มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2024
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2024
สำหรับคำพูดดังกล่าวของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำนั้น หลัวซิวก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก ๆ ท้ายที่สุดกำลังแรงของคนคนหนึ่งก็มีขีดจำกัด นอกเสียจากว่าศักยภาพของตนเองจะทรงพลังถึงขั้นที่แทบจะใกล้เคียงกับแดนไร้เทียมทาน
อย่างไรก็ตามมาตรแม้นว่าเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่เป็นผู้ไร้เทียมทานในห้วงดารา แท้จริงแล้วก็ใช่ว่าไร้คู่ต่อสู้เสมอไป ซึ่งต้องริเริ่มการถ่ายทอดสืบสานของตนเองเช่นกัน
ถึงแม้ผลการฝึกตนในปัจจุบันของหลัวซิวจะไม่สูง แต่จากวิชายิ่งเลิศและแดนยุทธ์ที่เขายึดกุม เขามีคุณสมบัติในการริเริ่มการถ่ายทอดสืบสานแล้ว
แต่เขากลับไม่มีความคิดที่จะเปิดสำนักตั้งพรรคแล้ว เนื่องจากเขาสร้างอริศัตรูไว้มากเกินไป การเปิดสำนักตั้งพรรคไม่เพียงไม่เป็นการช่วยเหลือตนเอง ในทางตรงกันข้ามมันกลับจะกลายเป็นตัวถ่วงของตนเอง
ทว่าเรื่องการบ่มเพาะกองกำลังของตัวเองนั้น อันที่จริงเขาเริ่มกระทำสิ่งนี้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นนำกระบี่ตรีภพถ่ายทอดให้เสิ่นปิงหยู ก็คือหมากหนึ่งลูกที่เขาวางไว้ในวังมหาวาล
รวมไปถึงหนิงหานยู่ที่อยู่ข้างกายเขา อนาคตหากนางสามารถตระหนักรู้และยึดกุมในเกณฑ์นิรันดร์ นางต้องสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างแน่นอน
ฉียู่หรงและจีเสี่ยวจื่อก็ไม่เลวเช่นกัน หากมีโชคและโอกาสที่เพียงพอ ผลสำเร็จในอนาคตต้องไม่ต่ำแน่
การเปิดสำนักตั้งพรรคและใช้ชีวิตโดยวนเวียนอยู่ในประตูแห่งความเป็นความตาย เส้นทางนี้มันไม่เหมาะสมกับตัวเอง เส้นทางที่หลัวซิวเลือกคือบ่มเพาะผู้ที่ไว้วางใจได้ หากเขาจะบ่มเพาะคนคนหนึ่ง เขาก็จะบ่มเพาะจนคนดังกล่าวกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน!
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้สักวันเขาจะหายไปจากโลกใบนี้ เมื่อคนเหล่านี้รวมตัวกัน ก็มีพลังที่เพียงพอที่จะกวาดล้างเก้าสวรรค์สิบปฐพี!
สิ่งใดจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่ดี สิ่งใดที่ควรจบ สุดท้ายแล้วมันก็จะจบอยู่ดี
ช่วงหลายวันนี้ หลัวซิวได้เดินทางไปทั่วทุกมุมโลกแสงดาว ซึ่งทุกที่ล้วนเป็นที่ที่เขาเคยสืบเท้าเข้าไปในอดีต
สถานที่เหล่านี้ล้วนบรรจุความทรงจำของเขาเอาไว้ มีทั้งมิตรภาพ ความสัมพันธ์ทางครอบครัว มีความเกลียดแค้นและมีการวนเวียนอยู่กับความเป็นความตายเช่นกัน
ตั้งแต่ออกจากไท่เสวียน หลัวซิวได้ทิ้งวรยุทธ์หนึ่งเอาไว้ หมื่นจักรวาลไร้รูปของเขาครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง การที่จะริเริ่มวรยุทธ์หนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากอยู่แล้ว
วรยุทธ์ที่เขาทิ้งไว้คือวรยุทธ์ระดับเทพมาร ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถฝึกวรยุทธ์ดังกล่าวสูงสุดถึงแค่แดนเทพมาร ในส่วนของเรื่องที่ว่าอนาคตจะบรรลุสู่แดนเทพฟ้าอย่างไรนั้น ก็ต้องดูโอกาสและความสามารถในการตระหนักรู้ส่วนบุคคลแล้วล่ะ
ถึงแม้ระดับของวรยุทธ์ดังกล่าวจะไม่สูงก็ตาม ทว่าความเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในวรยุทธ์ดังกล่าวกลับลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ด้อยกว่าพลังจักรพรรดิชั้นฟ้าใด ๆ ในโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน
วันนี้ หลัวซิวมาถึงทุ่งราบที่รกร้างว่างเปล่าทางทิศเหนือ และได้พบกับฮู๋ชิงชิง
การรุกรานของโลกะอิมเอี๊ยงทำให้สำนักของฮู๋ชิงชิงถูกทำลายล้าง การสืบสานดั้งเดิมของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งถูกทำลาย นางบังเอิญโชคดีหนีรอดมาได้ ไม่ตกอยู่ในกำมือของสมาคมเฟยหยาง
ร่างอสูรฟ้าของนางฝึกสำเร็จแล้ว บรรลุถึงแดนเทพมาร
“อาจารย์เจ้าคะ”
ถึงแม้หลัวซิว ณ วินาทีนี้จะไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของร่างแท้ แต่ฮู๋ชิงชิงก็ยังจำเค้าได้อยู่ดี
เมื่อปีนั้นเนื่องจากร่างอสูรฟ้าของตัวเอง นำพาปัญหามาให้นางไม่น้อย ต่อมาหลัวซิวนำวิชาปฐมอสูรฟ้าถ่ายทอดให้แก่นาง นางถึงสามารถควบคุมพลังออร่าอสูรฟ้าของตัวเองได้
อย่างไรก็ตามขณะที่หลัวซิวจากไป แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดวิชาปฐมอสูรฟ้าฉบับสมบูรณ์ให้แก่นาง ทว่านางกลับอาศัยพรสวรรค์ที่โดดเด่น ค่อย ๆ ฝึกตนจนถึงแดนเทพมาร
พูดได้เลยว่าปัญญาของฮู๋ชิงชิงนั้นไม่ธรรมดาเลย หากไม่ใช่เพราะถูกพันธนาการอยู่ในโลกแสงดาวที่เท่าแมวดิ้นได้ เปลี่ยนเป็นอยู่ในจักรวาลมหาโลกาพันสาม นางต้องเป็นผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งอย่างแน่นอน
“เจ้าอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแสงดาวแล้ว การที่อยากก้าวขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ หากเจ้ายินดีละก็ คอยบ่วงกรรมในโลกแสงดาวของข้าจบลงเมื่อไหร่ เจ้าสามารถจากไปพร้อมกับข้าได้”
พรสวรรค์ปัญญาของฮู๋ชิงชิง พูดได้เลยว่าสูงที่สุดในโลกแสงดาวตั้งแต่ที่หลัวซิวเคยพบเจอมา บวกกับเขาเคยมีบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อนาง ซึ่งคุ้มค่าแก่การไว้ใจ ดังนั้นหลัวซิวจึงมีความคิดที่อยากให้นางอยู่ข้างกายและบ่มเพาะนาง