มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2041
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2041
ในฐานะที่เมืองเทพสงครามเป็นสถานที่พักพิงและสืบพันธุ์ของตระกูลเทพสงคราม ในวันทั่วไปจะมีกฎห้ามไม่ให้ผู้ใดโบยบินบนนภาภายในเมือง แต่ทว่าคนเหล่านี้กลับลอยอยู่กลางสภาอย่างอุกอาจ ไม่ได้นำตระกูลเทพสงครามไปไว้ในสายตาโดยสมบูรณ์
ผู้ที่เป็นผู้นำคือชายหนุ่มคนหนึ่ง ด้านหลังเขามีผู้ติดตามสามคน ผลการฝึกตนของชายหนุ่มไม่อ่อน มีผลการฝึกตนเป็นราชาเทพแล้ว
“ฉีผิงสวี่!”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวปรากฏตัว สีหน้าของซิงเฉินก็เปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น: “ท่านชายฉีมาทำกระไรในตระกูลเทพสงครามของข้าหรือ? ตระกูลเทพสงครามของข้าไม่ต้อนรับท่าน กรุณาจากไปด้วย!”
“หัวหน้าตระกูลเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งราชาเทพ ก็บังอาจกําเริบเสิบสานต่อหน้าคุณชายอย่างข้าอย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มคนดังกล่าวแสยะยิ้มอย่างดูหมิ่นพลางพูด: “หากไม่ใช่เพราะคุณชายอย่างข้าเห็นแก่หน้าผู้เฒ่านภากาศ ข้าคงกวาดล้างตระกูลเทพสงครามของเจ้าไปตั้งนานแล้ว!”
ในระหว่างที่พูดคุยกัน ใบหน้าของชายหนุ่มคนดังกล่าวเต็มเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยอง ก้มมองซิงเฉินลงมาจากที่สูงพลางพูด: “ซิงเฉิน หากอ่านสถานการณ์ออกว่าต้องทำอย่างไร ก็พาตระกูลเทพสงครามของพวกเจ้าออกไปจากดาวเคราะห์ดวงนี้ซะ มิเช่นนั้นหากทำให้คุณชายอย่างข้าหมดความอดทน ข้าก็จักกวาดล้างทั้งตระกูลของเจ้า!”
“เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด!”วินาทีนี้กิริยาท่าทางของซิงเฉินแน่วแน่มาก ๆ “ต่อให้คนในตระกูลข้าจะตายจากไปหมด ตระกูลเทพสงครามของข้าก็จะไม่ออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้!”
“ไอ้คนไม่รู้จักความเป็นความตาย การที่คุณชายอย่างข้าจะล้มล้างตระกูลเทพสงครามของพวกเจ้านั้น มันทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากเลย!” ฉีผิงสวี่แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “หากไม่มีผู้เฒ่านภากาศคอยหนุนหลัง คุณชายอย่างข้าเบื่อที่จะเสวนากับเจ้าซะด้วยซ้ำ!”
ฉีผิงสวี่นี่จองหองพองขนมาก ๆ และอวดดีอย่างบ้าระห่ำเช่นกัน มาพร้อมกับผู้ติดตามสามคน ก็บังอาจปากดีต่อหน้าตระกูลเทพสงคราม
แต่ทว่าสาเหตุที่เขาจองหองพองขนเช่นนี้นั้น กลับเป็นเพราะศักยภาพของตัวเขาอยู่เหนือตระกูลเทพสงคราม จากผลการฝึกตนราชาเทพของเขา เป็นสิ่งที่ตระกูลเทพสงครามต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน
หลัวซิวก็อยู่ในที่เกิดเหตุเช่นกัน ทว่าราวกับฉีผิงสวี่นั่นจะไม่ได้เอาเขาไปไว้ในสายตา ดังนั้นจึงไม่ได้มองมาทางเขาเลยด้วยซ้ำ
แต่หลัวซิวก็ฟังออกแล้ว ดูเหมือนกับว่าฉีผิงสวี่นี่จะถูกใจดาวเคราะห์ที่ตระกูลเทพสงครามสืบพันธุ์มายาวนานหลายปีอย่างไม่รู้จบ ยิ่งกว่านั้นคือประวัติที่ตระกูลเทพสงครามใช้ชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ยาวนานมากจนสามารถสืบสาวกลับไปถึงช่วงเวลาที่เก่าแก่มาก ๆ พวกเขายอมที่จะถูกกวาดล้าง แต่ก็ไม่ยอมออกจากที่นี่
ไม่ว่าอย่างไรอดีตเทพสงครามเอกภพก็เคยมีพระคุณต่อเขา มาตรแม้นว่าเทพสงครามเอกภพจะดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาวางใจไม่ได้มากที่สุดก็คือโชคชะตาของตระกูลตน ในเมื่อหลัวซิวพบเจอกับเหตุการณ์นี้แล้ว จึงจะนิ่งดูดายต่อไปไม่ได้
“ไม่ว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด อย่าได้มาแตะต้องดาวเคราะห์ดวงนี้ของตระกูลเทพสงครามจะดีที่สุด มาจากที่ใดก็ไสหัวกลับไปที่นั่นซะ”
หลัวซิวเอ่ยปากพูดอย่างเรียบนิ่ง ฉีผิงสวี่นี่กําเริบเสิบสานปานนี้ คิดว่าเขาน่าจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ทว่าสำหรับหลัวซิวแล้ว เขาไม่ได้เอาฝ่ายตรงข้ามมาไว้ให้สายตาเลยด้วยซ้ำ จากแดนราชาเทพที่เขาบรรลุในปัจจุบัน แม้แต่กึ่งจ้าวมหาเทพเขาก็ไม่เอามาไว้ในสายตา
“เจ้าคือผู้ใดอีก?”ฉีผิงสวี่หันหน้ามองไปทางหลัวซิว เขาเป็นคนที่ทะนงตัวเกินไป จึงไม่ได้นำหลัวซิวมาไว้ในสายตาด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้ามกลับสังเกตเห็นจีเสี่ยวจื่อ หนิงหานยู่และฉียู่หรงสตรีทั้งสามนางที่ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิว
รูปร่างหน้าตาของสตรีทั้งสามล้วนงดงามอย่างยิ่ง แววตาของฉีผิงสวี่จึงเป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏเล็กน้อย
“เจ้าหนู ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นผู้ใด ทางที่ดีเจ้าไสหัวกลับไปซะ ฝากสตรีทั้งสามนางที่อยู่ด้านหลังเจ้าเอาไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าครั้งหนึ่ง”
หลัวซิวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา พลางพูดหน้านิ่ง: “เจ้าทราบหรือไม่ว่าคำพูดที่เจ้าพูดในเมื่อครู่นี้ มันเป็นการรนหาที่ตาย?”
“ช่างโอหังยิ่งนัก!”ฉีผิงสวี่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะดังลั่น “เจ้าคิดว่าคุณชายอย่างข้าเติบโตมาได้เพราะคำข่มขู่หรือ? เจ้าทราบหรือไม่ว่าคุณชายอย่างข้าคือผู้ใด? เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก!”
“ข้าพูดไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด มาจากทางใดก็ไสหัวกลับไปทางนั่นซะ ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะตัวตนอะไร มีภูมิหลังอย่างไร ล้วนกระจอกงอกง่อยสำหรับข้า”หลัวซิวพูดอย่างเย็นชามาก ๆ