มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 2006
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2006
เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ครั้นเมื่ออยู่ในสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน ฐานะตัวตนของเขาคือเด็กหนุ่มที่ต่ำต้อย ส่วนนางนั้นคืออาจารย์ในสำนักยุทธ์ เป็นบุตรแห่งเจ้าสำนักนอกสำนักเซียวเหยา
หากพูดตามหลักการแล้ว ระหว่างพวกเขาไม่มีทางคลุกคลีกันได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ เขาได้รับลูกแก้วความเป็นตาย ตั้งแต่นั้นมาชะตาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
เขามีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักยุทธ์ ช่วยนางรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์ร่วมกัน นัดพบหน้ากันที่สำนักเซียวเหยา
……
หลัวซิวแทบจะลืมเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนแล้ว จากการที่ผลการฝึกตนวิถียุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น ระดับขั้นที่เขาอยู่ก็ยิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้น สำหรับความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับโลกแสงดาวก็ค่อย ๆ จางหายไป
แต่ทว่าความทรงจำเหล่านั้นกลับคงอยู่ในประสบการณ์ชีวิตของเขา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่หาพบได้ยากที่สุดในชั่วชีวิตนี้ เมื่อครั้นนั้นหากไม่มีการดิ้นรน การฝึกฝนตัวธรรมและชุบปณิธานอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็ไม่มีทางมีผลสำเร็จอย่างทุกวันนี้แน่นอน
ลู่เมิ่งเหยาเป็นสตรีคนแรกที่เขาชอบด้วยหัวใจจริง ต่อมาสาเหตุที่ทั้งคู่แยกจากกันนั้น ก็เป็นเพราะสิ่งที่แสวงหาแตกต่างกัน
เขาเมื่อปีนั้นถูกกองกำลังทั้งหลายไล่ล่า อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยทั้งวันทั้งคืน ส่วนลู่เมิ่งเหยากลับถูกเจ้ายุทธจักรหยกนารารับเป็นลูกศิษย์ จึงถูกลิขิตไว้แล้วว่าเส้นทางในอนาคตต้องไม่มีขีดจำกัด
นางเมื่อครั้นนั้นเลือกที่จะจากไปโดยไม่กลับ หลัวซิวไม่คิดว่านางกระทำผิดแต่อย่างใด แต่ทว่าชีวิตของคนเรามันก็เป็นเช่นนี้แหละ พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ถึงแม้ต่อมาดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะเปิดออกและทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยากที่จะกลับคืนไปเป็นเหมือนเก่า
ทว่าระหว่างโลกแสงดาวและโลกะอิมเอี๊ยงห่างกันไกลมากถึงมากที่สุด เหตุใดนางถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้?
ต่อให้เป็นการทะลุผ่านห้วงดารามา จากผลการฝึกตนเพียงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ของนาง ก็ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
“คุณชาย?”
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวกำลังเหม่อลอย ลู่เมิ่งเหยาจึงเรียกคำหนึ่ง “หากคุณชายยังไม่รีบหนีเอาชีวิตรอดละก็ เกรงว่าคงจะไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ”
“เหอะ……”
หลัวซิวดึงสติกลับมา ก่อนจะยิ้มอ่อน “เหตุใดข้าถึงต้องหลบหนีด้วยเล่า? แค่คฤหัสถ์กุยห่ายกระจอก ๆ ข้ายังไม่เคยเอาพวกมันมาไว้ในสายตา”
“ช่างปากดียิ่งนัก!”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงตะคอกอันเยือกเย็นสะท้อนมา ฉินฮ่วนกลับมาเร็วมาก ๆ กลับมาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดแพร
เมื่อลู่เมิ่งเหยาได้ยินเสียงดังกล่าว ร่างกายนางจึงสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าดูสิ้นหวัง
“พ่อหนุ่ม ไม่ว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด และไม่ว่าความเป็นมาของเจ้าจะเป็นอย่างไร เมืองอิมเอี๊ยงไม่ใช่ที่ที่เจ้าสามารถมาพาลเกเรได้!”
ชายชุดแพรแข็งกร้าวมาก ๆ มีพลังออร่าของผู้แข็งแกร่งราชาเทพช่วงปลายเปล่งปลั่งอยู่รอบกาย จากนั้นสายตาของเขาก็ร่วงลงบนตัวลู่เมิ่งเหยา มีรังสีแห่งความดุดันกระพริบผ่านไปในแววตา “เกิดเป็นทาสชั้นต่ำแต่กลับล่วงเกินเบื้องบน ในฐานะที่เห็นว่าโฉมหน้าเจ้าก็พอดูได้อยู่ พรุ่งนี้ก็ไปหอชุนเฟิงซะ!”
หอชุนเฟิงคือสถานที่ที่เกี่ยวกับเรื่องประโลมโลกในเมืองอิมเอี๊ยง เมื่อลู่เมิ่งเหยาได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงกัดริมฝีปากที่แดงเถือกอย่างควบคุมไม่ได้ จนมีเลือดไหล
นางยอมตาย แต่ก็ไม่ยอมถูกส่งไปยังหอชุนเฟิงแน่นอน
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมามองชายชุดแพรนั่นด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง ก่อนจะง้างมือแล้วฟาดลงกลางอากาศครั้งหนึ่ง
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าชายชุดแพรนั่นก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าผู้น้อยผลการฝึกตนเทพฟ้าขั้น 9 กระจอก ๆ คนหนึ่งจะกล้าลงมือต่อตนเอง เขาจึงทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น เตรียมพร้อมที่จะอบรมสั่งสอนผู้น้อยคนนี้หน่อย
อย่างไรก็ตามในขณะนี้เอง เขากลับรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองขยับไม่ได้แล้ว ราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง ทำให้เขาทำได้เพียงมองดูฝ่ามือที่ฝ่ายตรงข้ามฟาดมายิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ตน
“เพี๊ยะ!”
ไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ฝ่ามือนี้ของหลัวซิวได้ฟาดลงบนใบหน้าของชายวัยกลางคนชุดแพรนั่นอย่างรุนแรง
ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงการโจมตีที่หลัวซิวปล่อยออกไปโดยไม่คิดอะไรมาก ทว่าจากร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่เทียบเท่าศัตราวุธราชาชั้นสูงของเขา การโจมตีดังกล่าวก็เทียบเท่าพลังโจมตีของศัตราวุธราชาเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ราชาเทพช่วงปลายคนหนึ่งจะสามารถต้านทานได้