มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1346
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1346
ดูจากอายุกระดูกเขาน่าจะมีอายุประมาณ 60 กว่า เมื่อมองในมุมสำนักหยินหยางศิษย์ที่ค่อนข้างดีเด่นล้วนสามารถบรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ได้ แต่เขากลับเป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7
“ผู้น้อยหลัวซิวขอรับ”หลัวซิวก้าวเดินขึ้นไป คารวะผู้อาวุโสชุดคลุมหยินหยางที่เป็นผู้ควบคุมการประเมินผล
ผู้อาวุโสพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “อิงตามกฎเกณฑ์ หากไม่สามารถอดทนอยู่ภายในค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุของข้าได้สิบลมหายใจ ก็จะถูกยึดบัญชาหยินหยาง เพิกถอนสิทธิ์ในการฝึกปรือในฐานหยินหยาง อีกทั้งในระหว่างการประเมินผล เจ้าโคจรได้เพียงกฎเบญจธาตุเท่านั้น”
เขาไม่ทราบว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ไปได้บัญชาหยินหยางมาจากที่ใด ผลการฝึกตนอยู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ไม่ว่า แต่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าบนตัวเขาก็ไม่มีคลื่นกฎเบญจธาตุเช่นกัน
“ผู้น้อยทราบแล้วขอรับ”หลัวซิวตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
“เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ”
ผู้อาวุโสชุดคลุมหยินหยางค่อย ๆ ยกมือขึ้นมา ค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมาทันที แผ่คลุมไปทางหลัวซิว
อย่างน้อยผู้อาวุโสคนนี้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพ ค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุที่เขาแสดงออกมานั้น ลึกลับและมหัศจรรย์กว่าที่หลัวซิวพบเจอในแดนเบญจธาตุมาก ๆ
พลานุภาพแรกเริ่มของค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุก็อยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปทุก ๆ สิบลมหายใจ พลานุภาพของมันก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ
ในความเป็นจริงค่ายกระบี่ระดับนี้ ยังไม่สามารถสร้างภัยคุกคามอะไรต่อหลัวซิวได้ แต่ทว่าการประเมินผลในครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่กฎเบญจธาตุ ในฐานะที่ผู้อาวุโสชุดคลุมหยินหยางเป็นผู้ประเมินผล จึงไม่มีทางอนุญาตให้ผู้ใดคดโกงอยู่แล้ว
ก็เหมือนดังนักยุทธ์กลั่นร่างฟ่านลี่ที่เพิ่งทดสอบไปเมื่อก่อนหน้านี้ ร่ายยุทธ์ร่างเนื้อของเขาที่อยู่ในค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุแทบจะไม่แสดงประสิทธิผลใด ๆ ออกมาเลย
“โครม!”
มีอัคคีเทพสีเขียวลุกโชนออกมาอยู่รอบกายหลัวซิว ก่อนที่มันจะต้านทานปราณกระบี่เบญจธาตุทั้ง 5 ที่ม้วนซัดเข้ามาอย่างดุดัน
“อัคคีเทพดั้งเดิม?”
เมื่อคนจำนวนไม่น้อยเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว แววตาของทุกคนก็ต่างเป็นประกายขึ้นมา สามารถเรียกอัคคีเทพดั้งเดิมออกมาได้ ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าระดับความสามารถของคนดังกล่าวที่มีต่อกฎเพลิงอัคคีอยู่ไม่ต่ำกว่าระดับเทพมาร
“ก็ไม่ทราบเช่นกันว่ากฎสี่ประเภทที่เหลือของเขาบรรลุถึงแดนใดกันแล้ว?”สีหน้าของคนจำนวนมากต่างดูสงสัยมาก
สีหน้าของหนุ่มชุดทองที่แซ่หวังผู้นั้นดูหม่นหมองเล็กน้อย เขาเป็นอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ฝึกกฎเบญจธาตุบรรลุถึงระดับเทพมาร แต่บัดนี้กลับมีชายหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรมีศักยภาพเทียบเท่ากับตน นี่จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เขาหันไปมองสวีชิงซานที่อยู่ข้าง ๆ รอบหนึ่ง“นี่คือคนต่ำต้อยไร้ชื่อที่เจ้าหมายถึงหรือ?”
สีหน้าของสวีชิงซานดูอึดอัดเล็กน้อย เมื่อครู่เขายังหยอกล้อฝ่ายตรงข้ามอยู่เลยว่าคงอดทนได้ไม่ถึงสิบลมหายใจหรอก แต่ทว่าแค่อาศัยอัคคีเทพดั้งเดิมนี้ การอดทนอยู่ในค่ายกระบี่เป็นเวลาสิบลมหายใจนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย
“ศิษย์พี่หวัง มันก็แค่มีกฎธาตุไฟที่บรรลุถึงระดับเทพมารเท่านั้นแหละ การวัดผลประเมินในครั้งนี้คือกฎเบญจธาตุ ใช่ว่าแดนอีกสี่กฎที่เหลือของมันจะบรรลุถึงระดับเทพมารเสมอไป”สวีชิงซานกัดฟันพลางตอบกลับ
ระยะเวลาสิบลมหายใจผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลัวซิวยืนอยู่ตรงกลางค่ายกระบี่มาโดยตลอด แค่อาศัยอัคคีเทพชิงเทียน ก็ต้านทานการโจมตีทั้งหมดของค่ายกระบี่เอาไว้ได้แล้ว
เวลาสิบลมหายใจผ่านไป พลานุภาพจองค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุจึงเพิ่มขึ้นกะทันหัน บรรลุถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูง
อย่างไรก็ตามก็หลัวซิวยังคงต้านทานได้อย่างสบายมือ จนกระทั่งหลังจากที่พลานุภาพของค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุยกระดับถึงระกับเทพมารแล้ว การอาศัยอัคคีเทพชิงเทียนเพียงอย่างเดียว จึงเริ่มค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงความกดดัน
ถึงแม้การประเมินในครั้งนี้จะจบลง แต่ผลการประเมินของหลัวซิวก็ยังดีกว่าผู้ร่วมการประเมินจำนวนมากอยู่ แต่ถ้าหากให้เปรียบเทียบกับศิษย์สนิทของผู้อาวุโสแล้ว เขาก็ยังต่างจากคนเหล่านั้นอยู่เล็กน้อย
ในช่วงเวลาที่ต้านทานการโจมตีจากค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุ สายตาและตัวสำนึกของหลัวซิวก็ไล่จับการโคจรและร่องรอยของค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุมาโดยตลอด เพื่อตระหนักรู้การควบคุมและวิธีการใช้สอยค่ายกระบี่มหาเบญจธาตุของผู้อาวุโสชุดคลุมหยินหยาง