มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2102
ในมุมมองของเมิ่งเชียนชาง นั่นเป็นการเพ้อฝันชัด ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณไท่ซ่างฉิงที่กลับชาติมาเกิด แม้แต่ไท่ซ่างฉิงที่มีพรสวรรค์ปราดเปรื่องอย่างยิ่ง ก็ไม่มีทางทำถึงขั้นนั้นได้
ดังนั้นเมิ่งเชียนชางจึงพูดโน้มน้าวโน้มนำอยู่พักหนึ่ง หลังจากโน้มน้าวไม่เป็นผลเขาก็ไม่สนใจอีกเลย ถึงครานั้นขอแค่ไม่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางนี้ เขาเชื่อว่าหลัวซิวต้องกลับมาเดินบนเส้นทางแห่งวัฏสงสารอีกครั้งแน่นอน
อย่างไรก็ตามวินาทีนี้เมื่อเห็นว่าจี้หวูชวงดูสุขุมเยือกเย็นและหนักแน่นเช่นนี้ เมิ่งเชียนชางจึงเริ่มรู้สึกสงสัยเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“เมิ่งเชียนชาง มึงคิดเองเออเองว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในแผนการของมึง เหมือนดังเช่นมึงเมื่อหลายแสนล้านปีก่อนที่คิดว่าหากสามารถยึดกุมกงล้อวัฏจักรธรรม ก็จะสามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งในจักรภพแปดทิศ แต่ไม่ว่ามึงจะวางแผนอย่างไร มึงก็ไม่มีวันเทียบเคียงกับไท่ซ่างฉิงได้!”
จี้หวูชวงยิ้มอย่างดูหมิ่น “มึงคิดว่ามึงสามารถควบคุมไท่ซ่างฉิงได้หรือ? ถึงแม้ไท่ซ่างฉิงจะเหลือวิญญาณเพียงเสี้ยวเดียวแล้วกลับชาติมาเกิด สุดท้ายแล้วเขาก็คือไท่ซ่างฉิงอยู่ดี มึงคิดที่จะควบคุมเขาอย่างนั้นหรือ? ตลกชะมัด!”
“นังชั้นต่ำ หุบปากไปซะ!”
ใบหน้าของเมิ่งเชียนชางดุร้ายพลางตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว ชั่วชีวิตของเขา สิ่งที่เกลียดมากที่สุดก็คือผู้อื่นเอาเขาไปเปรียบเทียบกับไท่ซ่างฉิง สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือมีคนบอกว่าเขาเทียบเคียงกับไท่ซ่างฉิงไม่ได้!
“เมิ่งเชียนชาง ทั้งชีวิตของมึง มึงเอาแต่มองว่าไท่ซ่างฉิงคือคู่ต่อสู้ของมึง ทว่าแท้จริงแล้วตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งถึงบัดนี้ ไท่ซ่างฉิงไม่เคยมองว่ามึงเป็นคู่ต่อสู้มาก่อนเลย เนื่องจากสำหรับเขาแล้ว มึงมันเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้เขาพูดถึงเลยด้วยซ้ำ!”
“หากไม่มีกองกำลังที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังมึง มึงคิดว่ามึงสามารถยึดกุมกงล้อวัฏจักรธรรมได้หรือ?”
“กูจะบอกกับมึงก็ได้ จริง ๆ ไท่ซ่างฉิงยึดกุมกงล้อวัฏจักรธรรมได้ตั้งนานแล้ว และสาเหตุที่เขาไม่ได้เลือกเดินบนเส้นทางของจ้าววัฏสงสารนั้น เป็นเพราะเขาไม่อยากเดินเส้นทางที่ผู้อื่นเคยเดิน ซึ่งนี่คือความหยิ่งยโสของเขา เพราะเขาจะเดินบนเส้นทางที่ผู้อื่นไม่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน!”
“ขยะอย่างมึงน่ะ มีสิทธิ์ไปเทียบเคียงกับไท่ซ่างฉิงด้วยหรือ? มึงเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บเขา ยิ่งกว่านั้นคือการที่เอามึงไปเปรียบเทียบกับปลายเล็บของไท่ซ่างฉิงนั้น ยังเป็นการเหยียดหยามปลายเล็บเขาเลย!”
คำพูดของจี้หวูชวงที่อยู่ในชุดเกราะสีขาวนั้น เรียกได้เลยว่าเฉียบแหลมอย่างยิ่ง รุนแรงมากถึงมากที่สุด
“นังชั้นต่ำ! อีกะหรี่! กูจะฆ่ามึง! กูจะทำให้จิตวิญญาณมึงมอดไหม้!”
เมิ่งเชียนชางถูกกระตุ้นจนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาโดยสิ้นเชิงแล้วจริง ๆ ทุกคำพูดของจี้หวูชวงล้วนทิ่มแทงเข้าไปในส่วนที่เปราะบางที่สุดของจิตใจเขา ทำให้เขาสูญเสียสติปัญญาไปภายในพริบตา บ้าระห่ำขึ้นมา
เมื่อเผชิญหน้ากับเมิ่งเชียนชางที่บ้าระห่ำ จี้หวูชวงแค่แสยะยิ้มอย่างดูหมิ่น “มึงยังไม่เข้าใจอีกหรือเมิ่งเชียนชาง? ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังมึงหรือไท่ซ่างฉิง สำหรับพวกเขาแล้ว มึงก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น!”
“เมิ่งเชียนชาง ในกาลเวลาที่ผ่านพ้นมายาวนานอย่างไม่รู้จบ กูรอคอยมึงอยู่ที่นี่มานานมาก ๆ แล้ว เมื่อปีนั้นขณะที่กงล้อวัฏจักรธรรมถูกทำลาย กูได้เก็บชิ้นส่วนของกงล้อวัฏจักรธรรมมาหนึ่งชิ้น ต่อมาชิ้นส่วนนั่นก็กลายเป็นตำหนักวัฏสงสาร”
“เมื่อตำหนักวัฏสงสารบินออกไปจากที่นี่ กูก็รู้ว่ามึงมาแล้ว เพราะฉะนั้นมึงไปตายได้แล้ว!”
ใบหน้าของจี้หวูชวงเย็นเยือก นางง้างมือขึ้นมาแล้วขยำมือออกไป พลังแห่งเกณฑ์ทั้งหลายผสมผสานกันบนมือนาง แล้วกลายเป็นดาบเล่มหนึ่ง ซึ่งนางก็คือมหาวิถีดาบเมื่อหลายแสนล้านปีในอดีตนั่นเอง เมื่อกำดาบในมือ นางก็คือผู้ไร้เทียมทาน!
“อาศัยมึงที่อยู่ในสถานะเป็นวิญญาณเร่ร่อนอย่างบัดนี้น่ะหรือ? ไปตายซะเถอะ!”
เมิ่งเชียนชางตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว ควบคุมตำหนักวัฏสงสารแล้วพุ่งตรงเข้ามา ในขณะเดียวกันก็มีพลังแห่งเกณฑ์บินออกมาจากตำหนักวัฏสงสารอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นกัน กดอัดทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า
“แผดเผาวิญญาณแท้!”
มีรัศมีเทวที่งดงามถึงขีดสุดแย้มบานออกมาจากตัวจี้หวูชวง ณ วินาทีนี้ มีพลังออร่าสูงเทียมฟ้าที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมาจากร่างกายนาง
“จี้หวูชวงมึงเป็นบ้าไปแล้วหรือ!? มึงถึงขั้นแผดเผาวิญญาณแท้อย่างนั้นหรือ? ……”