มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2714 ถูโยหมิงจากไป
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2714 ถูโยหมิงจากไป
ขณะที่หลัวซิวผ่านด่านการประเมินพรสวรรค์ของด่านที่สอง อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศคนอื่น ๆ ก็ต่างทยอยออกมาจากสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารแล้ว
อย่างไรก็ตามคนส่วนมากกลับยังไม่สามารถผ่านด่านแรกไปได้ จากอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสองแสนกว่าคน ผู้ที่สามารถเดินไปถึงสุดปลายขอบเขตของสะพานวัฏสงสารได้นั้น มีเพียงสองหมื่นกว่าคนเท่านั้น
ตัวธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญต่อวิถียุทธ์มาก ๆ ซึ่งทุกคนล้วนเข้าใจดีมาก เพราะฉะนั้นจอมยุทธ์ทุกคนจึงให้ความสำคัญกับการฝึกตัวธรรมมาก ๆ ดังนั้นถึงมีคนสองหมื่นกว่าคนข้ามผ่านสะพานวัฏสงสารมาได้
เมื่อเผชิญหน้ากับด่านพรสวรรค์ จากสองหมื่นกว่าคน ก็มีคนตกรอบไปอีกหนึ่งหมื่นกว่าคน เงื่อนไขในการประเมินพรสวรรค์ของด่านที่สองคือแรงสัมพรรคภาพAttrต้องไม่ต่ำกว่าระดับสูง หรือไม่ก็ต้องมีฐานยุทธ์พิเศษถึงจะสามารถผ่านด่านที่สอง
สามารถพูดได้เลยว่าเงื่อนไขนี้ค่อนข้างเข้มงวดเลย จอมยุทธ์ที่ผ่านด่านสองด่านติดต่อกัน ก็ล้วนทยอยมาถึงด่านที่สามเช่นกัน
นอกแดนเทพโบราณ หลังจากซูเสว่หลันถูกส่งออกมาแล้ว ก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อยทันที เดิมทีนึกว่าการคัดเลือกอัจฉริยะของตระกูลเทียนฮวงในครั้งนี้ เป็นเหมือนโชคโอกาสครั้งหนึ่งสำหรับนาง ทว่านางกลับนึกไม่ถึงเลยว่าตนแค่ผ่านถึงด่านที่สองเท่านั้น ก็ตกรอบไปก่อนแล้ว
“เสว่หลัน!”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดันเข้ามาในหูนาง ถัดจากนั้นนางก็เห็นถูโยวหมิงเดินออกมา
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกรอบแรกนั้น ต้องเป็นวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่ฝึกตนมาไม่เกินหนึ่งล้านปี ถูโยวหมิงและลาร์ต่างไม่อยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว เพราะฉะนั้นจึงย่อมเข้าไปในแดนเทพโบราณไม่ได้อยู่แล้ว
ทว่าซูเสว่หลันกลับไม่เหมือนกัน แม้นนางจะเข้าไปในแดนเทพโบราณแล้ว แต่กลับฝ่าไปถึงด่านที่สองก็ตกรอบแล้ว อีกทั้งสะพานวัฏสงสารในด่านแรกนางก็ผ่านไปได้อย่างยากลำบากมากเช่นกัน
“โยวหมิง ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เราไปกันเถอะ”ซูเสว่หลันมองถูโยวหมิงด้วยแววตาที่โศกเศร้า ราวกับการไม่ผ่านการประเมินในแดนเทพโบราณทำให้อารมณ์นางดิ่งมาก ๆ ยังไงอย่างนั้น
“สหายหลัวยังไม่ออกมาเลย หากเราจากไปตอนนี้ละก็ มันจะดูไม่ดี”ถูโยวหมิงอยากตอบตกลงซูเสว่หลันมาก ๆ แต่กลับรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
สายตาของซูเสว่หลันสังเกตเห็นแล้วว่าลาร์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังจ้องมองมาทางนี้ สาเหตุที่นางอยากรีบจากไปจากที่นี่นั้น ประเด็นหลักก็คืออยากหลบเลี่ยงหลัวซิว นางสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าหลัวซิวเป็นบุคคลที่อันตรายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะทำเพื่อความปลอดภัยของตนเองหรือไฟวเทวชิงเทียน นางจึงไม่อยากอยู่ใกล้คนดังกล่าวเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ลาร์ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกล เขาแค่ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปในแดนเทพโบราณ นายท่านก็ได้กำชับกับเขาแล้วว่าซูเสว่หลันต้องคิดหาวิธีเสี้ยมให้ถูโยวหมิงจากไปพร้อมกันแน่นอน วินาทีนี้เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่านายท่านทำนายได้แม่นยำมากจริง ๆ
ท้ายที่สุดแล้วถูโยวหมิงก็ต้านทานคำโน้มน้าวของซูเสว่หลันไม่ได้อยู่ดี วางแผนที่จะจากไปจากที่นี่พร้อมกับนาง
ถึงแม้จะรู้อยู่ว่าการทำเช่นนี้มันไม่ค่อยเหมาะสม ทว่าถูโยวหมิงกลับคิดว่าหลัวซิวน่าจะไม่มีทางโทษเขาแน่นอน
“น้องลาร์ คอยสหายหลัวออกมาแล้ว รบกวนเจ้าช่วยข้าบอกกับเขาหน่อยนะว่าข้ามีธุระนิดหน่อย ขอตัวก่อนล่ะ”
ถูโยวหมิงเดินไปพูดประโยคนี้ต่อหน้าลาร์ ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อเขาจะจากไปก็ต้องบอกกันก่อน
“อย่าเรียกข้าว่าน้อง นายท่านมองเจ้าผิดไปจริง ๆ ด้วย ไม่เร็วก็ช้าสุดท้ายเจ้าต้องพังพินาศอยู่ในเงื้อมมือสตรีนางนั้นแน่นอน”
ลาร์ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณ เสียดสีถากถางประโยคหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น และไม่สนใจถูโยวหมิงอีก
สีหน้าอารมณ์ของถูโยวหมิงดูอึดอัด ซูเสว่หลันดึงแขนเสื้อเขา สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะจากไปพร้อมกับซูเสว่หลัน
“ช้าก่อน!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ลาร์ก็เรียกเขาไว้
เมื่อถูโยวหมิงหันหน้ากลับมา ก็มีแสงม่วงดวงหนึ่งบินตรงมา เขายื่นมือออกไปรับไว้ ก่อนจะพบว่ามันคือฮู้หนึ่งชิ้น
“ยันต์ทะลุฟ้าระดับแปด?”
ซูเสว่หลันตะโกนพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ เนื่องจากนี่เป็นของดีที่สามารถช่วยชีวิตได้เชียวนะ
ลาร์ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ถูโยวหมิงกลับรู้อยู่ว่าหลัวซิวเป็นคนมอบยันต์ทะลุฟ้าชิ้นนี้ให้เขา
เนื่องจากหลัวซิวรู้อยู่ว่าถังกู่สงตระหนกตกใจแล้วหนีไปเพราะผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่ ซึ่งไม่มีทางจบเรื่องนี้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน เขาต้องหลบซ่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับแดนเทพโบราณแน่นอน ทันทีที่ถูโยวหมิงและซูเสว่หลันออกไปจากที่นี่ พวกเขาต้องหนีเงื้อมมือถังกู่สงไม่พ้นแน่
ทว่าเมื่อมียันต์ทะลุฟ้าระดับแปด ทุกอย่างก็จะแตกต่างไปจากเดิม ขอแค่พวกเขากระตุ้นฮู้ชิ้นนี้ที่นี่ ก็จะถูกส่งไปยังตำแหน่งที่ห่างไกลออกไปภายในพริบตา มาตรแม้นว่าถังกู่สงจะเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้า นอกจากว่าเขาเชี่ยวชาญเกณฑ์ปริภูมิ มิเช่นนั้นก็อย่าคิดว่าจะสามารถไล่ล่าพวกเขาได้
……
ภายในแดนเทพโบราณ หลัวซิวนั่งอยู่บริเวณตีนเขาของภูเขาใหญ่สีทองหนึ่งลูกที่สูงโดดเด่น ภูเขาทองลูกนี้สูงใหญ่มากจนไม่อาจเทียบเคียงได้ ราวกับกระบี่เทพที่สูงเสียดเมฆ เมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่บริเวณรอบ ๆ ทำให้ดูลึกลับอย่างยิ่ง
บริเวณตีนเขาก็มีศิลาตั้งอยู่หนึ่งแท่นเช่นกัน บนศิลามีตัวหนังสือสลักอยู่ ซึ่งกล่าวว่าภูเขาลูกนี้สูงหมื่นฟุต จุดพันฟุตคือโลกา จะผ่านด่านได้ก็ต่อเมื่อสามารถปีนขึ้นไปถึงจุดหกพันฟุต ผู้ที่ปีนขึ้นไปถึงจุดเจ็ดพันฟุตถือว่าศักยภาพอยู่ในระดับกลาง ผู้ที่ปีนขึ้นไปถึงจุดแปดพันฟุตถือว่าศักยภาพอยู่ระดับสูง ส่วนผู้ที่สามารถปีนขึ้นไปถึงจุดเก้าพันฟุตคือสุดยอดของสุดยอด!
บนศิลาไม่ได้บอกแต่อย่างใดว่าเมื่อปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดนั้นเป็นอย่างไร ทว่าหากคาดเดาไม่ผิดละก็ การปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
บริเวณรอบ ๆ ไม่มีผู้อื่น จึงแสดงให้เห็นเลยว่าทุกคนล้วนเข้ารับการประเมินโดยอยู่ในพื้นที่ปริภูมิเดี่ยว
หลัวซิวไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านนอกแต่อย่างใด การประเมินทั้งห้าด้านของการคัดเลือกรอบแรกไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ถือว่ายากลำบากมากนัก จากศักยภาพของลิ่งฮู๋จื่อเซวียนน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
หลัวซิวย่างเท้าเดินไปข้างหน้า แล้วเริ่มปีนเขาอย่างไม่ลังเลใจ มองไม่เห็นสุดปลายขอบเขตของบันไดเลย เสี้ยววินาทีที่ก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นแรก ก็มีแรงกดอัดจุติลงมาทันที
จากแดนวิถีค่ายของหลัวซิว ต้องดูออกเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าบนภูเขาทองหมื่นฟุตนี้ มีค่ายกลต้องห้ามถูกจัดวางอยู่เป็นจำนวนมาก แรงกดอัดที่จอมยุทธ์ทุกคนประสบพบเจอขณะเข้ารับการประเมิน ก็เกิดจากค่ายกลต้องห้ามเช่นกัน
อีกทั้งค่ายกลต้องห้ามของที่นี่จะสร้างพลานุภาพกดอัดที่แตกต่างกัน ตามแดนผลการฝึกตนที่สูงต่ำของจอมยุทธ์แต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นแรงกดอัดที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดประสบพบเจอขณะผ่านด่าน จักมีอานุภาพรุนแรงกว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับหกไม่รู้ตั้งกี่เท่าตัว
ผลการฝึกตนของหลัวซิวคือเทพมารระดับหก ซึ่งนี่ก็หมายความว่าสิ่งที่เขาต้องเผชิญนั้น ก็เป็นการประเมินของเทพมารระดับหกเช่นกัน สำหรับเขาแล้ว แรงกดอัดแค่นี้มีก็เหมือนไม่มี
แรงกดอัดของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับแรงกดอัดที่แค่สามารถทำให้เทพมารระดับหกรู้สึกไม่ค่อยชิน?
ใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง หลัวซิวเหมือนเดินเล่นอยู่สวนหลังบ้าน ผ่านไปไม่นานนัก ก็เดินขึ้นมาถึงจุดหนึ่งพันฟุต
จุดหนึ่งพันฟุตมีรูปปั้นประติมากรรมหนึ่งรูป เมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ ดวงตาทั้งสองข้างของรูปปั้นก็สว่างขึ้น ราวกับตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับใหลยังไงอย่างนั้น ก่อนจะมีคลื่นออร่าเทพมารระดับหกช่วงกลางแผ่กระจายออกมา
เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่คือหุ่นเชิดหนึ่งร่าง ผลการฝึกตนของหุ่นเชิดที่อยู่ในจุดหนึ่งพันฟุตอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ฝ่าด่าน
บางทีการประเมินประเภทนี้อาจจะมีความยากต่อจอมยุทธ์ทั่วไปเล็กน้อย แต่อัจฉริยะที่สามารถมาเข้าร่วม อีกทั้งฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้นั้น ล้วนเป็นวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศ บททดสอบในจุดหนึ่งพันฟุตจึงแทบจะไม่มีความยากอะไรเลย
“ตู้มม!”
เพียงหมัดเดียว หุ่นเชิดที่พุ่งตรงเข้ามาก็ถูกหลัวซิวโจมตีจนแตกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นเขาก็ไม่ดูผลการประเมินเช่นกัน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังจุดที่สูงกว่าของเขาเซียนสีทอง
ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงจุดสามพันฟุต ผลการฝึกตนของหุ่นเชิดที่เขาเจอตรงจุดนี้บรรลุถึงเทพมารระดับหกขั้นสูงแล้ว
สำหรับจอมยุทธ์ที่เป็นเทพมารระดับหก การที่สามารถฝ่าฟันขึ้นมาถึงจุดนี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ระดับราชาเทพถึงจะฝ่าฟันขึ้นมาได้
และเมื่ออยู่ในด่านนี้ แค่การผ่านการคัดเลือกรอบแรก ก็จำเป็นต้องเดินขึ้นไปถึงจุดหกพันฟุตถึงจะผ่าน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าอัจฉริยะระดับราชาเทพที่กล่าวถึงนั้น ไม่มีค่าอะไรในสายตาตระกูลเทียนฮวงเลยด้วยซ้ำ!
แดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดอย่างตระกูลเทียนฮวง ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์ พลังอมตะหรือเคล็ดวิชาที่ศิษย์ในสำนักฝึก ล้วนอยู่ในระดับขั้นสุดยอด เมื่อเปรียบเทียบกับจอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปแล้ว ศิษย์ทุกคนในสำนักล้วนมีสมญานามเป็นอัจฉริยะระดับมกุฎเทพ การข้ามขั้นสังหารคู่ต่อสู้ที่แดนอยู่สูงกว่าสองสามแดนนั้น ก็สามารถทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก!
หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะสร้างสถานการณ์ยิ่งใหญ่อะไรในด่านนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่แห่งตระกูลเทียนฮวงต้องเฝ้าติดตามขั้นตอนการผ่านด่านของทุกคนอยู่อย่างแน่นอน ตอนแรกเริ่มขณะที่ผู้เข้ารับการประเมินยังเยอะอยู่ พวกเขาอาจจะไม่ค่อยเฝ้าติดตามมากเท่าไหร่นัก แต่จำนวนคน ณ วินาทีนี้ต้องมีไม่มากแน่นอน จากตัวสำนึกของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ เพียงพอที่จะสามารถแบ่งออกมาได้เป็นหมื่นดวง เพื่อสังเกตขั้นตอนการผ่านด่านของทุกคน
เมื่อนึกถึงจุดนี้ หลัวซิวจึงจงใจลดจังหวะในการฝ่าด่านของตัวเองให้ช้าลง จากนั้นก็มาถึงจุดที่สูงห้าพันฟุต
คู่ต่อสู้ตรงจุดสามพันฟุตก็เป็นหุ่นเชิดเทพมารระดับหกขั้นสูงแล้ว จุดสี่พันฟุตคือหุ่นเชิดเทพมารระดับหกขั้นสูงสิบตัว ระดับความยากเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้เยอะมากนัก
ทว่าเมื่อมาถึงจุดห้าพันฟุต คู่ต่อสู้ที่ปรากฏตรงจุดนี้ก็เป็นหุ่นเชิดเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิแล้ว
มีเพียงอัจฉริยะระดับมกุฎเทพขั้นสูง ถึงจะมีความมั่นใจในการฝ่าฟันไปได้ ในส่วนของจุดหกพันฟุตที่อยู่สูงกว่านั้น หลัวซิวสันนิษฐานว่าต้องมีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพเท่านั้น ถึงจะสามารถเดินขึ้นไปได้
หกพันฟุตถือว่าได้มาตรฐาน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าต่อให้เป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งในตระกูลเทียนฮวง เมื่ออยู่ในหมู่จอมยุทธ์ทั่วไป คนคนนั้นก็เป็นอัจฉริยะผู้เกะกะระรานที่สามารถก้าวข้ามหนึ่งแดนใหญ่สังหารคู่ต่อสู้ได้!
ซึ่งนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างจอมยุทธ์ทั่วไปและผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด! อัจฉริยะที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด ล้วนสามารถกดอัดจอมยุทธ์ทั่วไปได้ทุกด้านเลย
ในโลกแห่งการฝึกยุทธ์ เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งมีอิทธิพล ยิ่งเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ศิษย์ในสำนักก็จะยิ่งน้อย แต่ศิษย์ทุกคนล้วนเป็นบุคคลอัจฉริยะในหมู่บุคคลอัจฉริยะ ในส่วนของจำนวนคนส่วนมากในโลกหล้านั้น ล้วนเป็นเพียงแมลงเม่าที่สลายสูญสิ้นไปในหมู่สามัญชนทั่วไป
สำหรับหลัวซิวแล้ว เทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิไม่ค่อยมีความท้าทายมากเท่าไหร่นัก ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่จำเป็นต้องใช้ศักยภาพของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แค่อาศัยวิชาวิถีค่าย ก็มีวิธีการที่สามารถทำให้หุ่นเชิดตัวนี้กลายเป็นฝุ่นผงหลายวิธีมาก
ขณะที่โบกมือครั้งหนึ่ง หลัวซิวก็สลักยันต์ค่ายออกมาแล้วสามยันต์ ซึ่งยันต์ค่ายทุกยันต์ล้วนเป็นค่ายเทพระดับเจ็ด ค่ายสังหารสอง ค่ายยากเย็นหนึ่ง
โครมคราม……
หุ่นเชิดติดอยู่ในค่ายกลทั้งสาม จากการที่มีเสียงโครมครามดังขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่นานนักหลัวซิวก็มุ่งหน้าเดินขึ้นไปยังจุดหกพันฟุตต่อ
“ไม่นึกเลยว่าคนดังกล่าวจะเป็นอัจฉริยะค่ายกลด้วย!”
นอกแดนเทพโบราณ ราชาเทพนิศากรให้ความสนใจกับทิศทางการเคลื่อนไหวฝั่งหลัวซิวมาโดยตลอด อย่างไรเสียผลการประเมินบนสะพานวัฏสงสารในด่านแรกของเขาก็น่าทึ่งมากเกินไปแล้ว การทดสอบพรสวรรค์ในด่านที่สอง แรงสัมพรรคภาพก็สมบูรณ์แบบทั้งสองธาตุด้วย
อัจฉริยะประเภทนี้ นอกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดแล้ว มาตรแม้นว่าอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงก็หาพบได้ไม่มาก จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าจอมยุทธ์ทั่วไปที่ไม่มีกองกำลังใหญ่เป็นที่พึ่งพิงเลย
ในการประเมินในด่านที่สาม หลัวซิวแทบจะใช้อุบายต่าง ๆ ของตัวเองน้อยมาก ขณะที่โบกมือครั้งเดียวเขาก็สามารถสลักยันต์ค่ายเทพระดับเจ็ดออกมาได้แล้ว แค่อุบายประเภทนี้ เขาที่อยู่ในแดนเทพมารระดับเจ็ดก็แทบจะสามารถกวาดล้างทุกสรรพสิ่งได้
ฉะนั้นการฝ่าด่านของเขาจึงไม่มีอุปสรรคใด ๆ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ก่อนจะมาถึงจุดที่สูงหกพันฟุตได้อย่างง่ายดาย
“วิถียา วิถีค่าย วิถีภัณฑ์ อัจฉริยะประเภทนี้หาพบได้ยากกว่าอัจฉริยะวิถียุทธ์เสียอีก!”ราชาเทพเสว่น่าก็แอบพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน หากมีอัจฉริยะวิถีค่ายคนหนึ่งอุบัติขึ้นมาในการคัดเลือกอัจฉริยะในครั้งนี้ มันก็เป็นดอกผลที่ไม่น้อยเช่นกัน
ผู้ที่สามารถบรรลุถึงแดนอย่างราชาเทพระดับเก้านั้น ย่อมไม่มีทางพูดคำพูดโง่ ๆ อย่างการบอกว่าวิถีค่ายคือลัทธินอกรีดอยู่แล้ว หากสามารถฝึกวิถีค่ายขึ้นไปถึงแดนที่สูงลึก จะช่วยส่งเสริมวิถียุทธ์ได้ดีมาก หากเป็นเทพมารระดับเก้าทั่วไปคนหนึ่ง ทว่าถ้าเป็นยอดฝีมือราชันย์ค่ายด้วย เช่นนั้นมาตรแม้นว่าเป็นราชาเทพระดับเก้าก็ไม่ยอมรุกรานง่าย ๆ แน่นอน
“ไม่เลว ไม่เลวเลย ผลการฝึกตนเทพมารระดับหกช่วงกลาง แต่ยันต์ค่ายที่สลักออกมาอย่างสบายมือก็สามารถวิวัฒนาการค่ายกลเทพระดับเจ็ดออกมาได้แล้ว หากให้เวลาเขาจัดวางค่าย ต่อให้เป็นเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้วล่ะ”
ก่อค่ายเป็นยันต์คืออุบายประเภทหนึ่ง นักค่ายเทพคนหนึ่งที่สามารถโบกมือแล้วผนึกรวมค่ายกลเทพระดับเจ็ดออกมาได้นั้น อย่างน้อยก็เป็นอาจารย์วิถีค่ายคนหนึ่งที่สามารถจัดวางค่ายเทพระดับเจ็ดชั้นยอดออกมาได้แล้ว!