มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1868
ตูม!
ภายใต้การเพ่งเล็งของรัศมีพลังแห่งตำหนักวัฏสงสาร สตรีชุดดำไม่สามารถที่จะหลบพ้นได้เลย ได้แต่มองตำหนักโบราณนั่นค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น และหล่นทับลงมา
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว มวลพลังอันมหาศาลกระเพื่อมม้วนออกไป แม้แต่ตัวหลัวซิวเอง ก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย ภายใต้แรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว ร่างกายของเขาเองก็เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือด แทบจะไม่เหลือเค้าโครงความเป็นมนุษย์อยู่เลย
สตรีชุดดำได้แสดงร่างที่แท้จริงออกมา มันคือเถาวัลย์ปีศาจที่มีสีดำไปทั่วทั้งร่าง
แต่ภายใต้การถมทับของตำหนักวัฏสงสาร ร่างจริงของเถาวัลย์ปีศาจเองก็ได้ค่อย ๆ แตกสลายกลายเป็นผุยผง ไม่สามารถที่จะต่อต้านได้เลย
แม้กระทั่งว่าภายใต้การโจมตีของตำหนักวัฏสงสาร ดวงดาวที่รกร้างแห่งนี้ก็ได้ค่อย ๆ แตกสลายไปตาม และกลายเป็นผุยผงไปภายในเวลา
หงเฟยที่ได้หนีไปเมื่อก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว นางตกตะลึงจนต้องหันขวับกลับไปในทันที พลังอันมหาศาลได้กระแทกจนนางลอยปลิวออกไป
นางมองไปดูด้วยความตกตะลึง ดวงดาวดวงนั้นได้หายไปเสียแล้ว
“หลัวซิว!” นางร้องออกมาเสียงดัง ทว่าในห้วงดาราที่กว้างใหญ่กลับดังออกไปได้ไม่ไกลนัก ดูแล้วช่างไร้เรี่ยวแรงสิ้นดี
ฝุ่นละอองจากการระเบิดของดวงดาวลอยฟะฟุ้งอยู่ในอากาศ ลูกแก้วที่ไร้ซึ่งแสงสว่างดวงหนึ่งลอยอยู่ในมวลฝุ่นละออง ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับฝุ่นละอองทั่วไป
ที่ด้านในของลูกแก้วลูกนี้ เป็นปริภูมิที่ค่อนข้างพิเศษแห่งหนึ่ง ภาพฉายวัฏจักรอันเก่าแก่ลอยอยู่ในดวงดาว เป็นโซนสงสารวัฏที่หลัวซิวคุ้นเคยนั่นเอง
แต่ที่แตกต่างออกไปก็คือ มีตำหนักแห่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในโซนสงสารวัฏ หลัวซิวในตอนนี้กำลังนอนอยู่ด้านในตำหนัก เลือดไหลอาบไปทั้งตัว ลมหายใจรวยริน
“อานุภาพเช่นนี้ แข็งแกร่งเกินไปหน่อยไหม?” หลัวซิวอ้าปากเล็กน้อย ภายใต้บทบาทของร่างอมตะ ร่างกายที่เสียหายมีเลือดเนื้อเกิดขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่อง กำลังฟื้นฟูด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
“อานุภาพของวัฏจักรจะธรรมดาได้อย่างไร?” เงาร่างเลือนรางได้ปรากฏขึ้นที่ข้างกายของหลัวซิว เป็นเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ตัวมรณานั่นเอง
เพียงแต่ว่าตัวมรณาในเวลานี้นั้นเลือนรางนัก ราวกับว่าลมพัดมาเบา ๆ ก็สามารถพัดให้มันสลายไปได้
“การโจมตีในเมื่อสักครู่ เมื่อเทียบกับอานุภาพของวัฏสงสารโบราณแล้ว ไม่ถึงหนึ่งในพันล้านเลยด้วยซ้ำ” ในน้ำเสียงของตัวมรณาแฝงไปด้วยความใฝ่ฝันและหวนคำนึงถึงความหลัง
ในอดีต เขาเป็นภูตของวัฏสงสารโบราณ ในยุคนั้น ถือว่าเป็นยุคของเขา
การโจมตีที่สามารถทำลายดาวดวงหนึ่งได้ภายในครั้งเดียว แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือของหลัวซิว ผู้ที่ขับเคลื่อนพลังของตำหนักวัฏสงสาร คือเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ตัวมรณา
เพียงแต่ว่าเพราะวัฏสงสารโบราณพังทลาย ความสามารถของตัวมรณานั้นก็ฟื้นฟูเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ขับเคลื่อนตำหนักวัฏสงสารโจมตีออกไปหนึ่งครั้ง ทำให้พลังที่ฟื้นคืนมาหลังจากหลับใหลไปแสนนานของเขา สูญเสียไปเกินกว่าครึ่ง
เขาไม่อยากให้หลัวซิวต้องตาย แม้ว่าเขาจะสามารถตามหาผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารคนใหม่ได้ก็ตาม แต่หากต้องการหาคนที่มีพรสวรรค์ทัดเทียมกับหลัวซิวได้ มันอยากมากเกินไปจริง ๆ
“ฝึกวิถีวัฏสงสารจนถึงขีดสุด เจ้าก็จะไร้เทียมทานในดาราจักรวาลแล้ว แต่เจ้ากลับต้องการฝึกฝนวิถีที่เหนือกว่าวัฏจักร มันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย หรือว่าเจ้ายังคงรั้นที่จะเดินต่อไปเช่นนั้นหรือ?”
ตัวมรณาจ้องมองหลัวซิว ยังคงอยากจะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเดินบนทางที่ถูกต้อง เพราะเขาคิดว่าวิถียุทธ์ที่หลัวซิวคิดจะเดินในตอนนี้ มันเป็นเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง
“หากใจตั้งใจฝึกฝนวิถีวัฏจักรอย่างเต็มที่ ด้วยพรสวรรค์และสติปัญญาของเจ้า จะต้องบรรลุแดนจักรพรรดิเทพได้ภายในถึงหมื่นปีแน่ ภายในหนึ่งล้านปี มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะสามารถสร้างวัฏจักรได้ ฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของวัฏสงสารโบราณอย่างในอดีต!”
“แต่หากเจ้ายังดื้อรั้นเดินในทางที่ผิดต่อไปละก็ เป็นไปได้ว่าเจ้าจะฝึกตนไม่ถึงแดนจักรพรรดิเทพด้วยซ้ำ”