มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2397
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2397
ระหว่างที่พูดนั้น ฉินเฟยเสวก็เม้มริมฝีปากสีแดงสดนั้นไว้ จากนั้นก็หยิบม้วนผังออกมาจากแหวนเก็บของ
ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้ตัวสำนึกส่งเสียงถึงหลัวซิวด้วยความกระวนกระวาย ให้เขารีบหนีเอาชีวิตรอดไป
เมื่อฉินเฟยเสวหยิบม้วนผังออกมา สายตาของชายชราชุดเขียวก็ถูกดึงดูดไปในทันที นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ที่จะหนีเอาชีวิตรอด
แต่หลัวซิวกลับหัวเราะโดยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “แม่นางฉิน อย่างไรก็เก็บของลงไปก่อนเถิด มีข้าอยู่ ไม่มีผู้ใดหน้าไหนสามารถแย่งของไปจากมือเจ้าได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินเฟยเสวก็พลันเปลี่ยนไปทันที นางไม่รู้ว่าหลัวซิวผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ผลการฝึกตนของเขาก็แค่เพียงแดนมกุฎเทพขั้นสาม ไม่รู้หรือว่าช่องว่างระหว่างผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพนั้นมันใหญ่มากเพียงใด?
แต่คำพูดนี้ของหลัวซิว ก็ไปเข้าหูของชายชราชุดเขียวผู้นั้นด้วยเช่นกัน เห็นเพียงอีกอีกฝ่ายมีสีหน้าเย็นชา พร้อมเอ่ยปากเย้ยหยัน “ผู้น้อยช่างกล้าคุยโวเหลือเกิน หากคนที่ไม่รู้ คงจะคิดไปว่าเจ้าไม่ใช่มกุฎเทพ แต่เป็นจักรพรรดิเทพเสียนี่”
ระหว่างที่พูด ชายชราชุดเขียวก็ปลดปล่อยพลังของตนให้พุ่งมากดทับหลัวซิวเอาไว้ เขาต้องการให้ไอ้หนุ่มผู้นี้รู้ว่าการพูดจาอวดดีนั้นมันมีราคาที่ต้องจ่าย
พลังกดขี่ของผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพขั้นหกถูกส่งมา สีหน้าของฉินเฟยเสวก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันที มีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก ร่างอรชรสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าในวันนี้นางจะอยู่ในแดนมกุฎเทพขั้นเจ็ดแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ใครก็ตามที่จะครอบครองความสามารถในการข้ามระดับสังหารศัตรูอย่างเช่นหลัวซิวได้
“ตาแก่ เจ้ากินข้าวไม่อิ่มหรือ? พลังเพียงน้อยนิดเช่นนี้ยังคิดจะมาข่มข้า เจ้ายังห่างไกลนัก”
หลัวซิวยิ้มออกมาบาง ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างสบาย ๆ พลังกดขี่ที่ชายชราชุดเขียวปลดปล่อยออกมานั้น พังทลายลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฉินเฟยเสวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที ชุดขาดวิ่นบนตัวของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ราวกับเพิ่งถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ
มองแผ่นหลังของหลัวซิวที่เดินตรงเข้าไปหาจ้าวมหาเทพกว่างเต๋อ ในใจของฉินเฟยเสวรู้สึกประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ถูก ใช้เวลาสามร้อยปีในการฝึกตนถึงแดนมกุฎเทพก็มากพอที่จะทำให้คนที่ได้ยินตกใจแล้ว หรือว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้คือผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพกัน?
ส่วนชายชราชุดเขียวผู้นั้นก็หน้าถอดสีเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนกับฉินเฟยเสว ตัวเขาเองรู้สึกว่าพลังที่ตนปล่อยออกไปนั้น ราวกับกระดาษสาก็ไม่ปาน มันถูกฉีกออกและแหลกสลายอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของไอ้หนุ่มผู้นี้
สิ่งนี้ทำให้จ้าวมหาเทพกว่างเต๋อราวกับหัวใจหล่นวูบตกไปอยู่ก้นเหว เขารู้ดีว่าผู้ที่สามารถทำได้ถึงเพียงนี้ ต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างมหาศาลจึงจะสามารถทำได้
เด็กหนุ่มที่มีคลื่นผลการฝึกตนเพียงแค่มกุฎเทพขั้นสาม กลับมีพลังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเขาซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพขั้นหกเสียอีก?
ถึงแม้ว่าหลัวซิวจะยังไม่ได้ลงมือ แค่เพียงเดินไปอย่างสบาย ๆ ราวกับเดินเล่น ก็มากพอที่จะทำให้จ้าวมหาเทพกว่างเต๋อรู้สึกเหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอยู่
“ไม่รู้ว่าผู้เพื่อนยุทธ์มีนามว่าอย่างไร? ข้านามว่ามู่กว่างเต๋อ เป็นผู้คุมกฎแห่งตระกูลมู่สรรพสิทธิ์”
สีหน้าของชายชราชุดเขียวเผยให้เห็นถึงความสับสน จากนั้นก็พยายามฝืนยิ้มออกมาบาง ๆ สองมือประกบคารวะต่อหลัวซิว
เขาเผยตัวตนของตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ขึ้นมาเช่นนี้ ในความจริงแล้วถือเป็นการกล่าวเตือนรูปแบบหนึ่ง ต่อให้เจ้าหนุ่มผู้นี้จะเก่งกาจกว่าตนก็ตาม แต่ก็ไม่น่าจะเก่งกาจไปได้มากกว่านี้สักเพียงใด ไม่ใช่จักรพรรดิเทพเป็นแน่ อีกทั้งต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพก็ตาม ย่อมไม่อยากจะยั่วยุตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ เพียงเพื่อจะช่วยฉินเฟยเสวคนเดียวเป็นแน่
ฉินเฟยเสวจ้องมองแผ่นหลังของหลัวซิวด้วยความตกใจ เมื่อเห็นการกระทำของมู่กว่างเต๋อ เห็นได้ชัดว่าเขาได้มองว่าหลัวซิวคือผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับเขา ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสามร้อยปี เขาฝึกตนถึงแดนจ้าวมหาเทพแล้วหรือ?
ในส่วนของออร่าบนร่างของหลัวซิวที่แสดงผลการฝึกตนแดนมกุฎเทพขั้นสาม ไม่ว่าจะเป็นฉินเฟยเสวหรือมู่กว่างเต๋อก็ตามต่างก็คิดไปเองว่าเขาซ่อนเร้นผลการฝึกตนที่แท้จริงเอาไว้ ไม่มีใครคิดไปถึงว่า มีบางคนสามารถอาศัยผลการฝึกตนแดนมกุฎเทพขั้นสาม ก็สามารถครอบครองพลังระดับจ้าวมหาเทพได้