มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2671 สำนักมังกรฟ้า
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2671 สำนักมังกรฟ้า
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลัวซิวพูดออกมา สีหน้าของสวีเจี้ยนชิวก็หมองคล้ำลงทันที เข้าพูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “เป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ แน่ใจแล้วหรือว่าจะเอาชนะข้าได้ ?”
ถึงแม้สวีเจี้ยนชิวจะหยิ่งยโส แต่ก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม เขาได้ยินมานานแล้วว่า ศิษย์เอกคนใหม่ของภูเขาว่านเริ่นแห่งนี้ มีพรสวรรค์ในระดับจักรพรรดิเทพ
ในสายตาของสวีเจี้ยนชิว สิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ เป็นเพียงกลอุบายที่ภูเขาว่านเริ่นสร้างขึ้นมาเท่านั้น อย่างไรเสีย ในระบบดาวมังกรฟ้า ยังไม่เคยได้ยินว่า มีใครสามารถครอบครองพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพได้ ถึงแม้จะมี ก็ต้องเข้าร่วมสำนักมังกรฟ้าอย่างแน่นอน จะมาเข้าร่วมภูเขาว่านเริ่นที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาได้เพียงไม่กี่ปีได้อย่างไร ?
ต่อให้เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพจริง แล้วอย่างไร ? ดูจากความผันผวนของผลการฝึกตนแล้ว หลัวซิวผู้นี้ มีผลการฝึกตนอยู่เพียงเทพมารระดับห้าช่วงกลางเท่านั้น อย่างมาก ก็มีความสามารถทัดเทียมกับเทพมารระดับหกช่วงกลางเท่านั้น ส่วนตัวของสวีเจี้ยนชิวเองนั้น เป็นถึงเทพมารระดับหกขั้นสูง ซึ่งไม่จัดว่าเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันเลยสักนิด
หลัวซิวไม่ได้สนใจคำเยาะเย้ยของสวีเจี้ยนชิว เขาเพียงพูดขึ้นช้า ๆ ว่า “หากเจ้าอยากคลานออกไป ข้าก็จะหักขาทั้งสองข้างของเจ้า และเหลือมือสองข้างเอาไว้ให้เจ้าใช้งาน แต่ถ้าหากเจ้าอยากถูกหามออกไป นั่นก็ยิ่งง่าย ข้าจะหักแขนขาของเจ้าให้หมด เช่นนั้นเจ้าก็ถูกหามออกไปได้เพียงอย่างเดียวแล้ว”
เมื่อคำพูดทำนองนี้ ดังเข้าในหูของสวีเจี้ยนชิว ทำให้แววตาของเขาปรากฏเจตนาฆ่าที่รุนแรงออกมาทันที “ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพจริง ๆ นะหรือ ? ต่อให้เจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ ก็ไม่มีสิทธิ์ทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้าข้า !”
“พอได้แล้ว !”
หลัวซิวยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด หงเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เดินออกมาด้วยใบหน้าอันงดงามที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง “ภูเขาว่านเริ่นไม่ใช่สำนักมังกรฟ้า เพราะฉะนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์มาอวดเบ่งที่นี่ !”
ขณะที่พูดอยู่นั้น หงเหยียนก็ลงมือทันที สวีเจี้ยนชิวเองก็คิดไม่ถึงว่า หงเหยียนจะกล้าลงมือกับตนเอง สีหน้าที่หยิ่งยโสจึงกลับกลายเป็นแข็งทื่อขึ้นในทันที
เดิมที เขาคิดว่าหลัวซิวไม่ใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันกับตนเอง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหงเหยียน ทั้งสองเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ความสามารถระดับราชาเทพที่เขาพูดถึงนั้น ไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าหงเหยียน ผ่านไปเพียงครู่เดียว ก็ถูกทำร้ายจนใบหน้าบวมเป่ง
หงเหยียนลงมืออย่างออมแรง ถึงแม้นางจะรู้สึกดูถูกคนอย่างสวีเจี้ยนชิวเป็นอย่างยิ่ง แต่ภูเขาว่านเริ่นยังคงต่างชั้นจากสำนักมังกรฟ้ามากจริง ๆ หากนางลงมือเกินกว่าเหตุ จนทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดหมางกัน อาจส่งผลเสียให้กับภูเขาว่านเริ่นได้
หลัวซิวสังเกตเห็นถึงความกังวลในขณะที่หงเหยียนลงมือ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หงเหยียน เจ้าไม่ได้กินข้าวหรืออย่างไร ? อีกเดี๋ยวให้คนแบกเขาโยนออกจากภูเขาว่านเริ่นไปเสีย !”
แต่ไหนแต่ไรมา ภูเขาว่านเริ่นถดถอยและต่ำต้อยลงทุกวัน ๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะแผนการระหว่าง เขาและราชาเทพว่านเริ่นที่วางไว้ในตอนแรก เพราะมีเพียงวิธีนี้ ที่จะสามารถรักษาภูเขาว่านเริ่นให้อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ และรอการกลับมาของเขาอีกครั้ง หลังจากฟื้นคืนชีพ
ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ภูเขาว่านเริ่นจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวต่ำต้อยอย่างเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป ก็แค่สำนักมังกรฟ้าที่ไม่นับว่าเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมารังแกภูเขาว่านเริ่นได้ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว แววตาของหงเหยียนก็ปรากฏความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อหวนนึกถึงฐานะและที่มาที่ไปที่ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่งของหลัวซิว ทำให้นางลงมืออย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น หลังจากได้ยินเสียง ศิษย์หลายคนของภูเขาว่านเริ่นที่มาสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ ต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลัง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ธิดาเทพผู้อ่อนโยนและสงบนิ่งมาตลอด จะลงมือได้อย่างโหดร้ายเช่นนี้
“เจ้าทำได้ดีมาก เจ้าจงจำเอาไว้ ราชาเทพว่านเริ่นคืออาจารย์ปู่ของพวกเจ้า ภูเขาว่านเริ่นเคยเป็นผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ หากต้องกลัวแม้กระทั่งสำนักมังกรฟ้าเล็ก ๆ จะไม่เท่ากับเป็นการทำให้อาจารย์ปู่ของพวกเจ้าต้องเสียหน้าหรอกหรือ ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลัวซิวแล้ว หงเหยียนก็ยิ่งลงมือหนักขึ้น จนกระทั่งทำให้สวีเจี้ยนชิวนั้นหมดสติไป จากนั้นก็ถูกบรรดาศิษย์ของภูเขาว่านเริ่น จับโยนออกไปนอกภูเขาว่านเริ่น
หลัวซิวรู้สึกปลื้มใจไม่น้อย ที่หงเหยียนยอมฟังคำสั่งของตนเอง อย่างน้อยก็หมายความว่า คนรุ่นหลังของว่านเริ่นมีสติปัญญาอยู่บ้าง ไม่ใช่พวกโง่เกินเยียวยา
“ท่านนาย ความสามารถของภูเขาว่านเริ่นเรา ด้อยกว่าสำนักมังกรฟ้าไม่น้อยจริง ๆ” ถึงแม้ตอนต่อสู้จะรู้สึกสนุกและมีความสุข แต่หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว หงเหยียนก็ยังอดกังวลใจไม่ได้
เพราะนางรู้ดีว่า บิดาของสวีเจี้ยนชิวคือผู้อาวุโสที่กุมอำนาจของสำนักมังกรฟ้า จึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เรื่องนี้การทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างสำนักมังกรฟ้ากับภูเขาว่านเริ่นขึ้นได้
แต่ไหนแต่ไรมา สำนักมังกรฟ้าเห็นภูเขาว่านเริ่นเป็นเสี้ยนหนามมาโดยตลอด แต่เพราะกลัวเส้นสนกลในและวิธีการอันแข็งแกร่งที่ราชาเทพว่านเริ่นทิ้งเอาไว้ ดังนั้นจึงยังไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ
ที่จริงแล้ว สำนักมังกรฟ้าเคยยื่นข้อเสนอที่จะให้หงเหยียนแต่งงานเข้าไป นี่ถือเป็นการหยั่งเชิงภูเขาว่านเริ่นวิธีหนึ่ง
ไม่นานนัก เรื่องที่สวีเจี้ยนชิวถูกคนทำร้ายบาดเจ็บสาหัสในภูเขาว่านเริ่น ก็รู้ไปถึงสำนักมังกรฟ้า เรื่องนี้ ทำให้ผู้อาวุโสผู้ซึ่งเป็นบิดาของสวีเจี้ยนชิวโกรธจัด
บิดาของสวีเจี้ยนชิว มีนามว่าสวีเจาหลง เป็นผู้อาวุโสที่มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนเทพมารระดับเจ็ด
ในโลกมหาศักดิ์แปดด้าน สำนักตระกูลที่มีเทพมารระดับแปดเป็นผู้นำนั้น นับว่ามีพลังอำนาจที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่แล้ว อย่างไรเสีย เทพมารระดับเก้าก็มีอยู่เพียงน้อยนิด และส่วนมากมักเป็นผู้นำของกองกำลังใหญ่ระดับแนวหน้า ได้รับการเคารพบูชาเหมือนเทพเจ้า
ส่วนผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น จะต้องมีผู้นำที่เป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นราชาเทพระดับเก้าเป็นอย่างน้อย อย่างเช่นภูเขาว่านเริ่นที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นกองกำลังในระดับนี้เช่นเดียวกัน
แต่หลังจากที่ราชาเทพว่านเริ่นปลงสังขารไปแล้ว ก็ไม่มีราชาเทพระดับเก้าปรากฏตัวขึ้นอีก จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เวลาก็ล่วงเลยมาเนิ่นนาน บางกองกำลังก็ถดถอย บางกองกำลังก็เฟื่องฟู เหมือนกลับคลื่นที่มีขึ้นมีลงไม่แน่นอน
“ภูเขาว่านเริ่นตัวดี กล้าแตะต้องแม้กระทั่งลูกชายของผู้อาวุโสอย่างข้า คิดว่าพวกเขายังเป็นผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเช่นแต่ก่อนอีกหรืออย่างไร ?”
สวีเจาหลงโกรธจัด เขาเดินจ้ำอ้าวออกมาจากพื้นที่ฝึกตน จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังพระราชวังของเจ้าสำนักมังกรฟ้า
ทันทีที่เขาเข้ามา เสียงของเจ้าสำนักมังกรฟ้าก็ค่อย ๆ ดังขึ้น “ผู้อาวุโสสวี ข้ารู้จุดประสงค์ในการมาของท่านแล้ว ท่านสามารถพาคนไปถามหาความรับผิดชอบที่ภูเขาว่านเริ่นได้”
สวีเจาหลงตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็โน้มตัวคารวะคนที่นั่งอยู่ในส่วนลึกของพระราชวัง “ขอรับ !”
หลังจากขานรับแล้ว สวีเจาหลงก็หันหลังแล้วเดินจากไป ส่วนใบหน้าของเจ้าสำนักมังกรฟ้านั้น เขากลับไม่เคยเห็นแม้สักครั้ง
“คิดไม่ถึงเลยว่าภูเขาว่านเริ่นจะกล้าแกว่งเท้าหาเสี้ยน ข้าอยากรู้เหมือนกันว่า พวกเจ้ายังจะมีวิธีและเส้นสนกลในอะไรอีก”
ภายในพระราชวัง เสียงที่ไร้ความรู้สึกของเจ้าสำนักมังกรฟ้าดังก้องอยู่
สวีเจาหลงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก เขาก็รวบรวมสมัครพรรคพวก พร้อมทั้งผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้าอีกสองคน และลูกศิษย์อีกจำนวนหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังภูเขาว่านเริ่นอย่างสมศักดิ์ศรี
ตอนที่คนของสำนักมังกรฟ้ามาถึง ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งห้าของภูเขาว่านเริ่นก็รู้ข่าวในทันที และต่างก็ค่อย ๆ หน้าถอดสี
“อาจารย์ ให้ใช้ค่ายกลป้องกันหรือไม่ ?” ผู้อาวุโสคนหนึ่ง หันไปเสนอแนะประมุขเขาลวี่โหลว
“ก็แค่ผู้อาวุโสตัวเล็ก ๆ สามคนกับศิษย์ที่ไม่เข้าชั้น คนพวกนี้ยังไม่มีคุณสมบัติพอถึงขั้นที่จะให้พวกเราภูเขาว่านเริ่นใช้ค่ายป้องกันใหญ่ได้”
ลวี่โหลวพูดขึ้นเบา ๆ “ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหลัวซิว ก็ให้เขาเป็นคนแก้ไขเถิด”
“อะไรนะ ? ! นี่มัน……”
ผู้อาวุโสทั้งห้าต่างผงะไป นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของภูเขาว่านเริ่น อาจารย์เจ้าสำนักเขากลับมองอำนาจในการจัดการทั้งหมดให้กับศิษย์ใจกลางที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักได้เพียงไม่กี่ปี ?
“ศิษย์พี่หลัว !”
อิงฉงมาถึงด้านนอกของหุบเขาเทพจันทรา แน่นอนว่าเขาถูกผู้อาวุโสส่งมาให้แจ้งข่าวกับหลัวซิว
“อ้อ ? มาเร็วดีนี่”
เมื่อได้ยินว่าคนของสำนักมังกรฟ้าเดินทางมาหาถึงที่ หลัวซิวกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น อยู่ในการคาดคะเนของเขาทั้งหมดแล้ว
เชิงเขาภูเขาว่านเริ่น มีลูกศิษย์รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสที่น่าเกรงขามทั้งสามคนของสำนักมังกรฟ้า บรรดาศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้ายามเหล่านี้ ต่างก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น
แต่ยังมีลูกศิษย์หนึ่งในนั้นที่พยายามรวบรวมความกล้า แล้วพูดขึ้นว่า “ที่นี่เป็นที่ของภูเขาว่านเริ่น ไม่ทราบว่าผู้มาเยือนคือใคร ?”
“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ! ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสามของสำนักมังกรฟ้าเราเดินทางมาด้วยตนเอง เจ้าสำนักภูเขาว่านเริ่นยังไม่รีบออกมาต้อนรับอีกหรือ ?”
ศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังสวีเจาหลงตะคอกขึ้นมา จากนั้นจึงฟาดฝ่ามือออกไปกลางอากาศ
เผียะ !
ศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้ายามคนเมื่อครู่ ลอยกระเด็นออกไปทันที สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้ายามคนอื่น ๆ เข้าใจทุกอย่างในทันที คนที่มาจากสำนักมังกรฟ้า ล้วนประสงค์ร้าย !
หลัวซิวและผู้อาวุโสทั้งห้าเดินออกมาจากภูเขาว่านเริ่น และเห็นภาพที่ศิษย์เฝ้ายามถูกทำร้ายเข้าพอดี ผู้อาวุโสทั้งห้ามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้ก้าวออกมาพูดอะไร และไม่คิดที่จะออกหน้าแทนศิษย์เฝ้ายามคนนั้น
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น ในขณะเดียวกันก็รู้สึกทอดถอนใจ ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ของภูเขาว่านเริ่นและสำนักมังกรฟ้า ล้วนมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับเทพมารระดับเจ็ด แต่ในแง่ของอำนาจ กลับดูด้อยกว่าไม่น้อย
“ดูเหมือนภูเขาว่านเริ่นจะตกต่ำไปนาน ทำให้คนของที่นี่ระมัดระวังตัวมากเกินไป”
หลัวซิวส่ายหน้า เขาขยับตัวอย่างรวดเร็ว แล้วหายวับไปจากที่เดิมทันที
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งห้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยังไม่ทันตั้งตัว กว่าพวกเขาจะตั้งสติได้ หลัวซิวก็ไปปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางคนของสำนักมังกรฟ้าเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว
เผียะ !
เสียงตบหน้าดังลั่นนี้ ศิษย์ของสำนักมังกรฟ้าที่ทำร้ายศิษย์เฝ้ายามเมื่อครู่ ถูกฝ่ามือของหลัวซิวปะทะเข้าจนร่างกายลอยกระเด็นออกไปไกล ฟันหลุดกระเด็น เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
“ศิษย์ของภูเขาว่านเริ่นเรา จะปล่อยให้เจ้ามารังแกได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ?”
หลัวซิวรู้ดีว่าคนของสำนักมังกรฟ้าเหล่านี้มาด้วยจุดประสงค์ร้าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเขาจะเกรงใจอีกทำไม ?
หากภูเขาว่านเริ่นต้องการลุกขึ้นมากอบกู้ความรุ่งเรืองในอดีตคืนมาอีกครั้ง ก็ต้องมีบันไดให้ก้าวเดินไปข้างหน้า และไม่มีบันได้ไหนที่จะเหมาะสมไปกว่าสำนักมังกรฟ้าอีกแล้ว !
“สามหาว !” สวีเจาหลงตะโกนด้วยความโกรธ ทำไมเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ศิษย์ของภูเขาว่านเริ่นจะยโสโอหังได้ถึงเพียงนี้ กล้าทำร้ายศิษย์ของสำนักมังกรฟ้าต่อหน้าเขา
“ฆ่าเขาเสีย !”
ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของสำนักมังกรฟ้าลงมือพร้อมกัน แต่ละคนล้วนดึงเอาศัสตราวุธของขลังออกมา แล้วแทงเข้าใส่หลัวซิว
ส่วนพวกของผู้อาวุโสสวีเจาหลงทั้งสาม กลับสงวนท่าทีไว้และยังไม่ลงมือ แต่สายตากลับจ้องเขม็งไปยังผู้อาวุโสทั้งห้าของภูเขาว่านเริ่น
หลัวซิวลงมืออย่างปรานี ไม่ว่าจะเป็นสวีเจี้ยนชิวก่อนหน้านี้ หรือว่าศิษย์ของสำนักมังกรฟ้าที่ทำร้ายศิษย์เฝ้ายามในตอนหลัง หลัวซิวต่างไม่ได้ลงมืออย่างสุดกำลัง
แต่ตอนที่บรรดาศิษย์ของสำนักมังกรฟ้าเหล่านี้ลงมือกับเขา กลับไม่คิดจะออมแรงเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนลงมืออย่างดุเดือด และคิดจะฆ่าเขาให้ตายในทันที
ดวงตาของหลัวซิวเผยประกายของความเย็นชา เขาลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อน และปล่อยให้ศัสตราวุธของขลังทิ่มแทงมาบนตัว ส่งเสียงดังกึกก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ไสหัวไป !”
เสียงตะโกนดังขึ้น ศัสตราวุธของขลังลอยกระเด็นออกไปทันที ด้วยพลังงานที่เต็มเปี่ยม ทำให้สลายกลายเป็นผุยผงและเถ้าอยู่กลางอากาศ
ในขณะเดียวกันนี้ หลัวซิวก็ปล่อยหมัดจ้านเทียนออกไปทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ราวกับสัตว์ร้ายโบราณที่กระโจนออกมาอย่างดุร้าย พลังของมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เกิดเสียงดังสนั่น ศิษย์จำนวนมากของสำนักมังกรฟ้าต้านไม่ได้แม้กระทั่งหมัดของหลัวซิว ภายใต้แรงกระแทกจากการโจมตีที่รุนแรง ทำให้ทุกคนกระอักเลือดแล้วลอยกระเด็นไป
“เป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งจริง ๆ !”
ทันทีที่หลัวซิวลงมือ ทำให้พวกของผู้อาวุโสสวีเจาหลงทั้งสามต้องจ้องตาเขม็ง เห็นได้ชัดว่าผลการฝึกตนของเด็กหนุ่มคนนี้ มีคลื่นพลังงานอยู่ในระดับเทพมารระดับห้าช่วงกลาง แต่พลังที่ปะทุออกมาจากทุกอิริยาบถ แม้แต่ศิษย์ระดับเทพมารระดับหกจำนวนหลายคนต่างไม่อาจรับมือได้
“อย่าเพิ่งได้ใจนัก ก็แค่อาศัยร่างเนื้อที่แข็งแกร่งเท่านั้น ข้าฮั่วหยุนฉีจะขอจัดการกับเจ้าเอง !”
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเดินออกมา ร่างกายปล่อยคลื่นพลังงานของผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับหกขั้นสูงออกมา คนผู้นี้คือศิษย์พี่ของสวีเจี้ยนชิว และเป็นศิษย์ที่สวีเจาหลงภาคภูมิใจ
ร่างกายของฮั่วหยุนฉีสั่นสะเทือน มังกรทองสามสิบหกตัวพุ่งตรงออกมาจากในร่างกายของเขา มังกรทะยานขึ้นไป แล้วกลายร่างเป็นกระบี่ พลังสังหารปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศทาง และพุ่งกระหน่ำเข้าใส่หลัวซิวในทันที
สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้น เป็นพลังอมตะอย่างหนึ่งของสำนักมังกรฟ้า ชื่อว่า พลังกระบี่มังกรฟ้า พลังอมตะนี้แบ่งออกเป็นสามแดนใหญ่ แดนแรกสามารถรวบรวมพลังกระบี่สิบแปดเล่ม แดนที่สองพลังกระบี่สามสิบหกเล่ม และแดนที่สูงที่สุดพลังกระบี่เจ็ดสิบสี่เล่ม !
ในฐานะที่เป็นศิษย์ใจกลางของสำนักมังกรฟ้า ฮั่วหยุนฉีผู้นี้ย่อมมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ในขณะที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับเทพมารระดับหก ก็สามารถฝึกตนพลังอมตะวิชานี้ได้จนถึงระดับแดนที่สองแล้ว