มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2450
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2450
เมื่อตระหนักความลี้ลับของห้วงเวลา ทำให้หลัวซิวนึกถึงเสี่ยวเจียงหมิงอย่างอดไม่ได้ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาตามหาโชคโอกาสต่าง ๆ มายกระดับผลการฝึกตนของตัวเอง ก็เพื่อชดเชยความเสียใจนี้
เมื่อปีนั้นเขาเห็นเสี่ยวเจียงหมิงถูกผู้อื่นฆ่าตายต่อหน้าต่อตาตัวเอง แต่กลับไม่สามารถยื่นมือออกไปช่วยเหลือ เรื่องนั้นส่งผลกระทบต่อหลัวซิวหนักมาก ๆ เนื่องจากสิ่งที่เขาอดทนไม่ได้มากที่สุดก็คือญาติมิตรสหายรอบกายตนถูกทำร้าย
วิถียุทธ์คืออะไร? มีคนมองว่าวิถียุทธ์คือความรุ่งโรจน์ เป็นเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในภูมิภาคแห่งหนึ่ง ดุดันเผด็จการ
และมีคนมองว่าวิถียุทธ์คืออำนาจและอิทธิพล เป็นผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด บัญชาการโลกหล้า ไม่มีผู้ใดบังอาจขัดขืน!
มีคนบางส่วนมองว่าวิถียุทธ์คือความอยู่รอด ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้า ศักยภาพมีอำนาจสูงสุด มีเพียงประสบความสำเร็จในด้านการฝึกยุทธ์ถึงจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป
สำหรับหลัวซิวแล้ว วิถียุทธ์คืออะไรล่ะ? สำหรับไท่ซ่างฉิงแล้ว วิถียุทธ์คือการแสวงหาอย่างหนึ่ง ความฝันและสิ่งที่ไท่ซ่างฉิงไล่แสวงหาทั้งชีวิตก็คือค้นหาว่าขีดจำกัดบนวิถียุทธ์คืออะไร เขาฝึกถึงแดนผู้สูงส่งแล้ว แต่กลับพบว่าวิถีของตนขาดตกบกพร่อง ขอแค่ยังอยู่ในขอบเขตของวิถีแห่งจักรวาลฟ้าดิน เช่นนั้นก็จะไม่มีวันหลุดพ้น ซึ่งผู้สูงส่งก็คือขีดจำกัดแล้ว
ดังนั้นไท่ซ่างฉิงจึงเลือกที่จะกลับชาติมาเกิด อีกทั้งวางแผนทุกอย่างเอาไว้ สุดท้ายเมื่อถึงภพชาติของหลัวซิว ก็ริเริ่มวิถีไร้ลักษณ์ซึ่งอยู่เหนือจักรวาลฟ้าดินทั้งปวง
สำหรับหลัวซิวแล้ว สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นล้วนไม่ใช่วิถียุทธ์ในใจเขา
วิถียุทธ์ของเขาคือการเฝ้าปกป้องรักษา!
ครั้นเมื่ออยู่ในเมืองชิงหยุน เขาฝึกยุทธ์ก็เพื่อสักวันจะสามารถทำให้พ่อแม่และท่านพี่ได้ใช้ชีวิตดี ๆ
ต่อมาเขาพยายามตบะอย่างสุดกำลัง ก็เพื่อให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งมาปกป้องญาติพี่น้องของตัวเองไม่ให้ถูกทำร้าย
มาตรแม้นกระทั่งบัดนี้แล้ว หลัวซิวก็ทราบเช่นกันว่านอกเหนือจากนี้แล้ว จิตใจตนก็อยากแสวงหาจุดสูงสุดบนวิถียุทธ์อย่างไท่ซ่างฉิงเช่นกัน เขาทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ก็เพื่อปกป้องรักษาผู้คนที่อยู่รอบกาย
ผลกระทบของเกณฑ์เวลา ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนตัวเองประสบวัฏสงสารของชาติปางก่อนอีกครั้ง ความรู้แจ้งเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัวใจกลายเป็นพลังออร่า แล้วตกตะกอนอยู่ในจิตใจ
การฝึกตนบนวิถียุทธ์ ตั้งแต่ได้สัมผัสกับห้วงยุทธ์ในตอนแรก ตามมาด้วยการแปรเปลี่ยนของกฎ อดีตมีคนคิดว่ากฎคือดั้งเดิมของธรรมฟ้าดิน ทว่าความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีเพียงได้สัมผัสกับเกณฑ์ ถึงจะถือว่าได้สัมผัสกับดั้งเดิมประเภทนี้อย่างแท้จริง
เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองอยู่ภายในตำหนักใหญ่ที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ค้นพบว่าตัวเองยึดกุมพลังเกณฑ์เวลาเล็กน้อย
แต่หลัวซิวกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อเหตุการณ์นี้ เนื่องจากเขาปลุกตื่นความทรงจำของไท่ซ่างฉิงตั้งนานแล้ว ซึ่งเคยยึดกุมความลี้ลับของเกณฑ์เวลามาก่อน ทว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาแค่ขาดจุดหัวเลี้ยวหัวต่อหนึ่ง และการตรัสรู้ทันทีในครั้งนี้ก็คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น ทำให้เขายึดกุมความลึกลับและมหัศจรรย์ของเกณฑ์เวลา
เวลาและวัฏสงสารมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อนำเกณฑ์เวลาและเกณฑ์วัฏสงสารยืนยันซึ่งกันและกัน ทำให้หลัวซิวได้รับดอกผลเยอะมาก ซึ่งการตระหนักรู้และผลสำเร็จเช่นนี้ แม้แต่ไท่ซ่างฉิงในอดีตยังไม่เคยได้รับมาก่อน
เนื่องจากมาตรแม้นว่าเป็นไท่ซ่างฉิง ก็ไม่เคยสัมผัสพลังวัฏสงสารมาก่อน
ค่อย ๆ ยกมือขึ้นมา มีดวงแสงดาบดวงหนึ่งผนึกรวมกันในมือหลัวซิว มีแสงเงินที่แวววาวจับตากระพริบระยิบระยับอยู่บนดวงแสงดาบ และมันก็คือดาบเพลา
คนทั่วไปบอกว่ากาลเวลาเหมือนดาบ และดาบเพลาเล่มนี้ก็คือดาบกาลเช่นกัน ซึ่งนี่ก็คือพลังอมตะแรกที่หลัวซิวตรัสรู้ได้จากเกณฑ์เวลาที่ยึดกุท
“เทียนหย่งเอ๊ยเทียนหย่ง ไท่ซ่างฉิงไม่มีค่าพอที่จะให้เจ้ากระทำเช่นนี้”หลัวซิวมองดูรอบตำหนักใหญ่ที่กว้างขวาง พลางพูดพึมพำอย่างทอดถอนใจ
เมื่อประตูใหญ่ที่มืดครึ้มเปิดออก หลังจากเกณฑ์เวลาแผ่กระจายออกไป หลัวซิวก็ทราบแล้วว่านี่คืออุบายที่เทียนหย่งทิ้งไว้เมื่อปีนั้น เกณฑ์เวลาทำให้เพลาย้อนกลับ สืบสาวเรื่องราวไปจนถึงชาติปางก่อนปัจจุบัน ยืนยันแล้วว่าเขาคือร่างไท่ซ่างฉิงที่กลับชาติมาเกิด ฉะนั้นจึงส่งเขาเข้ามาในตำหนักใหญ่แห่งนี้