มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1876
“วันนี้ข้าตวนมู่ชางจะประลองฝีมือด้านวิถียากับลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคง ได้โปรดผู้เพื่อนยุทธ์ทุกคนที่อยู่ที่นี้เป็นพยานด้วย!”
จากความภาคภูมิใจในตัวเองของตวนมู่ชาง เขาไม่มีทางเอาจดหมายท้าประลองไปให้หลัวซิวด้วยตัวเองอยู่แล้ว มิเช่นนั้นละก็จะเท่ากับเป็นการทำให้พลังออร่าของตัวเองดูอ่อนลง
และสาเหตุที่เขามาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแห่งนี้นั้น ก็เพื่อสร้างชื่อเสียงและอิทธิพล
“เหอะ ๆ พรสวรรค์ด้านวิถียาของศิษย์พี่ตวนมู่นั้นสูงกว่าครั้นเมื่ออาจารย์เสวียนคงนั่นยังเป็นวัยรุ่นเสียอีก การที่เราทุกคนสามารถเป็นพยานได้นั้น ถือเป็นเกียรติยศของพวกเรา!”
“ใช่แล้ว ๆ แต่แค่ไม่รู้ว่าลูกศิษย์คนนั้นของอาจารย์เสวียนคงจะมีความสามารถสมคำเลื่องลือหรือไม่”
ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างสรรเสริญเยินยออย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขาไม่กล้านินทาว่าร้ายอาจารย์เสวียนคง แต่ถ้าเกิดเป็นเพียงลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคงละก็ ทุกอย่างก็จะแตกต่างออกไป
จากการที่คำพูดของตวนมู่ชางได้จบลง ผู้ติดตามคนดังกล่าวก็เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมกับจดหมายเชิญแล้ว
ภายในห้องพักของโรงเตี๊ยม หลัวซิวจัดวางค่ายกลไว้บริเวณรอบ ๆ ณ บัดนี้ เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องพักพลางตระหนักรู้กฎเวลาที่แฝงซ่อนอยู่ในเศษใจแห่งศุภร
ปัจจุบันเขาเน้นฝึกกฎเวลาเป็นหลัก เนื่องจากเขาอยากฝึกกฎเวลาให้ถึงแดนขั้น 8 ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพื่อฟื้นคืนชีพเสี่ยวเจียงหมิงรวมไปถึงช่วยหงเฟยฟื้นฟูความทรงจำในส่วนของเหยียนเยว่เอ๋อร์กลับคืนมา
อย่างไรก็ตามกฎเป็นสิ่งที่คลุมเครือเข้าใจยากตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในบรรดากฎทั้งหมดในจักรวาลฟ้าดิน กระดูกมนตรากำราบเลื่องลือในเรื่องเป็นกฎที่ฝึกยากที่สุด ถึงแม้ความสามารถในการตระหนักรู้ของหลัวซิวจะน่าทึ่ง ความสามารถในการตระหนักรู้ด้านกฎอยู่เหนือคนอื่น ๆ แต่ถ้าเกิดเขาอยากฝึกกฎเวลาให้บรรลุถึงแดงขั้นที่ 8 นั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
มิหนำซ้ำยิ่งแดนกฎสูงมากเท่าไหร่ การที่อยากยกระดับนั้นยังจำเป็นต้องมีโอกาสและจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งการตระหนักรู้อย่างไม่หยุดหย่อนใช่ว่าจะได้ผลเสมอไป
หลัวซิว ณ วินาทีนี้กำลังขมวดคิ้วแน่น ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาตระหนักรู้ไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ทว่ากลับไม่มีต้นสายปลายเหตุใด ๆ เลย อย่าพูดถึงแดนขั้น 8 ของกฎเวลา เขายังเอื้อมไม่ถึงแม้กระทั่งแดนขั้น 5 ช่วงกลางเลย
กฎชั้นยอดอย่างกฎการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลา เนื่องจากการฝึกปรือบนเส้นทางดารา ทำให้แดนของกฎปริภูมิสูงที่สุด ซึ่งบรรลุถึงขั้น 5 ช่วงปลายแล้ว รองลงมาก็คือกฎการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งต่างอยู่ในแดนขั้น 5 ช่วงกลาง มีเพียงกฎเวลาเท่านั้นที่อยู่ต่ำที่สุด ซึ่งอยู่ในแดนขั้น 5 ขั้นปฐมภูมิ
“เจ้าเป็นผู้ใด? มาทำอะไรที่หน้าห้องศิษย์พี่หลัว?”
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากข้างนอก ซึ่งเจ้าของเสียงดังกล่าวก็คือจีเสี่ยวจื่อ
เดิมทีเขาก็ไม่มีความคิดใด ๆ ในการตระหนักรู้กฎเวลาอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงของจีเสี่ยวจื่อ หลัวซิวจึงเก็บเศษใจแห่งศุภรเสียเลย ลุกตัวขึ้นแล้วเปิดประตูห้อง
“ข้าปฏิบัติตามคำสั่งของคุณชายตระกูลข้าให้มาส่งจดหมายท้าประลอง”
เมื่อหลัวซิวเปิดประตูออกไป ก็พบว่ามีชายวัยกลางคนที่รูปร่างลักษณะคล้ายผู้ติดตามคนหนึ่งกำลังพูดกับจีเสี่ยวจื่อ
“จดหมายท้าประลอง? คุณชายตระกูลเจ้าคือผู้ใด?”จีเสี่ยวจื่อถาม ในขณะเดียวกันนางก็เห็นว่าประตูห้องของหลัวซิวถูกเปิดออกแล้ว “ศิษย์พี่ท่านออกมาแล้วหรือ?”
หลัวซิวยิ้มพลางผงกหัว จากนั้นสายตาของเขาก็เพ่งความสนใจไปทางผู้ติดตามวัยกลางคนนั่น
เห็นเพียงชายวัยกลางคนนั่งวอร์มเสียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหล่ตามองหลัวซิวและจีเสี่ยวจื่ออย่างหยิ่งผยองรอบหนึ่ง แล้วพูดด้วยท่าทางทะนงองอาจ: “พวกเจ้าฟังไว้ให้ดี คุณชายตระกูลข้าก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลตวนมู่ และเป็นอัจฉริยะกลั่นยาอันดับหนึ่งในห้วงดาราของมหาโลกายอดอัมพรเช่นกัน!”
“เจ้าน่าจะเป็นลูกศิษย์ของจีเสวียนคงสินะ? นี่คือจดหมายท้าประลองของคุณชายข้า เจ้ากล้ารับไว้หรือไม่?”
เมื่อเห็นสภาพที่ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความหยิ่งผยองและไร้มารยาท ใบหน้าของจีเสี่ยวจื่อก็ดูโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที ส่วนสีหน้าของหลัวซิวนั้นก็หม่นหมองลงไปเช่นกัน