มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1889
ใช่แล้ว ครั้งแรกสำหรับการกลั่นโอสถมกุฎเซียน อีกทั้งยังอยู่ในวาระสำคัญอย่างการดวลวิถียาด้วย
เนื่องจากการกลั่นแปรและหลอมรวมของอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ก็ดำเนินการไปเป็นเวลาสามวันแล้ว เพิ่งหลอมรวมสำเร็จ ยังไม่ทันได้คุ้นเคยกับความรู้สึกของการใช้อัคคีเช่นนี้กลั่นโอสถมกุฎเซียนเลย เวลาที่นัดหมายกับตวนมู่ชางไว้ก็ใกล้ถึงแล้ว
จีเสวียนคงก็รู้สึกไม่สบายใจต่อเรื่องนี้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นฝีมือและท่าทางที่ชำนาญคล่องแคล่วดั่งผู้ลากมากดีของตวนมู่ชางแล้ว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าไม่แน่เจ้าหลัวซิวนั่นอาจจะพ่ายแพ้ได้ อย่างไรเสียนี่เป็นครั้งแรกที่เขากลั่นโอสถมกุฎเซียน ซึ่งยังขาดประสบการณ์
และประสบการณ์การกลั่นยาสำหรับนักยาเซียนคนหนึ่งแล้ว สามารถพูดได้เลยว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ
“ระดับความร้อนของไฟนี่ควบคุมไม่ค่อยง่ายเลยนะ”
ยาเซียนต้นหนึ่งถูกหลัวซิวโยนเข้าไปในเตายา ทว่าภายใต้การแผดเผาจากเพลิงอัคคีสีแดงหม่นดวงหนึ่ง ยาเซียนทั้งต้นกลับถูกแผดเผาจนกลายเป็นฝุ่นผงภายในชั่วพริบตา
ซึ่งแตกต่างจากอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์สีแดงเลือด หลังจากที่ภูตอัคคีกลืนกินดูดกลืนพลังของอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ไปแล้ว คุณสมบัติพิเศษของเพลิงอัคคีทั้งสองชนิดก็หลอมรวมกัน กลายเป็นเพลิงอัคคีชนิดที่ใหม่เอี่ยม เผยให้เห็นเป็นสีแดงหม่น
อัคคีเทพที่กำเนิดใหม่ดวงนี้ หลัวซิวตั้งชื่อให้มันว่าอัคคีเทพซิวหลัว!
ซิวหลัวเป็นตัวแทนของการสังหาร ซึ่งสอดคล้องกับพลังแห่งโลหิตฉกรรจ์พอดี
และเป็นเพราะพลังการโจมตีของพลังแห่งโลหิตฉกรรจ์รุนแรงมากเกินไป จึงส่งผลให้เมื่อใช้อัคคีเทพซิวหลัวมากลั่นยาจึงควบคุมระดับความร้อนของไฟยาก ง่ายต่อการทำให้ยาเซียนถูกแผดเผาจนกลายเป็นฝุ่นผง
โอสถเพิ่มดีกรี เป็นยาชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพใช้เพื่อยกระดับ ซึ่งการกลั่นยาชนิดนี้ต้องการต้นยาเซียนทั้งหมดห้าชนิด รวมไปถึงต้นยาเซียนระดับเก้า 36 ชนิดที่ใช้เป็นยาเสริม
ในขณะที่ตวนมู่ชางทำการกลั่นแปรยาเสริมทั้ง 36 ชนิดนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝั่งหลัวซิวยังคงมัวคุ้นเคยอยู่กับการยึดกุมควบคุมอัคคีเทพซิวหลัวอยู่ ขั้นตอนการกลั่นยาหยุดอยู่ในขั้นตอนแรกมาโดยตลอด
วินาทีนี้ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่เข้าใจเรื่องกลั่นยาก็ดูออกอยู่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวกลั่นโอสถมกุฎเซียนจริง ๆ ยิ่งกว่านั้นคือดูเหมือนนักกลั่นยามือใหม่คนหนึ่งชัด ๆ แม้แต่การควบคุมระดับไฟขั้นพื้นฐานยังทำไม่เป็น
มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าบรรพอาจารย์ตวนมู่ แต่ทว่าจิตใจเขากลับรู้สึกสงสัยอย่างมาก จากความเข้าใจของเขาที่มีต่อจีเสวียนคง เขาจะมีทางรับลูกศิษย์เช่นนี้ได้อย่างไร?
อีกทั้งจีเสวียนคงไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกันแน่ ถึงกับกล้าเอายาเซียนระดับมหาจักรพรรดิสามเม็ดมาเดิมพันกับตัวเอง?
บรรพอาจารย์ตวนมู่เคยคบค้าสมาคมกับจีเสวียนคงไม่เพียงครั้งสองครั้งแล้ว เขาใจดีมาก ๆ ว่าเฒ่าประหลาดจีนี่ไม่ใช่ผู้ที่ยอมเสียเปรียบอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อคิดเช่นนี้อยู่ในใจ บรรพอาจารย์ตวนมู่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางจุดผิดปกติ ทว่าจากสถานการณ์บนสนาม เห็นได้ชัดเจนเลยว่าตวนมู่ชางเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างแน่นอน เมื่อเจ้าหนุ่มผู้มีนามว่าหลัวซิวนั่นเปรียบเทียบกับเขาแล้ว ทั้งสองก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย
“เฒ่าประหลาดจี เจ้าแน่ใจหรือว่าลูกศิษย์คนนี้ของเจ้าไม่ได้มาแสดงละครตลก?”บรรพอาจารย์ตวนมู่อดไม่ได้คิดจะถากถางจีเสวียนคงคำหนึ่ง ในขณะเดียวกันเขาก็อยากดูปฏิกิริยาของจีเสวียนคงเช่นกัน
“ตลกมากเลยหรือ?”
สิ่งที่ทำให้บรรพอาจารย์ตวนมู่คาดไม่ถึงคือจีเสวียนคงดูเรียบนิ่งอย่างผิดปกติมาก พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “ถึงแม้ตลอดช่วงหลายสิบล้านปีที่ผ่านมา เฒ่าประหลาดตวนมู่อย่างเจ้าจักไม่เคยเลื่อนขั้นขึ้นไปถึงแดนมหาปรมาจารย์ยาเซียน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อยู่ในแดนปรมาจารย์ยาเซียนขั้นสูงอยู่ หรือว่าเจ้าดูไม่ออกเลยรึ?”
“ดูกระไรไม่ออก?”บรรพอาจารย์ตวนมู่ขมวดคิ้ว ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลในใจยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
“เจ้าดูไม่ออกหรือว่าลูกศิษย์ข้ากำลังคุ้นเคยกับอัคคีเทพชีวีอยู่? เจ้าดูไม่ออกหรือว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ ลูกศิษย์ข้ายิ่งอยู่ยิ่งคุ้นเคยกับการยึดกุมอัคคีเทพชีวีแล้ว?”
จีเสวียนคงเบ้ปาก “แม้แต่ความประณีตละเอียดอ่อนขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้ มิน่าล่ะเจ้าถึงเอื้อมธรณีประตูของมหาปรมาจารย์ยาเซียนไม่ถึงสักที”