตตา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาทั้งสามคนเผ่นหนีไปถึงที่ใดแล้ว
ทันใดนั้นเอง ก็มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งผนึกร่างหลัวซิวเอาไว้ ถัดจากนั้นดาบเทพสีทองเล่มหนึ่งก็ผ่ามาทางศีรษะหลัวซิว
“เตี๊ยง! เตี๊ยง! เตี๊ยง! ……”
หลัวซิวกำมือทั้งสองข้างให้กลายเป็นหมัด เพื่อต้านทานดาบเทพเล่มนี้ ต้านรับจนมีสะเก็ดไฟแตกกระเด็น ปราณดาบที่นับไม่ถ้วนบินลอยไปมาอย่างยุ่งเหยิง ทำให้อนัตตาที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ถูกสับจนเกิดเป็นร่องลึกหลายจุด
ร่างเนื้อของเขาเทียบทัดภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้า แม้นพลานุภาพของดาบเทพเล่มนี้จะทรงพลังมาก ทว่ากลับไม่สามารถทลายเกราะป้องกันร่างเนื้อของเขา
ภายใต้การปลุกเสกจากพลังญาณเทว หลัวซิวสามารถสัมผัสธาตุทิพย์ที่แฝงซ่อนอยู่ภายในดาบเทพได้อย่างชัดเจน ซึ่งธาตุทิพย์ประเภทนี้มีสติปัญญาที่แน่นอนแล้ว สามารถเรียกได้เลยว่าเป็นจิตภัณฑ์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด หากสามารถกลั่นแปรดาบเทพประเภทนี้ให้กลายเป็นของขลังชีวี อนาคตจะมีศักยภาพที่แข็งแกร่งไม่ว่า ไม่แน่อาจจะสามารถตระหนักรู้ความล้ำลึกของธรรมเวชกาลร้างจากภายในได้ด้วย!
เพียงพริบตาเดียว หลัวซิวก็ปะทะกับดาบเทพเล่มนี้มาพันกว่ากระบวนท่าแล้ว วัสดุของดาบเทพเล่มนี้พิเศษมาก ๆ แข็งแรงอย่างยิ่ง พลังโจมตีของเขายังไม่สามารถทลายเกราะป้องกันของดาบเทพ แล้วสร้างความเสียหายให้แก่จิตดาบโดยตรง ดังนั้นจึงสยบดาบเทพเล่มนี้ได้ยากมาก
ทว่าจากการที่ศึกการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ได้ดำเนินการต่อไป พลังที่แฝงซ่อนอยู่ในดาบเทพเล่มนี้ก็สลายหายไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่หลัวซิวกลับสามารถกินยาเซียนเพื่อฟื้นฟูผลการฝึกตน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ผลการฝึกตนไม่จางหาย พลังโจมตีของดาบเทพจึงยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนแอลง
ดาบเทพดลจิตพบว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรหลัวซิวได้ จึงเตรียมพร้อมที่จะหลบหนี
“อยากหนีหรือ? อยู่ต่อซะเถอะ!”
เงาร่างหลัวซิวกระพริบทีหนึ่งแล้วไล่ตามไป ตราสรรพสิทธิ์หนึ่งได้ทำการกดอัดดาบเทพอยู่ใต้ฝ่ามือ ตรงหว่างคิ้วแยกออก ภายใต้การปลุกเสกจากพลังญาณเทว ตัวสำนึกที่มากมายมหาศาลก็พรั่งพรูออกมา แล้วถ่ายเทเข้าไปในดาบเทพ
จิตแห่งดาบเทพต่อต้านอย่างรุนแรง แต่กลับไม่สามารถต้านทานการกดอัดของพลังญาณเทว สุดท้ายจิตแห่งดาบเทพก็ถูกเขาสยบกำราบ ผนึกอยู่ในตัวดาบ
“วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์!”
หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะเอาดาบเทพเล่มนี้มาเป็นของขลังศัสตราวุธ หลังจากเขาสยบจิตดาบสำเร็จแล้ว ก็โคจรวิชากลั่นร่างที่ตระหนักรู้ได้จากหนังสือยุทธภัณฑ์โดยตรง แสงทองทั้งหลายถูกฉุดกระชากออกมาจากดาบเทพ จากนั้นก็ถูกหลัวซิวอ้าปากแล้วกลืนกินลงไป
พละกำลังที่แฝงซ่อนอยู่ในดาบเทพมีออร่าพลังเต๋าของธรรมเวชกาลร้างแฝงอยู่ด้วย เมื่อออร่าพลังเต๋าดังกล่าวหลอมรวมเข้าไปกับร่างกายหลัวซิว ทำให้เขารู้สึกว่าร่างเนื้อร่างเทวของตัวเองใกล้จะบรรลุถึงขีดจำกัดของแดนปัจจุบันแล้ว ก่อนจะทลายขีดจำกัดอีกครั้ง และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น!
“ตั้งแต่ผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงเทพมารระดับแปดเป็นต้นมา ร่างเนื้อของข้าก็บรรลุถึงร่างเทวระดับเก้าขั้นสูงแล้ว ซึ่งแทบจะเทียบทัดร่างราชาเทพระดับเก้า”
“ทว่าท้ายที่สุดแล้วการเทียบทัดและใกล้เคียงก็ไม่ถือเป็นร่างราชาเทพระดับเก้าอยู่ดี เดิมทีนึกว่าต้องรอให้ผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงเทพมารระดับแปดช่วงปลายตลอดจนขั้นสูงก่อน ถึงจะก้าวข้ามก้าวนี้สำเร็จ ดูจากปัจจุบันแล้ว หากข้าสามารถกลั่นแปรพลังเต๋าของธรรมเวชกาลร้างที่มากกว่าแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกาย แม้นผลการฝึกตนของข้าจักยังคงเป็นเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิ ร่างเนื้อร่างเทวก็ยังคงสามารถทลายขีดจำกัด บรรลุถึงแดนที่สูงกว่าได้อีกเช่นเคย!”
ก่อนที่จะเข้ามาในหอคอยฮวง หลัวซิวก็มีการตระหนักรู้แล้ว ในฐานะที่ธรรมเวชกาลร้างเป็นหนึ่งในธรรมจักรวาลดั้งเดิม มันเป็นสัญลักษณ์ของวิถีร่างเนื้อ วิถีกลั่นร่าง!
“ดูท่าข้าต้องสยบสมบัติล้ำค่าดลจิตให้มากกว่านี้ อีกทั้งวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ถูกหล่อเลี้ยงออกมาในหอคอยฮวงก็ต้องมีพลังเต๋าของธรรมเวชกาลร้างแฝงซ่อนอยู่ด้วยแน่นอน สถานที่แห่งนี้มันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ชุบร่างเนื้อของข้าชัด ๆ!”
หลัวซิวตื่นเต้นดีใจมาก ข้อดีของการมีร่างเนื้อที่แข็งแกร่งนั้นมีเยอะมาก เนื่องจากร่างเนื้อยิ่งแข็งแกร่ง ผลการฝึกตนพลังเวทย์ที่สามารถรองรับก็ยิ่งเยอะ
ยกตัวอย่างเช่นแม้นปัจจุบันผลการฝึกตนของเขาจะเป็นเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิ ทว่าเมื่ออาศัยร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง จำนวนและคุณภาพของผลการฝึกตนพลังเวทย์ที่ร่างกายเขาสามารถรองรับนั้น สามารถเทียบเคียงกับเทพมารระดับเก้าอย่างแท้จริงได้แน่นอน
หากเขายกระดับร่างเนื้อร่างเทวให้ขึ้นไปถึงร่างราชาเทพระดับเก้า เช่นนั้นผลการฝึกตนพลังเวทย์ของเขาก็จะได้รับการยกระดับตาม ศักยภาพโดยรวมเพิ่มขึ้น!
อีกทั้งเมื่อร่างเนื้อและผลการฝึกตนแข็งแกร่งแล้ว ก็สามารถถ่ายเทไปยังตัวสำนึกวิญญาณได้ ทำให้ญาณเทวของเขาก็ได้รับการยกระดับด้วย
เมื่อศักยภาพโดยรวมแข็งแกร่งขึ้น เขาก็สามารถสลักจารึกยันต์ค่ายที่ทรงพลังยิ่งกว่าลงไปในร่างตน เช่นนั้นศักยภาพที่เพิ่มขึ้นก็จะไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว!
เวลาต่อจากนี้ หลัวซิวเดินเตร่อยู่บนพื้นที่ที่กว้างขวางนี้ของหอคอยฮวง เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปหนึ่งเดือน หลัวซิวสยบสมบัติล้ำค่าดลจิตที่อยู่เดี่ยว ๆ ติดต่อกันหลายชิ้น ร่างเนื้อร่างเทวของเขายิ่งอยู่ยิ่งใกล้เคียงกับร่างราชาเทพระดับเก้าแล้ว
นอกเหนือจากนี้ ภายในหอคอยฮวงยังมีสมุนไพรเพิ่มพลังต่าง ๆ ถูกหล่อเลี้ยงออกมาด้วย ยกตัวอย่างเช่นสมบัติอย่างยาเซียนพรสวรรค์เป็นสิ่งที่หายากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ซึ่งสามารถทำให้ผลการฝึกตนของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อมาถึงเดือนที่สามที่เข้ามาในหอคอยฮวง ในที่สุดก็บรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดช่วงกลางสักที
จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเขา ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธของแดนเล็กสร้างภัยคุกคามให้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขาอ้าปากแล้วดูดทีหนึ่ง ก็ทำการกลืนกินอัสนีเทวที่ล้นฟ้าลงท้อง ก่อนที่เขาจะใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการพลังแห่งสิงเทียนออกมากลั่นแปรอัสนี ทำให้ร่างเนื้อตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
จากการที่จำนวนสมบัติล้ำค่าดลจิตที่ถูกเขาใช้วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์กลั่นแปรยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ ศักยภาพก็ยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่ง อัจฉริยะคนอื่น ๆ ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งก็ต่างได้รับดอกผลเช่นกัน ศักยภาพเพิ่มขึ้นเยอะมาก
วันนี้ หลัวซิวได้สยบเตาเทพหนึ่งเตา ในขณะที่กำลังดูดกลืนพละกำลังของเตาเทพเพื่อยกระดับร่างเนื้ออยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ มีแสงทองดวงหนึ่งบินมาจากด้านหลัง เหมือนดั่งแสงกระบี่ เฉือนสับมาทางศีรษะเขา