มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2646
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2646
การสูญเสียของเผ่าจี้เองก็ไม่น้อยเช่นเดียวกัน ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิเทพสิ้นชีพไปหนึ่งคน ภายใต้การนำของซิงเฉินตระกูลเทพสงครามกวาดราบทุกทิศที่โจมตี คนในตระกูลนับแสน ก็เหลือเพียงเจ็ดหมื่นเท่านั้น
ในตำหนักใหญ่ของเผ่าจี้ ผู้คนได้รวมตัวกันอีกครั้ง แม้ว่าทุกคนจะเอาชนะศึกในครั้งนี้ แต่การสูญเสียก็ใหญ่หลวงมากเกินไปจริง ๆ
เมื่อเห็นท่าทางเคร่งเครียดของทุกคน หลัวซิวก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ทว่าเขากลับรู้แก่ใจดี ในโลกแห่งการฝึกยุทธ์ ทันทีที่เกิดสงครามระหว่างกองกำลังใหญ่เช่นนี้ขึ้น ความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นักยุทธ์ในดาราจักรวาลมีแค่พันล้านคนเสียที่ไหนกัน? ทรัพยากรในการฝึกฝนที่จำกัด ท้ายที่สุดก็อยู่ในมือของคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น คนส่วนมากจะถูกทอดทิ้ง ดับสลายไปในเส้นทางแห่งกาลเวลา
“ทุกท่านอย่าได้เสียใจนักเลย พวกเราได้ชนะศึกในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีการสูญเสียอย่างหนักแต่การสูญเสียพวกนี้ ล้วนสามารถชดเชยกลับคืนมาได้!”
หลัวซิวกล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพียงชั่ววินาทีสายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่เขา อยากฟังดูว่าจะสามารถชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปกลับมาได้อย่างไรกันแน่
“ก่อนอื่นสิ่งที่ข้าอยากจะบอกกับทุกคนก็คือ ตระกูลหงไม่มีอยู่อีกแล้ว ก่อนสงครามครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น ข้าก็ได้ส่งคนไปทำลายรากฐานของตระกูลหงเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นสามารถพูดได้ว่าโลกาโกลาหลไม่มีผู้นำอยู่อีกแล้ว กองกำลังในโลกาโกลาหล อย่างมากก็มีจักรพรรดิเทพเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น แค่มหาจักรพรรดิยุทธ์คนใดคนหนึ่งก็สามารถควบคุมได้แล้ว”
เมื่อได้ฟังหลัวซิวพูดเช่นนี้ บรรพอาจารย์ตะกูลมู่กับตันเม่ยต่างดวงตาเป็นประกายขึ้นมา ทรัพยากรของมหาโลกาแห่งหนึ่งนั้นอุดมสมบูรณ์มากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลมู่หรือว่าวังเซียนมหาวาล หากสามารถควบคุมสองมหาโลกาพร้อมกันได้ ใช้เวลาไม่กี่ปี ก็จะสามารถเลี้ยงดูฝึกฝนยอดฝีมือจำนวนมากออกมาได้อีกครั้ง
“ใครจะเป็นผู้ควบคุมโลกาโกลาหลนั้นพวกเราเอาไว้ก่อน เพราะในมหาโลกาพันสามก็ยังมีกองกำลังอื่นคอยจ้องจะตะครุบอยู่เช่นเดียวกัน”
หลัวซิวเห็นปฏิกิริยาของทุกคน จึงได้กล่าวต่อ “ผ่านศึกครั้งนี้ สำนักจักรพรรดิแสงดาวกับสำนักจักรพรรดิจ้านเทียนเองก็สูญเสียมหาศาลเช่นเดียวกัน บรรพอาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่างก็ดับสิ้นไป ดังนั้นความสามารถของเราในตอนนี้ สามารถกำจัดพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เช่นนี้แล้ว ก็จะมีอีกสองมหาโลกาที่ไม่มีผู้นำ”
“สิ่งเดียวที่พวกเราไม่มั่นใจว่าจะรับมือได้ในตอนนี้ ก็คือเขาดึกดำบรรพ์ แม้ว่าซือถูเซิ่งเจี๋ยเจ้าแห่งเขาดึกดำบรรพ์จะถูกพวกเราสังหาร แต่รากฐานของเขาดึกดำบรรพ์จะต้องยังคงแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน จำเป็นต้องวางแผนระยะยาว”
“กำจัดเขาดึกดำบรรพ์ไม่ได้ ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์ เขาดึกดำบรรพ์ควบคุมเส้นทางดารา สามารถเชิญผู้แข็งแกร่งมาจากโลกร้างได้อย่างง่ายดาย” มหาจักรพรรดิยุทธ์โยวหมิงภูมิกล่าวเสียงเข้ม
“เขาดึกดำบรรพ์ต้องกำอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ยังกำจัดไม่ได้ ส่วนเรื่องการเชิญคนมาจากโลกร้าง เกรงว่าคงไม่ง่ายนัก ไม่อย่างนั้นละก็แค่เชิญเทพมารระดับเจ็ดมาคนหนึ่งก็สามารถกวาดล้างพวกเราให้ราบเป็นหน้ากลองได้ เหตุใดต้องวุ่นวายเช่นนี้?”
หลัวซิวกล่าวเช่นนี้ ครั้งนี้ตำหนักเสินหยูมีมหาจักรพรรดิยุทธ์มาสามคน คนหนึ่งคือมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูงอีกสองคน แต่ไม่มีเทพมารระดับเจ็ด เลยทำให้หลัวซิวเดาว่า ถ้าไม่ใช่เส้นทางดาราของเขาดึกดำบรรพ์มีปัญหา เทพมารระดับเจ็ดไม่สามารถข้ามมิติมาได้อย่างง่ายดาย หรือไม่ก็ตำหนักเสินหยูในโลกร้างหรืออาจจะเป็นเขาดึกดำบรรพ์ แท้จริงแล้วไม่มีเทพมารระดับเจ็ด!
ความเป็นไปได้ข้อหลังนั้นมีไม่มากนัก หากไม่มีเทพมารระดับเจ็ดละก็ อาวุธเทพระดับเจ็ดอย่างภูเขาเซียนดึกดำบรรพ์ได้มาจากที่ไหนกัน? อย่างน้อยมหาจักรพรรดิยุทธ์ดึกดำบรรพ์ผู้ก่อตั้งเขาดึกดำบรรพ์ ผลการฝึกตนของเขาต้องบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดอย่างแน่นอน
เทพมารระดับเจ็ด เป็นภัยแอบแฝงที่ใหญ่ที่สุด หลัวซิวคิดว่าตนเองต้องรีบจัดการมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาลที่อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาลั่วหยุนโดยเร็วที่สุด ขอเพียงลาร์สามารถสำแดงความสามารถทั้งหมดออกมาได้ อย่างน้อยในมหาโลกาพันสาม เขากับเผ่าจี้ก็นอนหลับสบายอย่างไร้กังวลได้แล้ว