มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1758
“ผู้สืบทอดตัวน้อย……”
ในระหว่างทางที่มุ่งไปยังภูเขาคุนหลุน เสียงของตัวมรณาก็ปรากฏในตัวหยั่งรู้ ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วลง รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ชื่อเรียกเช่นนี้อีกแล้วหรือ ผู้สืบทอดตัวน้อย? ตกลงจะหลุดพ้นจากสมญานามตัวน้อยนี้เมื่อใดกัน?
พ่อแม่ถูกผู้อื่นจับกุมตัวไป เกิดเหตุร้ายต่อผู้คนที่อยู่รอบกาย ทำให้จิตใจของหลัวซิวยิ่งอยากแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากหลุดพ้นจากสมญานามตัวน้อยนี้มาก ๆ
ราวกับสามารถรับรู้ความคิดในจิตใจหลัวซิวได้ยังไงอย่างนั้น น้ำเสียงของตัวมรณามีความทะเล้นปนอยู่เล็กน้อย “เจ้าจะหลุดพ้นจากคำนำหน้าตัวน้อยของผู้สืบทอด ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถบรรลุถึงแดนมกุฎเทพ”
“ศักยภาพระดับมกุฎเทพไม่ได้หรือ?”หลัวซิวใช้มือลูบ ๆ จมูก
“ในจักรวาลนี้เป็นเพียงมกุฎเทพกระจอก ๆ แล้วทำอะไรได้? อย่าว่าแต่แปดโลกมหาพิภพเลย มาตรแม้นว่าอยู่ในมหาโลกพันสามก็มีมกุฎเทพเกลื่อนกลาด แค่สายฟ้าธรรมดาที่ผ่าลงจากฟ้า ผ่าตายสิบคน อย่างน้อยก็มีแปดคนที่เป็นมกุฎเทพ”
ลักษณะท่าทีของตัวมรณาดูถูกต่อคำถามนี้ของหลัวซิว
หลัวซิวกลอกตามองบน เขาค้นพบว่าไม่ว่าจะเป็นเทพแห่งวัฏจักรชีวิตก่อนกลายรูป หรือตัวมรณาในปัจจุบันที่กลายรูปไปแล้วก็ตาม ราวกับว่าพวกเขาคงอยู่เพื่อทำร้ายจิตใจตัวเองยังไงอย่างนั้น
“กำลังรบของแดนมกุฎเทพ เทียบทัดระดับกึ่งจักรพรรดิเทพ มีเพียงถึงวาระนั้น เจ้าถึงจะพอถือว่ามีต้นทุนในการยืนหยัดในดาราจักรวาล ถึงจะมีสิทธิ์หลุดพ้นจากสมญานามตัวน้อย ย่างกรายสู่พงไพรแห่งผู้แข็งแกร่งโดยแท้จริง”ตัวมรณากล่าวเช่นนี้
“หากเจ้าออกมาเพื่อพูดทำร้ายจิตใจข้าโดยเฉพาะละก็ เจ้ากลับไปเถอะ”หลัวซิวพูดอย่างปลง
“ผู้สืบทอดตัวน้อย……เนื่องจากปฏิบัติตามปณิธานของจ้าววัฏสงสารรุ่นแรก ข้าคงอยู่เพื่อช่วยจ้าววัฏสงสารปกครอง ต้องอยู่ภายใต้การชี้แนะของข้า เจ้าถึงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นภายในเวลาที่สั้นที่สุดได้ จนกระทั่งเจ้ายึดกุมวัฏสงสารโดยแท้จริง และกลายเป็นจ้าววัฏสงสาร”
“แม้เจ้า ณ บัดนี้จะเล็กและอ่อนแอมาก ทว่ากลับปฏิเสธไม่ได้ว่าศักยภาพของเจ้านั้นยิ่งใหญ่มาก ๆ ”ตัวมรณากล่าวคำชื่นชมหลัวซิวอย่างหาพบได้ยาก
“การฝึกยุทธ์นั้น ฝึกในตน ฝึกนอกฟ้าดิน ตัวเองเราก็คือวิญญาณ วิญญาณคือความคิด วิญญาณคือร่ายกายและจิตใจ ส่วนฟ้าดินนั้นเป็นตัวแทนของวิถีแห่งกฎ”
“เส้นทางแห่งวัฏสงสาร ฝึกกฎชั้นยอดทั้งสี่อย่างกฎเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลา การเวียนว่ายตายเกิดคือการหมุนเวียน ห้วงเวลาคือการวนกลับ ซึ่งทั้งปวงคือวัฏจักรการยึดกุมระเบียบฟ้าดิน คือขีดสุดของวิถีแห่งกฎ”
อ้างอิงจากวิธีพูดของตัวมรณา วิถีแห่งวัฏสงสารเป็นกฎที่แข็งแกร่งที่สุดในวิถีแห่งกฎ ส่วนวิถีแห่งวัฏสงสารที่สมบูรณ์แบบนั้น แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือพลังจุติมรณะ และยังมีอีกส่วนหนึ่งก็คือเคล็ดห้วงเวลาไร้สิ้นสุด
วรยุทธ์ทั้งสองนี้ก็คือวิถีแห่งวัฏสงสารฉบับสมบูรณ์ อันหนึ่งสอดคล้องกับการฝึกกฎการเวียนว่ายตายเกิด อีกอันหนึ่งสอดคล้องกับการฝึกกฎห้วงเวลา เมื่อทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งก็คือพลังวัฏสงสารสูงสุด
จ้าววัฏสงสารรุ่นแรกก็อาศัยพลังวัฏสงสารสูงสุดสร้างวัฏสงสารขึ้นมา ยึดกุมกฎระเบียบของจักรวาลฟ้าดิน
กระทั่งถึงยุคของจ้าววัฏสงสารรุ่นที่ 9 มีมหันตภัยปะทุ วัฏสงสารโบราณทลายสูญสิ้น ส่วนหนึ่งของวัฏสงสารกลายเป็นลูกแก้วความเป็นตาย และบรรจุการถ่ายทอดสืบสานส่วนหนึ่งของพลังวัฏสงสารสูงสุดเอาไว้ หรือพลังจุติมรณะที่หลัวซิวได้รับมานั่นเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกกฎการเวียนว่ายตายเกิดที่พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีระบบแล้ว การฝึกกฎห้วงเวลาของหลัวซิวนั้นสะเปะสะปะไม่เป็นระเบียบมาก ดูเหมือนจะฝึกห้วงเวลาถึงแดนขั้น 5 แล้ว ทว่าในความเป็นจริงการยึดกุมกฎห้วงเวลาของเขายังอยู่ในช่วงที่ตื้นมาก ๆ
หากจะปรับปรุงการฝึกกฎห้วงเวลาให้สมบูรณ์ ก็จำเป็นต้องตามหาเคล็ดวัฏสงสารไร้สิ้นสุดให้เจอ สุดท้ายค่อยรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน กลายเป็นพลังวัฏสงสารสูงสุด เลียนแบบจ้าววัฏสงสารรุ่นแรก สร้างวัฏสงสารขึ้นมาใหม่และยึดกุมกฎระเบียบฟ้าดิน