มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2677 ยาเซียนระดับแปด
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2677 ยาเซียนระดับแปด
สังหารหลู่ปู้เหว่ย เท่ากับเป็นการประกาศศึกอย่างชัดเจนกับสำนักเซียนต้าโหลว เรื่องใหญ่เช่นนี้ พอจะทำให้ชาวโลกอกสั่นขวัญแขวนได้
ในหุบเขาเทพจันทรา ลวี่โหลวและหงเหยียนสองพี่น้องมาถึงที่นี่ นอกจากพวกนางสองพี่น้องแล้ว ยังมีคนอีกคนหนึ่งที่มายังหุบเขาเทพจันทราด้วยเช่นกัน เขาผู้นั้นก็คือผู้อาวุโสใหญ่ที่เพิ่งออกจากการปิดขังฝึกตนมาได้ไม่นานนัก
“ท่านนาย ผู้อาวุโสใหญ่จงรักภักดีต่อภูเขาว่านเริ่น เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเชื่อถือ” ลวี่โหลวพูดขึ้นเช่นนี้
“ศิษย์ผู้น้อยจงหลีโป๋ คารวะท่านนาย !”
ก่อนจะมายังหุบเขาเทพจันทรา วลี่โหลวได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลัวซิวให้ผู้อาวุโสใหญ่ฟังทั้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งภูเขาว่านเริ่นผู้นี้ จึงได้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
หลัวซิวพยักหน้า เรื่องเกี่ยวกับผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้ ลวี่โหลวเองก็เคยเล่าให้เขาฟังแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นการที่ลวี่โหลวพาเขามาในวันนี้ จึงไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย
อีกทั้ง ลวี่โหลวยังนำเวทย์ย้ายเขาถล่มฟ้าที่ราชาเทพว่านเริ่นเคยใช้ฝึกตน ให้ตงหลีโป๋นำไปฝึกตน ก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจที่ลวี่โหลวมีต่อผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้ อีกทั้ง หากไม่ใช่คนที่จงรักภักดีต่อภูเขาว่านเริ่นจริง ๆ แล้วละก็ คงยากที่จะขึ้นมานั่งในตำแหน่งของผู้อาวุโสใหญ่ได้
“เรื่องเกี่ยวกับสำนักเซียนต้าโหลว พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร ?” หลัวซิวค่อย ๆ เอ่ยขึ้น ข้าง ๆ เขา มีเสิ่นปิงหยูคอยชงชาให้อย่างเงียบ ๆ
ไม่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะคับขันเพียงใด แต่จิตใจของเขายังคสงบเยือกเย็น ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ตัวธรรมก็ยังคงอยู่ ไม่เหมือนกับพวกของลวี่โหลว ที่มักเต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจ
“เรียนท่านนาย เมื่อนานมาแล้ว ภูเขาว่านเริ่นของเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับสำนักต้าโหลว เรื่องของหลู่ปู้เหว่ยในครั้งนี้ คงเป็นการหยั่งเชิงและท้าทายพวกเราของสำนักเซียนต้าโหลว ตอนนี้หลู่ปู้เหว่ยถูกประมุขเขาสังหารแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสำนักเซียนต้าโหลวจะเปิดศึกกับพวกเรา” ผู้อาวุโสใหญ่จงหลีโป๋อธิบายวามคิดและมุมมองของตนเองออกมา
“ขอเพียงเจ้าสำนักของสำนักเซียนต้าโหลวไม่ใช่คนโง่ หากคิดจะเปิดศึกกับภูเขาว่านเริ่นของเราจริง ๆ ก็คงต้องคิดไตร่ตรองให้ละเอียดแน่นอน” หลัวซิวพูดแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้เบา ๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกของลวี่โหลวก็รู้สึกว่าฟังดูมีเหตุผล แม้แต่หลู่ปู้เหว่ยที่ครอบครองอาวุธเทพระดับเก้าอยู่ในมือ เมื่อมาถึงยังถูกสังหาร สำนักเซียนต้าโหลวคงต้องคาดเดาอยู่เป็นแน่ว่า ภูเขาว่านเริ่นยังมีมรดกที่แข็งแกร่งอะไรอยู่อีกกันแน่
แต่พวกของลวี่โหลวกลับคิดว่า สำนักเซียนต้าโหลวจะเกรงกลัวและไม่ยอมเปิดศึกด้วยเรื่องแค่นี้เป็นแน่ อย่างไรเสีย เป็นที่รู้กันดีว่า สิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวสำนักเซียนต้าโหลวที่สุด ก็คืออาจารย์ปู่เทพมารระดับเก้าผู้นั้น !
เมื่อกล่าวถึงอาจารย์ปู่ต้าโหลว ใบหน้าของลวี่โหลวและจงหลีโป๋ก็แสดงความกังวลออกมาอย่างอดไม่ได้ อย่างไรเสีย ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมาระดับเก้า ก็นับว่าแข็งแกร่งเกินไป ถึงแม้เทพมารระดับแปดและเทพมารระดับเก้าจะต่างกันเพียงแค่หนึ่งแดนใหญ่ แต่ผลการฝึกยุทธ์ตั้งแต่เทพมารระดับเจ็ดขึ้นไป ไม่ได้ต่อสู้ข้ามขั้นได้อย่างง่ายดายเหมือนกับระดับก่อนหน้าเทพมารระดับเจ็ด
ผลการฝึกตนก่อนหน้าระดับเทพมารระดับเจ็ด ผู้มีพรสวรรค์ระดับราชาเทพสามารถข้ามขั้นได้สองแดน ผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพสามารถข้ามขั้นได้หนึ่งแดนใหญ่ ซึ่งเท่ากับสี่แดนเล็ก ยิ่งมีพรสวรรค์ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็จะยิ่งสามารถข้ามขั้นได้มาก
แต่หลังจากระดับเทพมารระดับเจ็ดนั้นไม่เหมือนกัน ตั้งแต่แดนนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการแบ่งแยกที่เรียกว่าระดับพรสวรรค์อีกแล้ว ทุกหนึ่งแดนใหญ่ จะแบ่งออกเป็นแปดแดนเล็ก ได้แก่ เทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิ,ช่วงกลาง,ช่วงปลาย,ขั้นสูง ราชาเทพ มกุฎเทพ จักรพรรดิเทพ มหาจักรพรรดิยุทธ์ !
การแบ่งแยกแดนนี้ ไม่ได้แบ่งแยกตามผลการฝึกตน แต่แบ่งแยกตามความสามารถ ซึ่งนี่หมายความว่า ผู้แข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิ์ยุทธิ์เทพมารระดับแปดช่วงกลาง จะไม่สามารถเอาชนะเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิธรรมดา ๆ คนหนึ่งได้
ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้าผู้หนึ่ง อย่าว่าแต่ธาตุดาราว่านเริ่นและธาตุดาราต้าโหลวเลย แม้กระทั่งทั่วทั้งห้วงดาราโลกร้าง ต่างก็ต้องเกรงกลัวการมีอยู่นี้
“ท่านนาย หากอาจารย์ปู่ของสำนักเซียนต้าโหลวลงมือขึ้นมา พวกเราจะตั้งรับอย่างไรดี ?” จงหลีโป๋อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ด้วยความสามารถของภูเขาว่านเริ่น ยังยากที่จะรับมือกับผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้าได้ ดังนั้นความหวังดียวที่มีก็คือ การพึ่งพาท่านนายผู้แข็งแกร่งที่มีที่มาที่ไปแสนลึกลับผู้นี้แล้ว
ทว่า ต่อให้เป็นหลัวซิว เขาก็ไม่ใช่ไท่ซ่างฉิงในชาติก่อนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่เทพมารระดับห้าคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้การฝึกยุทธ์ของเขาจะแข็งแกร่งไร้เทียมทานเพียงใด ก็ไม่อาจมีความสามารถพอที่จะรับมือกับเทพมารระดับเก้าได้
“ไม่ต้องเป็นห่วง เทพมารระดับเก้าที่มีอายุยืนยาวมาหลายร้อยปี อย่างมากก็คงหยุดอยู่ที่เทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิเท่านั้น ในอนาคตไม่จำเป็นต้องให้ข้าลงมือเอง คนที่อยู่ข้างกายของข้าก็สามารถสังหารเขาได้อย่างสบาย !”
หลัวซิวพูดขึ้นอย่างสงบ “ส่วนในตอนนี้ อาจารย์ปู่ของสำนักเซียนต้าโหลวคงยังไม่ลงมือง่าย ๆ อย่างไรเสีย เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้าคนหนึ่งเท่านั้น แต่เขายังเป็นหนึ่งในมรดกของสำนักเซียนต้าโหลวอีกด้วย สำหรับเขาแล้ว การเฝ้าสำนักเซียนต้าโหลว เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
เริ่มจากการที่สำนักมังกรฟ้าถูกกวาดล้าง จากนั้นผู้อาวุโสของสำนักเซียนต้าโหลวก็ถูกสังหารที่ภูเขาว่านเริ่น เรื่องเหล่านี้สร้างความโกลาหลให้กับโลกภายนอกอย่างยิ่ง
ข่าวแพร่กระจายไปทั่วธาตุดาราใหญ่ทั้งสองอย่ารวดเร็วราวกับลมพายุ ถึงขั้นว่า กองกำลังจำนวนมากในธาตุดาราอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ก็ได้ยินข่าวนี้แว่ว ๆ เช่นกัน และทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องรู้สึกตกใจในทันที
เป็นที่รู้กันดีถึงความแข็งแกร่งของสำนักเซียนต้าโหลว สิ่งนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า ภูเขาว่านเริ่นไปกินอะไรผิดสำแดงมาจึงมีความกล้าเช่นนี้ ด้วยสถานการณ์หลายปีที่ผ่านมาของภูเขาว่านเริ่น ต่อให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่จะถึงขนาดเป็นศัตรูกับสำนักเซียนต้าโหลว ที่รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์กลางท้องฟ้าได้อย่างไร ?
โดยรวมแล้ว มีความคิดเห็นที่หลากหลายเกิดขึ้นในโลกภายนอก ไม่ว่าอย่างไร หากภูเขาว่านเริ่นและสำนักเซียนต้าโหลวเกิดศึกใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ กองกำลังต่าง ๆ ในสองธาตุดาราต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน ถึงแม้นี่อาจเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่สำหรับสำนักตระกูลบางแห่ง แต่ก็มีคนบางจำพวกที่กลับรู้สึกว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองและฉกฉวยผลประโยชน์ !
ไม่ว่าโลกภายนอกจะโกลาหลเพียงใด หลัวซิวยังคงนั่งอยู่ในลานสวนของหุบเขาเทพจันทราอย่างสงบ หากตัดเรื่องการทำให้วิถียุทธ์และผลการฝึกตนของตนเองมั่นคงออกไป เขาอย่างที่จะพุ่งความสนใจทั้งหมด ไปให้กับการชี้แนะปัญหาในการฝึกตนของคนที่อยู่รอบข้างมากกว่า
การฝึกยุทธ์ ยิ่งดำเนินมาถึงช่วยปลายยิ่งยากลำบาก ทุกข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้รากฐานของตนเองเกิดความไม่มั่นคงได้ และทำให้ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
หากเทียบการฝึกยุทธ์กับการสร้างตึกสูง ในขณะที่ผลการฝึกตนยังไม่บรรลุถึงระดับเทพมาร หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับการฝึกยุทธ์ ก็ยังมีโอกาสเริ่มใหม่ได้ แต่สำหรับคนที่อยู่รอบข้างหลัวซิว ที่มีผลการฝึกตนในระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้ หากต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่
เหมือนกับเขาที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติก่อน ต้องใช้วัฏจักรฟื้นคืนชีพของยุคแห่งความโกลาหลหนึ่ง จึงจะมีโอกาสมาเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
การแลกเปลี่ยนนี้ยิ่งใหญ่เกินไป !
แน่นอนว่า หลัวซิวชี้แนะการฝึกตนให้กับพวกเขา ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขา เดินตามแผนที่ตนเองวางเอาไว้ทุกย่างก้าวได้ เขาเพียงชี้แนะให้กับพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น ให้พวกเขาเดินถูกทาง และไม่เดินเข้าไปสู่ทางตัน ในอนาคต จะครอบครองความสำเร็จเช่นนี้ได้ ที่สำคัญที่สุดคือต้องพึ่งพาตัวของพวกเขาเอง
ส่วนเรื่องวิชา หลัวซิวเองก็ไม่ได้ตระหนี่ เขามีวิชาที่แข็งแกร่งจำนวนมาก ในความทรงจำเมื่อชาติก่อนอยู่ในครอบครอง เขานำวิชาจำนวนหนึ่งออกมา และให้ลวี่โหลวนำไปเก็บเอาไว้ในหอไตร
เมื่อดูจากจุดเริ่มต้นของภูเขาว่านเริ่น หากต้องการลืมตาอ้าปากอย่างฉับพลัน ไม่เพียงต้องอาศัยการยกระดับผลการฝึกตนของพวกลวี่โหลว หงเหยียน และจงหลีโป๋เท่านั้น แต่ยังต้องฝึกฝนศิษย์รุ่นเยาว์ของภูเขาว่านเริ่นที่มีศักยภาพ จริงใจ และไม่มีปัญหาเหล่านั้น ด้วยการถ่ายทอดวิชาพลังอมตะระดับเทพระดับแปด มีเพียงวิชาระดับเทพระดับเก้าขึ้นไปเท่านั้น ที่ต้องอยู่ในมือของผู้ที่เป็นใจกลาง
เหตุการณ์สังหารหลู่ปู้เหว่ยผ่านไปพักใหญ่อย่างรวดเร็ว สำนักเซียนต้าโหลวเองก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรุนแรง และอาจารย์ปู่ของสำนักเซียนต้าโหลวเองก็ไม่ได้ลงมือง่าย ๆ เพราะภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าของเขาก็คือ การเฝ้าดูแลดาราต้าหลัว ปกป้องผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก
ส่วนความสามารถที่เป็นไพ่ไม้ตายของภูเขาว่านเริ่น สำนักเซียนต้าโหลวเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าคืออะไร ดังนั้นจึงไม่คิดลงมือด้วยความประมาท อย่างไรเสีย หากศึกใหญ่เริ่มต้นขึ้นจริง เสือสองตัวต่อสู้กันย่อมมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บ ซึ่งสำนักเซียนต้าโหลวไม่ยินยอมให้ความสามารถของตนเองถูกทำลายไปมากนัก
“เปรี้ยง……”
วันนี้ท้องฟ้าเหนือภูเขาว่านเริ่นแปรปรวนอย่างรุนแรง มีทัณฑ์สายฟ้าพิโรธฟาดลงมา หลังจากโหมกระหน่ำลงมาอย่างคงที่เป็นเวลานาน ในที่สุดผลการฝึกตนของหลัวซิวก็บรรลุถึงแดนเทพมารระดับห้าขั้นสูงแล้ว
เหยียนเยว่เอ๋อร์ เหยียนซีโรว่ เสิ่นปิงหยู ฉียู่หรง ลวี่โหลว หงเหยียน จงหลีโป๋ ซิงเฉิน รวมถึงลาร์ พวกเขาล้วนมาถึงหุบเขาเทพจันทรา ด้านหนึ่งก็เพื่อเป็นผู้คุมกฎให้กับเขา ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ฉากที่เขาข้ามผ่านทัณฑ์ ดูว่าจะพอตระหนักรู้อะไรบางอย่างจากเรื่องนี้ได้หรือไม่
การบรรลุแดนเล็กก็มีการปรากฏขึ้นของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ สิ่งนี้สำหรับหลายคนแล้วนับเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ถึงแม้ผลการฝึกตนของหลัวซิวไม่นับว่าสูงนัก แต่จำนวนครั้งที่เขาต้องผ่านการฟาดของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ เรียกได้ว่ามากกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้รวมกันเสียอีก
ทัณฑ์สายฟ้าของเขา น่ากลัวยิ่งกว่าทัณฑ์สายฟ้าของเทพมารระดับหกที่บรรลุเป็นเทพมารระดับเจ็ดเสียอีก เพราะเขาคือผู้บำเพ็ญปรปักษ์ วิถียุทธ์ของเขาเหนือกว่าวิถีอันยิ่งใหญ่จำนวนมากในจักรวาล ทั่วทั้งฟ้าดินไม่อาจทนได้ !
ตอนที่ข้ามผ่านทัณฑ์ หลัวซิวก็ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเร้นลับของพลังอมตะมากมาย อย่างเช่นเวทย์ย้ายเขาถล่มฟ้า หรือแม้แต่เคล็ดวิชาพลังอมตะอื่น ๆ ถึงแม้พลังที่เขาเปลี่ยนแปลงออกมานั้น ยังไม่อาจเทียบได้กับลวี่โหลว แต่สิ่งเร้นลับและแดนที่เขาเปลี่ยนแปลงออกมานั้น กลับไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมถึง
นี่คือการข้ามผ่านทัณฑ์ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ราวกับสิ่งเร้นลับของวิชาพลังอมตะทุกประเภทที่หลัวซิวเป็นผู้เปลี่ยนแปลงออกมานั้น ล้วนอธิบายความลึกลับทั้งหมดได้อย่างกระจ่าง
หลังจากที่ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธจางหายไป ร่างกายของหลัวซิวก็ค่อย ๆ ลอยลงมาสู่พื้นดิน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลวี่โหลว “ยาเซียนที่ข้าให้จัดเตรียม ครบถ้วนแล้วหรือยัง ?”
“เตรียมไว้คบแล้ว เชิญท่านนายตรวจสอบดู”
ลวี่โหลวหยิบแหวนเก็บของวงหนึ่งออกมาแล้วยื่นไปให้ ภายในบรรจุยาเซียนล้ำค่าชนิดต่าง ๆ
ยาเซียนเหล่านี้ ทุกเม็ดล้วนอยู่ในระดับเทพระดับแปด เมื่อยาเซียนจำนวนมากรวมเข้าด้วยกัน ก็สามารถกลั่นออกมาเป็นยาเซียนระดับแปดหนึ่งหม้อได้ !
ผลการฝึกตนยิ่งสูงเท่าไร ก็จะยิ่งยกระดับได้ยากขึ้นเท่านั้น แต่ความต้องการทรัพยากรชั้นยอดก็จะยิ่งมีมากขึ้น และทรัพยากรชั้นยอดเหล่านี้ ล้วนเป็นของที่ขาดแคลนมากที่สุด ดังนั้นของจำพวกยาเซียน จึงนับเป็นของที่มีความต้องการสูงมาตลอด นี่คือสาเหตุที่ทำให้นักกลั่นยามีฐานะที่มั่นคง
หลังจากข้ามผ่านทัณฑ์ในครั้งนี้ หลัวซิวจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในการบรรลุเทพมารระดับหก กฎเกณฑ์ของแดนใหญ่บรรลุได้ยากที่สุด ยาเซียนที่ใช้ไม่เหมือนกับที่ใช้ในการฝึกตนทั่ว ๆ ไป
หากเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับหก การใช้ยาเซียนระดับเจ็ดชั้นยอดเล็กน้อย ก็สามารถยกระดับการฝึกตนได้ แต่ถ้าหากฝ่าฝันกฎเกณฑ์ของแดนใหญ่ไปได้ ต่อให้เป็นยาเซียนระดับเจ็ดชั้นยอด ก็ได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีเพียงแค่ยาเซียนระดับแปดเท่านั้นถึงจะใช้การได้
ในหลายปีมานี้ หลัวซิวบ่มเพาะอัคคีเทพชีวีมาโดยตลอด แม้ไม่อาจบรรลุพลังแห่งเกณฑ์ในระดับเทพระดับเจ็ดได้ แต่หากพึ่งพาเคล็ดวิชาบางอย่าง ก็พอจะฝืนกลั่นแปรยาเซียนระดับแปดออกมาได้
ส่วนวิชากลั่นยา เป็นวิชาที่หลัวซิวถนัดที่สุด ขอเพียงกลั่นแปรยาเซียนระดับแปดออกมาได้ เขาก็ย่อมกลั่นยาเซียนระดับแปดออกมาได้อย่างแน่นอน !
“ลำบากเจ้าแล้ว”
หลัวซิวเองรู้ดีว่า ด้วยสถานการณ์ของภูเขาว่านเริ่นในตอนนี้ การรวบรวมยาเซียนสำหรับกลั่นยาเซียนระดับแปดออกมาสักหม้อ ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
การบรรลุถึงแดนเทพมารระดับหกให้เร็วที่สุด ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหลัวซิว เพราะมีเพียงผลการฝึกตนที่บรรลุถึงระดับหกเท่านั้น เขาจึงจะมั่นใจว่าสามารถอาศัยวิถีไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงพลังแห่งเกณฑ์ออกมาได้ !
ทันทีที่เขาครอบครองพลังแห่งเกณฑ์ ความสามารถของเขาถึงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฝ่ามือ