มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2691 ซูเสว่หลัน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2691 ซูเสว่หลัน
ระดับของวิญญาณ เริ่มตั้งแต่วิญญาณปกติ แล้วก็เทพจิต จนถึงช่องจิต สุดท้ายถึงจะเป็นญาณเทว
วิญญาณระดับช่องจิตไม่สามารถควบคุมกฎและเกณฑ์ได้ ทว่าวิญญาณของหลัวซิวอยู่ในระดับญาณเทว จึงสามารถทำสิ่งนี้ได้
เขา ณ วินาทีนี้ก็ควบคุมเกณฑ์ปริภูมิด้วยตัวสำนึกวิญญาณนี่แหละ วิวัฒนาการปริภูมิที่ทรุดตัวออกมา จนประกอบเป็นหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง ศักยภาพสูงสุดของปีศาจแมงมุมลายเขียวเทียบเท่าเทพมารระดับห้า ซึ่งไม่สามารถเข้าใกล้เขตพื้นที่บริเวณโดยรอบสามร้อยเมตรของเขาได้ด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ยกมือขึ้นมาจิ้มลงกลางอากาศที่ว่างเปล่าครั้งหนึ่ง เปลวไฟดวงหนึ่งจึงพุ่งออกไป กลายเป็นมังกรเพลิงตัวหนึ่งที่แยกเคี้ยวตะปบเล็บ แผดเผาปีศาจแมงมุมลายเขียวจำนวนมากที่แผ่คลุมลาร์ให้กลายเป็นฝุ่นผง
“ให้ตายเถอะ ลูกรักของข้า!”
มีน้ำเสียงที่ดุดันดังก้องอยู่ในห้วงดารา ถัดจากนั้นก็มีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสีสันสดใสคนหนึ่งปรากฏบนหินอุกกาบาตลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไกล
ในละแวกใกล้เคียงของหินอุกกาบาตที่ชายหนุ่มเสื้อหลากสียืนอยู่ เต็มเปี่ยมไปด้วยปีศาจแมงมุมลายเขียวที่ถี่ยิบ รวมไปถึงอสูรกายประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย จำนวนมีเยอะมากจนน่าทึ่งอย่างยิ่ง
“วิถีแห่งทาสอสูร?”
หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มเสื้อหลากสีเอ่ยปากพูดกะทันหัน หลัวซิวก็ยังสังเกตไม่เห็นฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากเขาและลาร์ถูกปีศาจแมงมุมลายเขียวที่ไร้ขอบเขตแผ่คลุมตั้งแต่แรกแล้ว จึงนึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าปีศาจแมงมุมลายเขียวทั้งหมดนี้จะถูกควบคุมโดยมนุษย์
สรรพวิชา มีวิถีที่มากล้น เนื่องด้วยมีความทรงจำของชาติปางก่อน หลัวซิวก็พอเข้าใจวิถีแห่งทาสอสูรอยู่บ้าง ยิ่งกว่านั้นคือในยุคไท่ชูอันไกลโพ้น เคยมีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่ฝึกวิถีแห่งทาสอสูรด้วย ซึ่งสิ่งที่พวกเขาควบคุมก็คืออสูรโบราณดารา!
ความเป็นมาของวิถีแห่งทาสอสูรเก่าแก่มาก ทว่าการถ่ายทอดสืบสานประเภทนี้กลับไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากศักยภาพของผู้ควบคุมอสูรจักแข็งแกร่งหรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับระดับขั้นและจำนวนของอสูรที่ควบคุม
ฝูงอสูรที่นักทาสอสูรควบคุมต้องการอาหารเลือดเป็นจำนวนมาก ดังนั้นมักจะมีนักทาสอสูรไปฆ่าล้างอสูรจิตในดาราและพสุดาราที่ระดับค่อนข้างต่ำ ทุกตำแหน่งที่ฝูงอสูรเคลื่อนผ่าน แม้แต่หญ้าก็ไม่อาจจะขึ้น ทุกตำแหน่งเต็มเปี่ยมไปด้วยโครงกระดูก
เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าชายหนุ่มเสื้อหลากสีคนนี้คือนักทาสอสูรคนหนึ่ง การที่เขาปลดปล่อยฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวออกมานั้น เขาไม่ได้ปล่อยสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงเหล่านี้ออกมาเดินเล่นแน่นอน แต่เป็นการปล่อยออกมาหาอาหาร!
เมื่อไม่นานมานี้ หลัวซิวและลาร์เพิ่งเดินทางผ่านดาราระดับล่างที่อารยธรรมวิถียุทธ์ค่อนข้างต่ำหนึ่งดวง ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ที่อยู่บนดาราดังกล่าวมากสุดก็เป็นเพียงเทพมารระดับห้า หากฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวประเภทนี้ค้นพบดาราดวงนั้น ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรแค่คิดก็พอจะทราบได้แล้ว
แม้นหลัวซิวจะไม่ใช่ผู้ที่โศกเศร้าอาดูรและเจ็บแค้นเพราะประชาชนตกทุกข์ได้ยาก แต่เขาก็มีหลักการขีดจำกัดของตัวเองเช่นกัน เมื่อทราบว่าฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวนี้ถูกควบคุมโดยชายหนุ่มเสื้อหลากสีคนนั้น จึงมีจิตสังหารที่รวดเร็วและเฉียบคมทะลุออกมาจากดวงตาเขา
ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อเหล่าอสูรจิตธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่บนดาราดวงนั้น ทว่าเจ้าหมอนี่บังอาจควบคุมฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียวมารุมโจมตีตนเอง พฤติกรรมเช่นนี้มันก็เป็นการรนหาที่ตายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้พูดจาไร้สาระเลยด้วยซ้ำ ตัวสำนึกวิญญาณควบคุมพลังเกณฑ์ปริภูมิและความเร็ว ร่างกายกลายเป็นลำแสงหนึ่งดวงภายในพริบตา ก่อนจะพุ่งสังหารไปทางชายหนุ่มเสื้อหลากสีที่อยู่บนหินอุกกาบาตลูกนั้น
“รนหาที่ตาย!”
ชายหนุ่มเสื้อหลากสีแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น มีอสูรกายยักษ์ห้าตัวคอยคุ้มกันอยู่ข้างกาย วานรวัชรยักษ์ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นฟ้า ก่อนจะใช้หมัดทุบไปทางหลัวซิว
“ตู้มม!”
ในขณะเดียวกันหลัวซิวก็ปล่อยหมัดออกไปเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับร่างกายของวานรวัชรยักษ์ที่สูงหลายร้อยเมตรแล้ว ร่างกายของเขาก็เล็กจิ๋วปานมดตัวจ้อยตัวหนึ่งเลย
เสียงที่กลัดกลุ้มอย่างยิ่งดังก้องอยู่ในห้วงดารา คลื่นปราณที่ดุดันทั้งหลายม้วนซัดออกไป วานรวัชรยักษ์คำรามเสียงดัง พลางถอยหลังกลับไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”เมื่อชายหนุ่มเสื้อหลากสีเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เขาก็ผงะไปโดยสิ้นเชิงแล้ว วานรวัชรยักษ์คืออสูรมารเทพระดับเจ็ดที่มีพลังมากมายมหาศาลเชียวนะ ผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างที่ผลการฝึกตนอยู่ในแดนเดียวกันยังไม่กล้าต่อกรกับวานรวัชรยักษ์ตรง ๆ เลย เจ้าหมอนี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจิตใจของชายหนุ่มเสื้อหลากสีจะรู้สึกทึ่งมากเพียงใด ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว หลังจากหลัวซิวใช้หมัดหนึ่งโจมตีวานรวัชรยักษ์จนถอยหลังกลับไปแล้ว ความเร็วเขาก็เร็วปานสายฟ้า มาถึงบนหินอุกกาบาตที่ชายหนุ่มเสื้อหลากสียืนอยู่ภายในพริบตา
ยื่นมือออกไปขยำครั้งหนึ่ง หอกยุทธ์สีแดงเลือดเล่มหนึ่งจึงผนึกรวมกันในมือหลัวซิว และนี่ก็คือหอกโลหิตสังหารสวรรค์ที่เกิดจากพลังอมตะ จากความแข็งแกร่งในร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิว ศัสตราวุธของขลังทั่วไปไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขาแล้ว จักหยิบกระบี่ร่องฟ้าออกมาใช้ง่าย ๆ ไม่ได้ หอกโลหิตสังหารสวรรค์จึงกลายเป็นอุบายสังหารประเภทหนึ่งที่ทรงพลัง และเป็นอาวุธสงครามที่ใช้ในการเข่นฆ่าของเขา
“ฟึ่บ!”
แสงโลหิตดวงหนึ่งแย้มบาน อสูรกายที่นับไม่ถ้วนก็กระโจนไปทางหลัวซิว หอกยุทธ์ของเขาทิ่มแทงชายหนุ่มเสื้อหลากสีไม่สำเร็จ เพราะอสูรกายจำนวนมากที่อยู่ข้างกายต่างทุ่มสุดชีวิตเพื่อคุ้มกันนาย
“สวรรค์ปราบ!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น มีจิตสังหารที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตปะทุออกมาจากหอกยุทธ์สีแดงเลือด ภายใต้การแผ่คลุมจากจิตสังหารประเภทนี้ อสูรกายส่วนมากก็ต้านทานต่อไปไม่ไหวแล้ว ร่างกายระเบิดแตกจนกลายเป็นฝุ่นผง
“วัฏสงสาร!”
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เงาลวงวัฏจักรที่ใหญ่โตมหึมาก็ปรากฏด้านหลังเขา ทุกครั้งที่วัฏจักรที่ใหญ่โตมหึมาหมุนหนึ่งรอบ ก็เหมือนถ่านหินกลมที่รองรับตัวโม่ยังไงอย่างนั้น บดขยี้ทุกสรรพสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขา
อสูรกายที่ชายหนุ่มเสื้อหลากสีควบคุมมีเยอะมาก ทว่าพวกมันกลับไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่นัก อย่างมากสุดก็ไม่สูงกว่าเทพมารระดับเจ็ด ส่วนผลการฝึกตนของชายหนุ่มเสื้อหลากสีนั่นก็ไม่สูงเช่นกัน เป็นเพียงเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายเท่านั้น
ภายในเสี้ยววินาทีอันสั้น หลัวซิวก็ล้างฆ่าอยู่ภายใต้การรุมโจมตีจากอสูรกายที่นับไม่ถ้วน จนฝ่าฟันออกมาจากวงล้อมได้ หอกโลหิตสังหารสวรรค์เล็งไปกลางหว่างคิ้วชายหนุ่มเสื้อหลากสีโดยตรง
“ถ้ามึงบังอาจฆ่ากู มึงต้องรู้สึกเสียใจทีหลังแน่! ท่านพ่อกู……”
มีรังสีแห่งความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่มเสื้อหลากสี แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกหอกโลหิตทะลวงตัวหยั่งรู้ กลายเป็นศพร่างหนึ่งที่เงียบไม่พูดจา
ทันทีที่นักทาสอสูรตายไป อสูรกายทั้งหมดที่ชายหนุ่มเสื้อหลากสีควบคุมจึงสูญเสียการควบคุมภายในพริบตา ล้วนบ้าคลั่ง
หลัวซิวยื่นมือไปคว้าแหวนเก็บของของชายหนุ่มเสื้อหลากสีมา ดวงตาคู่นั้นกลายเป็นสีแดงเพลิงภายในพริบตา ก่อนจะมีเปลวไฟสีแดงมืดม้วนซัดออกไปจากจุดที่เขายืน ทำให้เปลวไฟสีแดงมืดปกคลุมพื้นที่ห้วงดารานับหมื่นไมล์โดยรอบ
อสูรกายที่นับไม่ถ้วนกรีดร้องโหยหวน หลัวซิวสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง เตาที่เขาใช้กลั่นยาก็บินออกไป แล้วขยายใหญ่ขึ้นตามแรงลม จนกลายเป็นเตากลั่นยาที่ตระหง่านโดดเด่นปานภูเขาที่สูงใหญ่
“เตี๊ยง!”
ฝาเตาเปิดออก ถัดจากนั้นก็มีพลังดูดกลืนวิญญาณที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา อสูรกายต่าง ๆ นานาจึงถูกพลังดูดกลืนฉุดดึงแล้วบินเข้าไปในเตากลั่นยา
เตากลั่นยานี้คือเตาเซียนพรสวรรค์ที่หลัวซิวใช้กลั่นยาเมื่อภพชาติก่อน นอกจากสามารถใช้กลั่นยาแล้ว ตัวมันเองก็เป็นอาวุธฆ่าล้างที่มีพลานุภาพมากล้นชิ้นหนึ่งเช่นกัน
แต่ทว่าไท่ซ่างฉิงเมื่อภพชาติก่อนแข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้นขณะที่ต่อสู้เขาจึงไม่เคยใช้เตากลั่นยาเตานี้เลย แค่ใช้มันมากลั่นยาอย่างเดียวเท่านั้น
โอสถแก่นแท้ที่จอมยุทธ์ใช้ขณะฝึกตนก็กลั่นแปรมาจากอสูรกายนี่แหละ อสูรกายที่นับไม่ถ้วนถูกดูดเข้าไปในเตากลั่นยา ไฟที่อยู่ในเตาเซียนลุกโชน หลัวซิวเริ่มกลั่นแปรแก่นสารพลังจิตที่หล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายอสูรกายเหล่านี้อยู่ที่นี่โดยตรง
“ชิ่ว!”
และในเวลานี้เอง ก็มีแสงกลรุ้งยาวดวงหนึ่งบินมาจากห้วงดาราที่อยู่ห่างไกลออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น แสงกลดังกล่าวก็ปรากฏในละแวกใกล้เคียงหลัวซิวแล้ว หลังจากแสงกลสลายหายไปแล้ว ก็เผยให้เห็นเงามนุษย์ร่างหนึ่ง
คนดังกล่าวคือผู้บำเพ็ญเซียนหญิงที่งดงามคนหนึ่ง แม้นเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเหยียนเยว่เอ๋อร์และเสิ่นปิงหยูแล้ว โฉมหน้าของนางจะแย่กว่านิดหนึ่ง แต่ก็เป็นโฉมงามที่หาพบได้ไม่มากเช่นกัน หุ่นก็ดีมากด้วย
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาหลัวซิวกลับไม่ใช่โฉมหน้าและหุ่นของสตรีนางนั้น แต่เป็นผลการฝึกตนของนาง เขาสัมผัสออร่าเกณฑ์พลังเต๋าที่แข็งแกร่งได้จากตัวสตรีนางนั้น ซึ่งผู้ที่มีพลังออร่าประเภทนี้ไม่ใช่เทพมารระดับเจ็ดอย่างแน่นอน แต่เป็นเทพมารระดับแปด!
บนตัวสตรีนางนี้สวมใส่ชุดเกราะสีฟ้าน้ำแข็ง ให้ความรู้สึกเหมือนนางเป็นผู้ที่มีบุคลิกองอาจห้าวหาญ นางกวาดตามองละแวกใกล้เคียงรอบหนึ่ง มองเห็นร่องรอยที่ศพอสูรกายจำนวนมากถูกแผดเผา
“เจ้าเป็นผู้สังหารถังหย่งหรือ?”
เมื่อสายตาของสตรีร่วงลงบนตัวหลัวซิวอีกครั้ง ก็มีความประหลาดใจทะลุออกมาเล็กน้อย เนื่องจากออร่าผลการฝึกตนที่นางสัมผัสได้จากตัวชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนี่ เป็นเพียงเทพมารระดับหกเท่านั้น
เทพมารระดับหกคนหนึ่งจะมีทางสังหารถังหย่งที่อยู่ในแดนเทพมารระดับเจ็ดได้อย่างไร อีกทั้งถังหย่งยังเป็นนักทาสอสูรที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอีกด้วย?
“หากผู้ที่เจ้าหมายถึงคือนักทาสอสูรที่จองหองพองขนนั่นละก็ เช่นนั้นข้าก็เป็นผู้สังหารมันจริง ๆ”
หลัวซิวค่อย ๆ ตอบกลับ สาเหตุที่เขายินดีตอบคำถามของสตรีนางนี้นั้น เป็นเพราะเขาสัมผัสเจตนาร้ายและจิตสังหารจากตัวฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แต่อย่างใด
จากจุดนี้เขาก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า สตรีนางนี้ต้องไม่ใช่พวกเดียวกันกับนักทาสอสูรนั่นแน่นอน
เมื่อได้ยินคำตอบของหลัวซิว สตรีไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาอีก เนื่องจากนางคาดเดาคำตอบนี้ได้ตั้งนานแล้ว แต่แค่รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยเท่านั้นเอง
เทพมารระดับหกคนหนึ่งข้ามขั้นสังหารนักทาสอสูรเทพมารระดับเจ็ด นี่ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทั่วไปแล้ว ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนี่ต้องมีอุบายบางอย่างที่ทรงพลังอย่างยิ่งแน่นอน หรือไม่เขาก็ฝึกวรยุทธ์พลังอมตะที่แหกกฎสวรรค์
ไม่ว่าจะมองจากจุดใด สตรีนางนี้ก็รู้ตัวเองดีอยู่ว่าตนจะไม่รุกรานฝ่ายตรงข้าม
“สวัสดี ข้าชื่อซูเสว่หลัน”สตรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพูดอย่างเกรงใจมาก
“ข้าชื่อหลัวซิว”หลัวซิวก็ตอบกลับเช่นกัน
“ข้าต้องขอบคุณสหายมากที่ช่วยข้าสังหารไอ้เดรัจฉานถังหย่งนั่น มันอาศัยที่พ่อตัวเองเป็นเจ้าสำนักสรรพอสูรแล้วกดขี่ข่มเหงตระกูลซูของเรา หากไม่ใช่เพราะข้าหลบหนีออกมาละก็ ตระกูลซูของเราก็อาจจะถูกมันล้มล้างไปแล้ว”จู่ ๆ ซูเสว่หลันก็พูดอย่างทอดถอนใจ
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวถึงจะทราบว่าสาเหตุที่ถังหย่งนั่นปล่อยปีศาจแมงมุมลายเขียวออกมานั้น เขาไม่ได้ทำเพื่อหาอาหาร แต่จะค้นหาร่องรอยของสตรีนางนี้ในห้วงดาราแห่งนี้
เนื่องจากขณะที่สตรีนางนี้ปรากฏเมื่อครู่ นางบินมาจากตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่มากนัก ซึ่งนี่ก็หมายความว่าซูเสว่หลันหลบซ่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียงจริง ๆ
หากไม่มีการปรากฏตัวของหลัวซิว บางทีถังหย่งก็อาจจะเจอซูเสว่หลันตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นสตรีนางนี้จึงต้องขอบคุณเขาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
หลัวซิวไม่ทราบว่าเหตุใดถังหย่งถึงต้องจับกุมตัวซูเสว่หลัน ถึงแม้ซูเสว่หลันคนนี้จะถือว่าสวยอยู่ แต่น่าจะไม่ถึงขั้นทำให้ถังหย่งทุ่มแรงเพื่อออกตามหามากขนาดนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วสตรีที่สามารถฝึกตนถึงแดนเทพมารได้นั้น ล้วนจะงดงามในระดับหนึ่ง จากตัวตนของถังหย่ง หากต้องการโฉมงามละก็ แค่กวักมืออย่างเรื่อยเปื่อยก็มีโฉมงามที่นับไม่ถ้วนยินดีกลิ้งขึ้นเตียงเขาแล้วมิใช่หรือ?
แม้นจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่หลัวซิวก็ไม่ได้ไต่ถามอะไรมากนัก มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเป็นส่วนตัวและความลับของตัวเอง ถึงแม้ศักยภาพของเขาจะแข็งแกร่งกว่าซูเสว่หลัน เขาก็ไม่ถึงขั้นต้องบีบบังคับฝ่ายตรงข้าม
“แต่ทว่าข้าต้องย้ำเตือนสหายหลัวประโยคหนึ่ง ถังหย่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักสรรพอสูรถังกู่สง สหายหลัวฆ่ามันแล้ว ถังกู่สงต้องไม่มีทางจบเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่นอน เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ”
สำหรับการย้ำเตือนของซูเสว่หลัน หลัวซิวแค่พยักหน้าอย่างเรียบนิ่งมาก อย่างไรเสียการที่เขาฆ่าถังหย่งก็เท่ากับช่วยชีวิตสตรีนางนี้เอาไว้ เขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณนาง
“หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อนล่ะ หวังว่าจะยังมีโอกาสได้เจอกันอีก”หลัวซิวไม่อยากคบค้าสมาคมกับสตรีอย่างซูเสว่หลันมากเท่าไหร่นัก เขาฆ่าถังหย่งแล้วช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่สตรีนางนี้แค่ขอบคุณก็จบเรื่องเลย หลัวซิวสัมผัสความจริงใจจากตัวนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่หวังผลตอบแทน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา คนคนหนึ่งจริงใจหรือไม่นั้น จากประสบการณ์อันนับไม่ถ้วนของชาติปางก่อนและชาตินี้ของเขา ก็สามารถดูออกได้อยู่
หลัวซิวย่อมไม่อยากคบค้าสมาคมกับผู้ที่ไม่จริงใจต่อตนเองอยู่แล้ว