มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2715 สิ้นสุดการคัดเลือกรอบแรก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2715 สิ้นสุดการคัดเลือกรอบแรก
“แค่ดูจากวิชาวิถีค่าย ชายดังกล่าวก็เป็นอัจฉริยะชั้นสุดยอดแล้ว เมื่อมองในหมู่เหล่าจอมยุทธ์ทั่วไป อย่างน้อยเขาก็เป็นอัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพ!”
ราชาเทพนิศากรใช้มือลูบหนวดเคราที่ขาวหงอก การคัดเลือกอัจฉริยะในครั้งนี้มีหัวกะทิที่คุ้มแก่การเฝ้าติดตามหนึ่งคน จึงทำให้อารมณ์เขาดีมากจริง ๆ
สำหรับผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนมายาวนานอย่างไม่รู้จบอย่างเขาแล้ว เคยพบเห็นอัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพ ตลอดจนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ผู้ที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับหกแล้วฝีมือวิถีค่ายยังน่าทึ่งเช่นนี้ กลับมีเพียงชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
ณ จุดที่สูงหกพันฟุตของเขาเซียนสีทอง หลัวซิวยังคงใช้พลังเกณฑ์ปริภูมิและเพลิงอัคคีทั้งสองประเภทควบคู่กับวิชาวิถีค่ายอยู่เช่นเคย โจมตีหุ่นเชิดเทพมารระดับเจ็ดช่วงกลางตัวหนึ่งจนแตกสลาย
เขาไม่ได้ปีนป่ายขึ้นไปยังจุดที่สูงกว่าแต่อย่างใด เนื่องจากบนศิลาตรงตีนเขาได้บอกไว้ชัดเจนมากแล้วว่า ขอแค่สามารถฝ่าฟันขึ้นไปถึงจุดที่สูงหกพันฟุต ก็ถือว่าผ่านด่านนี้แล้ว
อัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดส่วนมากก็มาถึงระดับนี้เช่นกัน หากจะฝ่าฟันขึ้นไปบนจุดที่สูงเจ็ดพันฟุตละก็ คู่ต่อสู้หุ่นเชิดที่ประสบพบเจอนั้นมีโอกาสเป็นเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายแล้ว
หลัวซิวหยุดอยู่ ณ ตำแหน่งที่สูงหกพันฟุต หากยืนนิ่งอยู่บนเขาเซียนสีทองแล้วไม่เคลื่อนไหว หลังจากหยุดนิ่งอยู่กับที่จนถึงระยะเวลาที่กำหนดแล้ว ก็จะกระตุ้นค่ายวาร์ปของที่นี่
“ชัวะ!”
เมื่อห้วงเวลาที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองถูกส่งไปยังส่วนที่ลึกกว่าของแดนเทพโบราณแล้ว
หลังจากผ่านตัวธรรม พรสวรรค์ ศักยภาพทั้งสามด่าน ก็จะเป็นการต่อสู้จริง แม้นครั้นเมื่ออยู่ในด่านทดสอบศักยภาพจะมีการประมือกับหุ่นเชิด แต่สุดท้ายแล้วหุ่นเชิดก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่แท้จริง
หลัวซิวพบว่าตัวเองยืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์แห่งหนึ่ง และมีเงาดำร่างปรากฏตรงตำแหน่งที่ห่างจากด้านหน้าเขาหลายร้อยฟุต เงาร่างดังกล่าวผนึกรวมกันเป็นแก่นแท้อย่างต่อเนื่อง แล้วกลายเป็นชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำสีดำคนหนึ่ง
“ด่านการสู้รบจริง คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”
ชายหนุ่มค่อย ๆ เอ่ยปากพูด ถัดจากนั้นก็มีคลื่นออร่าผลการฝึกตนแผ่กระจายออกมาจากร่างกายเขา ซึ่งเป็นเหมือนกับหลัวซิวทุกประการเลย เป็นเทพมารระดับหกช่วงกลางเช่นกัน
คู่ต่อสู้ที่พบเจอในด่านที่สี่ของแดนเทพโบราณ ล้วนเป็นภาพที่ศิษย์แห่งตระกูลเทียนฮวงรุ่นก่อน ๆ ทิ้งไว้ ซึ่งสามารถปลดปล่อยพลานุภาพในทุก ๆ ด้านของพวกเขาทุกคนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
มีเพียงโค่นล้มศิษย์แห่งตระกูลเทียนฮวงที่อยู่ในแดนเดียวกัน ถึงจะมีคุณสมบัติผ่านการคัดเลือกรอบแรก แล้วได้รับการยอมรับจากตระกูลเทียนฮวง
อย่างน้อยศิษย์แห่งตระกูลเทียนฮวงก็เป็นอัจฉริยะระดับมกุฎเทพ ถึงแม้ผลการฝึกตนจะเป็นเทพมารระดับหกช่วงกลาง ทว่าอย่างน้อยก็มีศักยภาพที่สามารถเทียบทัดเทพมารระดับเจ็ดทั่วไป
แต่ทว่าสำหรับหลัวซิวแล้ว ด่านนี้ก็ยังคงไม่ค่อยยากมากเท่าไหร่นัก เมื่ออาศัยอุบายของวิถีค่าย เขาไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่เด็ดท่าไม้ตายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ก็ผ่านด่านไปได้อย่างสบาย ๆ แล้ว
ทุกอย่างดำเนินการไปตามนี้ หลัวซิวก้าวเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของแดนเทพโบราณ และสิ่งที่จะประเมินในด่านนี่ก็คือความสามารถในการตระหนักรู้!
มีห้องใต้หลังคาหนึ่งปรากฏด้านหน้า หลังจากที่หลัวซิวเดินเข้าไปในห้องใต้หลังคา ก็มองเห็นชั้นวางไม้หนึ่งแถว และด้านบนมีม้วนหยกวางอยู่ร้อยกว่าชิ้น
ภายในม้วนหยกทุกชิ้น มีพลังอมตะ วรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาบันทึกอยู่หนึ่งวิชา
ระดับขั้นของพลังอมตะวรยุทธ์เคล็ดวิชาเหล่านี้ไม่สูงมากนัก ส่วนมากล้วนเป็นระดับเทพระดับเจ็ด มีเพียงม้วนหยกสิบกว่าชิ้นเท่านั้นที่มีพลังอมตะเคล็ดวิชาที่บรรลุถึงระดับเทพระดับแปดบันทึกอยู่
สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดอย่างตระกูลเทียนฮวงแล้ว วรยุทธ์เคล็ดวิชาระดับแปดไม่ถือเป็นการถ่ายทอดสืบสานที่เป็นใจกลาง อีกทั้งอัจฉริยะทุกคนที่สามารถฝ่าฟันมาจนถึงด่านนี้ได้นั้น วรยุทธ์พลังอมตะที่คนเหล่านั้นฝึก ก็ต้องอยู่สูงกว่าระดับเทพระดับแปดอย่างแน่นอน
ส่วนการประเมินความสามารถในการตระหนักรู้ในด่านนี้นั้น ก็คือจะให้จอมยุทธ์อ้างอิงจากวรยุทธ์พลังอมตะเคล็ดวิชาที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกร้อยกว่าชิ้นนี้ ริเริ่มวรยุทธ์ พลังอมตะหรือเคล็ดวิชาที่ใหม่เอี่ยมออกมา!
ท้ายที่สุดแล้วการฝึกวรยุทธ์พลังอมตะที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้นั้น จักไม่มีทางเดินไปถึงจุดสูงสุด มีเพียงริเริ่มวิถีและวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดออกมา ถึงจะเป็นเส้นทางที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นความสามารถในการตระหนักรู้จึงสำคัญอย่างยิ่ง
ในความทรงจำของหลัวซิวมีวรยุทธ์พลังอมตะซ่อนอยู่เยอะมากจนนับไม่ถ้วน ทว่าเขากลับไม่ได้ผ่านด่านนี้อย่างง่ายดาย แต่เป็นการเดินไปสำรวจวรยุทธ์เคล็ดวิชาทั้งหมดที่บันทึกอยู่ในม้วนหยก
ในขณะเดียวกัน วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสองแสนกว่าคนในตอนแรก ก็เหลือไม่ถึงสองพันคนแล้ว คนเหล่านี้ก็ต่างทยอยผ่านด่านในก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน เมื่อมาถึงด่านสุดท้าย ก็เหลือไม่ถึงหนึ่งพันคนแล้ว
ศึกษาเรียนรู้ม้วนหยกทั้งร้อยกว่าชิ้นจนหมด ก่อนที่หลัวซิวจะนั่งท่าขัดสมาธิลงบนพื้นที่ที่โล่งเปล่าแห่งหนึ่ง วรยุทธ์พลังอมตะเคล็ดวิชาที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกเหล่านี้ไม่ลึกซึ้งมากเท่าไหร่นัก ทว่าระหว่างวรยุทธ์พลังอมตะเคล็ดวิชาในม้วนหยกก็มีความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันอยู่เล็กน้อยด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ขั้นตอนการริเริ่มพลังอมตะวรยุทธ์ที่ใหม่เอี่ยมกระชับไม่เยิ่นเย้อมากขึ้น
แต่ว่าภายในเสี้ยววินาทีเดียว ก็มีพลังอมตะสิบกว่าประเภทผุดขึ้นมาในหัวหลัวซิว ภายใต้การอนุมานของเขา วรยุทธ์เหล่านี้จึงประกอบกันอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นคือหากเขายินดีทำละก็ เขาสามารถริเริ่มพลังอมตะหรือวรยุทธ์ระดับเทพระดับเก้าออกมาตอนนี้ได้เลย
เดิมทีวิถีไร้ลักษณ์ก็เชี่ยวชาญเรื่องการอนุมานมากที่สุดอยู่แล้ว คุณสมบัติพิเศษของวิถีไร้ลักษณ์ก็คือเปลี่ยนจากไม่มีเป็นมี ซึ่งสิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็เป็นด้านนี้เช่นกัน
ใช้ผลการฝึกตนเทพมารระดับหกริเริ่มพลังอมตะเทพระดับเก้ามันดูทำให้ผู้คนตื่นตะลึงมากไปหน่อย เมื่อคำนึงถึงเรื่องถ่อมตัว สุดท้ายหลัวซิวจึงประกอบพลังอมตะต่าง ๆ อย่างง่าย ๆ จากนั้นก็นำม้วนหยกที่ใหม่เอี่ยมออกมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะนำพลังอมตะที่ประกอบขึ้นมาใหม่ประทับลงไป แล้ววางไว้บนชั้นวางไม้
“เวิ่งง!”
ห้วงเวลาบริเวณรอบ ๆ แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเองอยู่นอกแดนเทพโบราณแล้ว
ยังคงอยู่บนป่าที่รกร้างว่างเปล่านั่นอยู่เช่นเคย มีพลังออร่าที่มากมายมหาศาลของผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่ตลบฟุ้งอยู่บนนภาสูง บริเวณรอบ ๆ มีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนที่มาจากสถานที่ต่าง ๆ รวมตัวกัน ภายในเวลาชั่วขณะ สายตาของทุกคนล้วนผนึกมาทางตัวเขา
“ผ่านเร็วเช่นนี้เลยหรือ?!”
คนจำนวนมากต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน บางคนยิ่งอุทานตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากตำแหน่งที่ผู้ตกรอบและผู้ผ่านด่านถูกส่งออกมานั้นแตกต่างกัน
ตำแหน่งที่หลัวซิวกำลังอยู่ ณ วินาทีนี้ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
“ฮ่าฮ่า ดีมาก! ไม่นึกเลยว่าในหมู่ผู้บำเพ็ญตนอิสระ จักมีอัจฉริยะอย่างเจ้าคงอยู่ด้วย!”
ราชาเทพนิศากรย่อมสังเกตเห็นหลัวซิวอยู่แล้ว จากตัวตนของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเช่นกัน
“พระเจ้า แม้แต่ราชาเทพนิศากรยังเอ่ยปากชื่นชมด้วยตนเอง อนาคตของเจ้าหมอนั่นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!”
คนจำนวนไม่น้อยต่างแสดงสีหน้าอิจฉาริษยา ราชาเทพนิศากรคือคนแบบใด? นั่นมันผู้อาวุโสราชาเทพระดับเก้าเชียวนะ เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีคุณธรรมศีลธรรมและบารมีสูงส่งเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ชน อัจฉริยะที่สามารถทำให้เขาเอ่ยปากชื่นชมได้นั้น แสดงว่าความสามารถในการเจริญเติบโตในอนาคตต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน
“ขอบพระคุณสำหรับคำชมของท่านอาวุโส ผู้น้อยไม่กล้ารับไว้หรอกขอรับ”หลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะไปทางราชาเทพทั้งสี่ที่อยู่บนนภา
“คนหนุ่มอย่าได้ดูถูกตนเองมากเกินไปเลย การถ่อมตัวเป็นเรื่องดี ทว่าเมื่อถ่อมตัวมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้วล่ะ”
เหมือนสภาพอารมณ์ของราชาเทพนิศากรจะไม่เลวเลย ยิ่งมองยิ่งถูกโฉลกกับหลัวซิว สาเหตุที่เป็นเช่นนี้นั้น หลัก ๆ เป็นเพราะความสามารถในด้านวิถีค่ายที่หลัวซิวแสดงออกมาในแดนเทพโบราณ ตัวราชาเทพนิศากรเองก็เป็นราชันย์ค่ายระดับเก้าเช่นกัน จึงต้องเข้าข้างอัจฉริยะวิถีค่ายอยู่แล้ว
และในเวลานี้เอง ก็มีรัศมีดวงหนึ่งกระพริบระยับอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไม่ไกลจากหลัวซิว ถัดจากนั้นคนที่สองที่ผ่านด่านก็ออกมาจากแดนเทพโบราณแล้ว
ในการประเมินในแดนเทพโบราณ หลัวซิวไม่ได้ทุ่มสุดกำลังสามารถเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ได้ออกแรงครึ่งหนึ่งเลยด้วย เดิมทีเขานึกว่าคนที่สองที่ผ่านด่านน่าจะเป็นลิ่งฮู๋จื่อเซวียน แต่กลับเป็นอีกคนหนึ่ง
คนดังกล่าวคือชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีทอง ใบหน้าดูถือดีและยโสโอหังอย่างจองหองพองขน
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นหลัวซิว ใบหน้าที่ดูยโสโอหังก็เปลี่ยนเป็นผงะกะทันหัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาไม่นึกเลยว่าจะมีคนผ่านการประเมินเร็วกว่าตน
“เจียนอันเหมิน!”
มีคนจำตัวตนของชายหนุ่มชุดคลุมยาวทองได้แล้ว คนอื่นที่เหลือจึงพากันตอบสนองกลับมาได้
เจียนอันเหมินคือผู้ใด? หลัวซิวไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ทว่าสำหรับคนที่อยู่ในอาณาจักรเหนือแห่งโลกร้างแล้ว สำหรับชื่อเจียนอันเหมินนั้น มีชื่อเสียงโด่งดังกึกก้องอย่างแน่นอน
หากจัดอันดับอัจฉริยะในอาณาจักรเหนือแห่งโลกร้างละก็ เจียนอันเหมินต้องอยู่ในอันดับรายชื่อแน่นอน เขากำเนิดจากกองกำลังเล็ก ๆ กองกำลังหนึ่ง ทว่ากลับอาศัยพรสวรรค์ของตนเอง ฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงพันกว่าปี
จากนั้นเขาก็เข้าไปฝ่าฟันในห้วงดารา จนได้รับโชคโอกาสมาไม่น้อย ปัจจุบันเขาเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายแล้ว!
ฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดภายในระยะเวลาหนึ่งพันกว่าปี ต่อมาก็บรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลาย ซึ่งใช้เวลาแค่สองสามร้อยกว่าปีเท่านั้น สามารถพูดได้เลยว่าพรสวรรค์เช่นนี้น่าสยดสยองมากแล้ว
เจียนอันเหมินแค่ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่ทว่าเขากลับจำเจ้าหมอนั่นไว้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ผ่านด่านการคัดเลือกรอบแรกจะไม่ใช่ตัวเอง นี่จึงทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้ามาก ส่วนคนดังกล่าวกลับเป็นมดตัวจ้อยที่มีผลการฝึกตนเพียงเทพมารระดับหก หากตกอยู่ในกำมือตัวเอง ตนจักทำให้เขารู้ซึ้งถึงผลลัพธ์ที่ตามมาแน่นอน!
หลัวซิวไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ต่อให้พรสวรรค์ของเจียนอันเหมินนั่นจะสูงเพียงใด แต่ก็เป็นแค่เทพมารระดับเจ็ดช่วงปลาย บางทีเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายส่วนมากเยอะมาก ทว่าก็สร้างภัยคุกคามให้ตนได้ไม่มาก
เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และมีวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศคนอื่น ๆ ที่ผ่านด่านถูกส่งออกมาเช่นกัน ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนเป็นคนที่ 27 ที่ถูกส่งออกมา ผลประเมินนี้ถือว่าไม่เลวมาก แต่กลับยังไม่ถึงขั้นน่าทึ่ง นี่จึงทำให้หลัวซิวยืนยันแล้วว่าเจ้าหมอนี่ต้องปิดบังศักยภาพแน่นอน
“สหายหลัว เจ้าเป็นคนแรกที่ผ่านด่านออกมาอย่างนั้นหรือ?”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนขยับไปข้างกายหลัวซิวแล้วถาม
“ไม่ฉลาดกว่าเจ้าหรอก ข้ากลัวไม่ผ่านด่าน จึงทุ่มสุดกำลังสามารถเลยนะถึงจะผ่านด่านมาได้”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้
เมื่อลิ่งฮู๋จื่อเซวียนได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงตำหนิวิจารณ์ในใจอย่างไม่หยุดหย่อน เขาไม่เชื่อหรอกนะว่าหลัวซิวจักทุ่มสุดกำลังสามารถแล้วจริง ๆ ไม่แน่เจ้าหมอนี่อาจจะปิดบังศักยภาพแล้ว ทว่าก็ยังคงเป็นคนแรกที่ผ่านด่านออกมาได้อยู่ดี
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนฉลาดมากจริง ๆ การคาดเดาของเขาก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเช่นกัน
หลัวซิวไม่เคยมีความคิดที่จะสร้างลาดเลาใหญ่โตที่นี่จริง ๆ เพราะฉะนั้นขณะที่อยู่ในแดนเทพโบราณจึงปิดบังศักยภาพมาโดยตลอด แต่นึกไม่ถึงเลยว่าในบรรดาวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทั้งสองแสนกว่าคนจะไม่ได้เรื่องเลย เขาถึงกับปิดบังศักยภาพส่วนมากแล้ว แต่ก็ยังเป็นคนแรกที่ผ่านด่านอยู่ดี
ซึ่งผลลัพธ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่หลัวซิวต้องการ ดังนั้นเขาก็รู้สึกปลงมาก ๆ ในฐานะที่เป็นคนแรกที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก สามารถพูดได้เลยว่าตอนนี้เขาเป็นที่สนใจอย่างมาก
“เหอะ ๆ ลำดับแรกต้องขอแสดงความยินดีกับวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทุกคนที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกด้วย การที่สามารถผ่านบททดสอบทั้งห้าด่านในแดนเทพโบราณได้นั้น แสดงว่าพวกเจ้าล้วนได้รับการยอมรับจากตระกูลเทียนฮวงของเราแล้ว!”
หลังจากทุกคนที่อยู่ในแดนเทพโบราณถูกส่งออกมาแล้ว ราชาเทพนิศากรก็ก้าวเดินเอามาอีกครั้ง กวาดตามองทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุพลางพูด
“ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จะถูกปัดให้ตกรอบหมด!”
จากการที่ราชาเทพนิศากรพ่นคำพูดดังกล่าวออกมา ก็มีรัศมีดวงหนึ่งบินออกมาจากร่างกายของผู้เข้าร่วมการคัดเลือกรอบแรกแล้วตกรอบ ซึ่งมันก็คือป้ายบัญชาการที่เข้าร่วมการคัดเลือกรอบแรกนั่นเอง ล้วนถูกเก็บกลับไปหมดแล้ว
“ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกอีกครั้งด้วย พวกเจ้าทุกคนจะได้รับโอกาสในการเข้าไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในแดนเทียนฮวง!”
ราชาเทพนิศากรอมยิ้ม “คอยพวกเจ้าออกมาจากแดนเทียนฮวง ขอแค่พวกเจ้ายินดี ก็ล้วนมีโอกาสกลายเป็นศิษย์ในตระกูลเทียนฮวงของเรา!”