มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2567
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2567
หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าถ้าเกิดชางเทียนหมิงอุบัติขึ้นมาอีกครั้ง จากตัวตนบำเพ็ญปรปักษ์ของเขา เขาเป็นผู้ที่ต้องถูกกำจัดทิ้งอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะทำเพื่อตัวเองก็ดี หรือทำเพื่ออาณาประชาราษฎร์ในห้วงดารานี้ก็ช่าง อันตรายทั้งปวงที่แฝงเร้นล้วนต้องถูกขจัดทิ้ง
เมื่อกลับออกมาจากแท่นบูชาเทพมาร หลัวซิวก็มาถึงด้านนอกของวังเทียนหมิงโดยตรง ที่นี่มีค่ายกลที่เขาจัดวางไว้เมื่อปีนั้นผนึกอยู่ อีกทั้งมีคนในเผ่าจี้เฝ้าอยู่ที่นี่ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สถานที่แห่งนี้ถูกปิดไม่ให้คนเข้าออกตลอดมา
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวมาถึงที่นี่ ผู้คนในเผ่าจี้ที่มีหน้าที่เฝ้าดูแลสถานที่แห่งนี้จึงพากันทำความเคารพ
“พวกเจ้ากลับไปได้ละ และไปบอกกับนายแห่งเผ่าจี้ด้วยว่าต่อไปไม่ต้องส่งคนมาเฝ้าที่นี่อีกแล้ว”หลัวซิวพยักหน้าพลางพูด
“นะนี่……”ผู้คนในเผ่าจี้ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ถึงแม้พวกเขาจะรู้อยู่ว่าหลัวซิวเป็นผู้ที่นายแห่งเผ่าจี้ให้ความสำคัญ แต่ผู้ที่ออกคำสั่งให้เฝ้าดูแลหุบเขาทุคติคือหัวหน้าเผ่า ในเมื่อไม่มีคำสั่งของหัวหน้าเผ่า แล้วพวกเขาจะกล้ากลับไปโดยตรงได้อย่างไร?
“พวกเจ้าบอกแค่ว่าข้าเป็นผู้ออกคำสั่งก็พอแล้ว”หลัวซิวรู้ความคิดของพวกเขาอยู่ เขาเชื่อว่าถ้าเกิดนายแห่งเผ่าจี้รู้ว่าเขาเป็นคนให้คนเหล่านี้กลับไป นายแห่งเผ่าจี้ต้องไม่ว่าอะไรแน่นอน
เขาไม่ได้พูดมากกับผู้คนในเผ่าจี้ที่เฝ้าดูแลสถานที่แห่งนี้อีก เปิดตัวต้องห้ามที่ผนึกสถานที่แห่งนี้เอาไว้ออกอย่างสบายมือ เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในหุบเขาทุคติ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลัวซิวก็มาถึงหน้าวังเทียนหมิงอีกครั้ง อีกทั้งเดินเข้าไปภายในอย่างคุ้นเคย มาถึงละแวกใกล้เคียงของศิลาที่มีคำว่าชางเทียนหมิงสลักอยู่
แต่ครั้งนี้เขาสัมผัสออร่าพิเศษจากศิลาก้อนนี้ไม่ได้แต่อย่างใด เขาจำได้ดีมาก ๆ ว่าครั้งแรกที่มาถึงที่นี่ แก่นแท้เลือดปราณของเหล่าจักรพรรดิเทพที่เดินทางมาพร้อมกันถูกดูดจนแห้งเหือดภายในพริบตา จากนั้นก็ถูกคำว่าชางเทียนหมิงที่สลักอยู่บนศิลาดูดซับกลืนกิน
หลัวซิวรู้อยู่ว่าเมื่อปีนั้นสาเหตุที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะจิตปณิธานเสี้ยวหนึ่งของชางเทียนหมิงได้สถิตอยู่บนศิลาก้อนนั้น
แต่เมื่อเขามาถึงที่นี่อีกครั้ง กลับสัมผัสพลังออร่าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ที่นี่เงียบสงบมากเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลง เขามองเห็นโครงกระดูกร่างหนึ่งที่แก่นแท้เลือดปราณถูกดูดจนเกลี้ยง ทว่าเขาก็ยังจำคนดังกล่าวได้อยู่ดี นั่นน่าจะเป็นซากกระดูกของมหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียน
เมื่อปีนั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนและมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิมาที่นี่พร้อมกัน ต่อมามหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิออกไปได้แล้ว แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนกลับเสียชีวิตอยู่ภายในนี้
“พลังออร่าของชางเทียนหมิงหายไปแล้ว!”
เงาร่างที่เลือนลางเก้าร่างเดินออกมาจากร่างกายหลัวซิว มีหนึ่งในเงาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม: “ครั้งก่อนพวกเราทั้งเก้าคนร่วมมือกันโจมตีเศษจิตปณิธานที่ชางเทียนหมิงทิ้งไว้จนสาหัส มันต้องไปหลบซ่อนที่สถานที่อื่นแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว แววตาของหลัวซิวก็เข้มงวดขึ้นมา เขานึกถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิที่มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ เมื่อปีนั้นหากไม่มีจิตตั้งร่างผันของผู้แข็งแกร่งแห่งยุคทั้งเก้าคนจุติลงมา เขาก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้แน่นอน
เกิดศึกสงครามที่ยิ่งใหญ่ระหว่างจิตตั้งร่างผันของผู้แข็งแกร่งบำเพ็ญปรปักษ์และเศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิง เศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิงบาดเจ็บสาหัส จิตปณิธานจิตตั้งของผู้แข็งแกร่งแห่งยุคทั้งเก้าก็สูญเสียพลังไปเยอะมากเช่นกัน ทำได้เพียงถดถอย
ปัจจุบันเศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิงได้หายไปแล้ว ไม่แน่มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิก็เป็นได้!
“หรือว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิไม่ใช่ตัวเขาแล้ว แต่เศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิงได้ครองวิญญาณหรือสิงสถิตอยู่ในตัวเขา?”
เมื่อนึกความเป็นไปได้นี้ได้ หลัวซิวก็รู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มแผ่นหลัง เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งไปมหาโลกะมรณะมาครั้งหนึ่ง เช่นนั้นมันก็เท่ากับเข้าไปติดกับดักเองมิใช่หรือ?
เมื่อพูดตามหลักการ หากเศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิงได้ครองวิญญาณมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิแล้วจริง ๆ เช่นนั้นก็ต้องลงมือต่อเขาแน่นอน ทว่าผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าขณะที่เขาไปสำนักจักรพรรดิมรณะ ฝ่ายตรงข้ามไม่มีท่าทีที่จะลงมือต่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับอยากร่วมงานกับตัวเองและเผ่าจี้อีก
ถึงแม้จะคิดไม่ค่อยตกว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่อย่างน้อยสุดหลัวซิวก็สามารถยืนยันได้ว่าเศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิงที่หายไป ต้องมีความเกี่ยวข้องกับมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิอย่างแน่นอน!