มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1911
ตู้มม!
ภายใต้การกดอัดจากตำหนักวัฏสงสาร เท้าทั้งสี่ของช้างเงินที่มีพลังเกะกะระรานถึงกับบิดเบี้ยวกะทันหัน แล้วคุกเข่าลงไปกับพื้นจนปฐพีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น!
ในตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไกลหลายพันไมล์ เงาร่างของหลัวซิวหกระเหินบินออกมาจากฝุ่นละอองที่ตลบฟุ้งเต็มท้องฟ้า มีลูกแก้วสีขาวดำลายทางลอยอยู่ตรงกลางฝ่ามือข้างขวาเขา
ช้างเงินที่เทียบเท่าผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพช่วงปลายคำรามร้องโหยหวน เสียงของมันอ่อนแอมาก ภายใต้การกดอัดจากตำหนักวัฏสงสาร เหมือนกับว่ามันแบกรับห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลไว้บนหลังหนึ่งห้วง
เมื่อหลัวซิวปรากฏตรงหน้ามัน อุปนิสัยที่ดุร้ายของช้างเงินตัวนี้มลายยากมาก ภายในดวงตาที่แดงเถือกมีชี่โหดที่สะพรึงน่ากลัว มีรังสีแห่งความเยือกเย็นเป็นประกายออกมาจากงาช้างทั้งสองกิ่ง ไม่นึกเลยว่างาทั้งสองกิ่งจะลอยขึ้นกะทันหัน แล้วเฉือนลงมาทางหลัวซิวดั่งดาบโค้งสองเล่ม
“ไอ้เดรัจฉานที่ไม่รู้จักความเป็นความตาย!”
ปีกเทพไร้มลทินที่อยู่ด้านหลังสยายออก เงาร่างของหลัวซิวโยกย้ายไปมา ก็หลบการโจมตีจากงาช้างทั้งสองกิ่งที่เหมือนดั่งดาบโค้งนั่นไปได้แล้ว
ก่อนจะเดินทางมาแดนเทวนิรันกาล ปีกเทพไร้มลทินของเขาก็ผ่านการวิวัฒนาการหนึ่งครั้งโดยหินเทวเหินฟ้าแล้ว ปีกเทวทั้งห้าคู่ที่อยู่ด้านหลังสยายออก เหมือนดั่งปีกเทพของเซียนที่โบยบินขึ้นสู่สวรรค์ มีความแข็งกร้าวและอำนาจบารมีที่สูงเทียมฟ้าทะลุออกมาจากปีกเทพที่งามล้น
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็กระตุ้นลูกแก้วความเป็นตายที่อยู่ในมือ แก่นแท้ชีวีที่อยู่ในร่างช้างเงินจึงพรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ถูกลูกแก้วความเป็นตายกลืนกินยึดครอง
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ช้างเงินที่ไม่สามารถขัดขืนได้ก็กลายเป็นกระดูกแห้งกรัง แก่นแท้ชีวีทั้งหมดล้วนถูกลูกแก้วความเป็นตายกลืนกินจนสิ้นซาก
กระดูกช้างที่ใหญ่โตมหึมาสูงตระหง่านและมั่นคงดั่งขุนเขา ทะมึนทึบแต่ก็น่ากลัว
หลัวซิวเก็บปีกเทพกลับเข้าร่าง แล้วนั่งท่าขัดสมาธิลงบนกระดูกช้าง อสูรโบราณช้างเงินตัวนี้คือราชาบนดาวเคราะห์ดวงนี้ เมื่อมีโครงกระดูกของมันอยู่ที่นี่ อสูรโบราณตัวอื่น ๆ บนดาวเคราะห์ดวงนี้จึงไม่กล้ามาทำอะไรบุ่มบ่ามที่นี่
ระยะเวลาการตระหนักรู้ในครั้งนี้ของจีเสี่ยวจื่อยาวมาก ๆ หลังจากที่ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน นางถึงจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
หลังจากที่นางลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็พบว่าพื้นที่โดยรอบนับหมื่นไมล์รกร้างเละเทะ
โดยเฉพาะกระดูกช้างอันใหญ่โตมหึมาที่ตั้งสูงตระหง่านดั่งภูเขาสูงใหญ่นั่นยิ่งมีชี่โหดที่ดุร้ายน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมา ทำให้คนมองรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปถึงจิตวิญญาณ
“นี่คือโครงกระดูกของอสูรโบราณอะไรน่ะ? ครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่มันต้องเป็นอสูรมกุฎเทพช่วงปลายแน่นอน!”
สีหน้าของจีเสี่ยวจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางจำได้ว่าขณะที่ตนเองตระหนักรู้ในกฎปริภูมิ ตนไม่ได้อยู่ในสถานที่เช่นนี้นี่?
ทันใดนั้นเอง แววตาของจีเสี่ยวจื่อก็หยุดนิ่งลง เนื่องจากนางพบว่ามีเงาร่างหนึ่งที่อยู่ส่วนบนของโครงกระดูกที่ใหญ่โตมหึมานั่นกำลังอมยิ้มพลางมองมาทางตัวเอง
“ศิษย์พี่หลัว?”
เมื่อจีเสี่ยวจื่อมองเห็นโฉมหน้าของคนดังกล่าวชัดเจนแล้ว สีหน้านางจึงผงะไปอย่างอดไม่ได้
“ยัยหนูโชคดีไม่เบาเลยนี่ สามารถตระหนักรู้ในกฎปริภูมิได้รวดเร็วเช่นนี้เลย”หลัวซิวหกระเหินเดินฟ้า ไปถึงตรงหน้าจีเสี่ยวจื่อภายในชั่วพริบตาเดียว
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ไม่ดูก่อนเลยนะเจ้าคะว่าข้าคือผู้ใด!”จีเสี่ยวจื่อยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา
“แต่ทว่าต่อไปหากเจ้าออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ข้างนอกอีกละก็ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเวลาใด ก็ต้องมั่นใจเสียก่อนว่าตนอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยจริง ๆ ”
ทันใดนั้นเองสีหน้าอารมณ์ของหลัวซิวก็ดูเข้มงวดขึ้น จากนั้นเขาก็บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ให้นางฟัง
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่หลัวซิวบอกเล่ามาแล้ว จีเสี่ยวจื่อถึงจะทราบว่าการตระหนักรู้ในครั้งนี้ของตัวเองนั้นอันตรายมากเพียงใด หากไม่ใช่เพราะมีศิษย์พี่คอยคุ้มกันนางอยู่ที่นี่ นางไม่มีทางตระหนักรู้ในความเร้นลับของกฎปริภูมิได้ราบรื่นเช่นนี้แน่นอน
“บัดนี้เราอยู่ในเขตพื้นที่ค่อนข้างอันตรายของแดนเทวนิรันกาลแล้ว ดาวเคราะห์ทุกดวงล้วนมีอสูรโบราณระดับมกุฎเทพเคลื่อนไหว เจ้าอยู่กับข้านี่แหละ อย่าวิ่งหนีไปที่ใดมั่วซั่ว”หลัวซิวกล่าว
จีเสี่ยวจื่อพยักหน้าอย่างเชื่อฟังคำสั่งมาก นางเข้าใจดีมากว่าแดนเทวนิรันกาลไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน ไม่ใช่สถานที่ที่นางสามารถกระทำทุกสิ่งอย่างกําเริบเสิบสาน