มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1645
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1645
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชายชราอย่างข้าถูกขังอยู่ที่นี่นานถึงเพียงใด? นับหมื่นปี! นับหมื่นปีเชียวหนา!……”
หยูจือโจวถอนหายใจออกมายาว ๆ “แม้ว่าจะเป็นมกุฎเทพ ตลอดชีวิตจะมีสักกี่หมื่นปีกันเชียว?”
“จนกระทั่งต่อมา ข้าได้รับมรดกจากที่แห่งนี้ ตอนนั้นเองที่รู้ว่าที่แห่งนี้เรียกว่าหุบเขาผนึกปีศาจ เป็นสถานที่ผู้มีอำนาจในสมัยโบราณใช้ปราบปรามมารชั่วร้าย และเหตุผลที่ข้าสามารถมาที่นี่ได้ เพราะข้ามีกุญแจของที่นี่”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หยูจือโจวก็หันไปมองหลัวซิวแวบหนึ่ง จากนั้นจึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “หลุมดำที่เจ้าเห็นนั้น หลุมดำปรากฏขึ้นเพราะข้าปรากฏตัวขึ้น หากข้าไม่เปิดมันออก ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้ ดังนั้นที่เจ้าสามารถเข้ามาที่แห่งนี้ได้ พูดไปแล้วก็ต้องขอบคุณข้าจึงจะถูก”
“แต่เมื่อเจ้าเข้ามามา กลับมาทุบตีข้าเสียอย่างนั้น!” หยูจือโจวคำรามเสียงตำในลำคอ เหลือบตามองบนใส่หลัวซิวไปครั้งหนึ่ง
“ข้าติดอยู่ที่นี่มากว่าสองเดือน เจ้ายังบอกว่าข้าควรจะขอบคุณอีกหรือ?” หลัวซิวมุ่ยปาก แสดงออกว่าไม่เห็นด้วย
“เจ้าหนูได้ประโยชน์จากที่แห่งนี้แล้วยังจะมาแสดงว่าเหมือนถูกเอาเปรียบอีก โอกาสและโชคลาภในที่แห่งนี้ หากไม่ใช่ว่าข้าค่อนข้างพึงพอใจในตัวเจ้า เจ้าจะไม่ได้รับมันเป็นแน่ รอให้เจ้าได้เห็นศิลาผนึกปีศาจเสียก่อน เจ้าก็จะได้รู้ว่าควรขอบคุณข้าแล้ว”
ระหว่างที่พูด หยูจือโจวก็พลันเร่งความเร็วขึ้น ไม่นานจากนั้น ก็เหมือนจะเห็นซากศิลาที่มีความสูงมากกว่าสองเมตรปรากฏขึ้นด้านหน้า
ศิลาหลักนี้ได้แตกหักไปแล้ว เมื่อดูจากจากร่องรอยแตกหัก ศิลาหลักนี้มีความสูงไม่ต่ำกว่าสิบจั้ง แต่ในวันนี้เหลือเพียงสองเมตรเท่านั้น
ศิลาแปลกประหลาด มีความผันผวนของเวลาหมุนเวียน ซึ่งสามารถย้อนไปได้มากกว่าหลายสิบล้านปี
ของโบราณเช่นนี้พบเจอได้ยาก ถึงอย่างไร ทุกสรรพสิ่งต่างไม่สามารถต้านทานการเสื่อมสลายจากวันเวลาได้
ด้านหน้าศิลามีรอยฝ่าเท้าชิ้นคู่หนึ่ง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อตัวสำนึกกวาดออกไป กลับไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
“เจ้าหนู นี่คือโชคลาภที่ชายชราอย่างข้านำมาให้เจ้า ตอนที่ข้าหนีออกไปจากที่แห่งนี้ได้ ยังเป็นผลการฝึกตนมกุฎเทพขั้นที่หนึ่ง พอออกจากนี้ไปก็เป็นมกุฎเทพขั้นห้าแล้ว!”
การแสดงออกของหยูจือโจวกลายเป็นเคร่งขรึม “เพียงแค่เท้าของเจ้าทาบลงให้ตรงกับรอยเท้านั้น เจ้าก็สามารถเข้าสู่ความเข้าใจของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมได้ เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าก็จะได้รับการสืบทอดและผลประโยชน์จากมัน”
ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดกันตามจริง เขาไม่ได้เชื่อใจหยูจือโจวมากนัก
เขาไม่รู้จักสถานที่นี้เลย ถ้านี่เป็นกับดักบางอย่าง เขาจะต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างแน่นอน
หยูจือโจวย่อมสามารถมองออกถึงความกังวลใจของหลัวซิว พูดอย่างไม่เห็นด้วย “หากเจ้ารู้สึกว่าข้ากำลังทำร้ายเจ้า เจ้าจะไม่เชื่อหรือไม่ลองทำดูก็ย่อมได้ เหตุผลที่ข้าเต็มใจบอกเจ้า นั่นก็เพราะเจ้าข้าคนของตระกูลจู้ ศัตรูของศัตรูคือมิตร ข้าถูกตามล่ามามากกว่าแสนปี อยู่ตัวคนเดียวมันโดดเดี่ยวเกินไป ไม่อยากให้เจ้าถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น”
“ข้าเชื่อเพียงตัวข้าเอง”
หลัวซิวยังคงไม่ลังเล เขาส่ายหัวอย่างเด็ดเดี่ยว
ประโยคง่าย ๆ แต่กลับแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของเขาเอง และเขาไม่เชื่อในหยูจือโจว
บางทีหยูจือโจวยากจะให้โอกาสแก่เขาจริง ๆ แต่ด้วยความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดเดาได้ หลัวซิวไม่ยินยอมที่จะไปทำ ยิ่งกว่านั้นเขายังมีการสืบทอดและความโชคดีของเขาเองอีกด้วย จะมีการสืบทอดอื่นใดสามารถเทียบเท่ากับพลังจุติมรณะได้ จะมีโอกาสอื่นใดสามารถเทียบเท่าตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตาย?
หลัวซิวสามารถอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเขาระมัดระวังและรอบคอบมาก เขาจะไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ
“ฮ่า ๆ พูดได้ดี แม้ว่าจะรู้สึกไม่ดีเท่าไรที่ถูกคนอื่นไม่เชื่อใจ แต่ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้าอย่างมาก!”