มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1205
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1205
หลังจากที่ผ่านไปพักหนึ่ง ชายชราผู้นั้นก็บินกลับมาด้วยสภาพที่ทรงผมกระเซอะกระเซิง ตกอยู่ในสภาพหน้าแตกเก้ ๆ กัง ๆ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อยเลย
“ตอนนี้มึงอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดมึงถึงทำลายกฎเกณฑ์ในสถานประลองยุทธ์ของกู”
เจ้าเมืองตงฟางมองเขาด้วยสายตาที่เรียบนิ่งรอบหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยปากสอบถาม
และในตอนนี้เอง ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากแท่นประลอง หลัวซิวกลั่นแปรเทียนหวูเชวที่อยู่ในเตาเทพจนสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว ร่างตายวิญญาณดับสูญ
“หวูเชว!”
ผู้อาวุโสไท่ซ่างในสำนักไร้เจตสิกคนนั้นเบิกตากว้างจนดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ตะโกนเสียงดังลั่น ก่อนที่จะกระโจนเข้าไปหาหลัวซิวอย่างบ้าคลั่ง
“โอหัง!”
เจ้าเมืองตงฟางตวาดเสียงดัง เห็นเพียงแขนเสื้อของเขาพลิ้วไหว ชี่จิ้งที่มโหฬารพันลึกจนมิอาจจินตนาการได้พรั่งพรูออกมา ทำให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างในสำนักไร้เจตสิกถูกซัดกระเด็นออกไปอีกครั้ง
“โครมม! ……”
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าของเมืองแก้วเทวมีเมฆครึ้มปกคลุมอย่างหนาแน่น สายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าสลับกันไปมาอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและจิตที่อาฆาตแค้นดังมาจากกลางอากาศที่ว่างเปล่า
“ผู้ใด?! ผู้ใดฆ่าหวูเชวศิษย์ของข้า?”
กลางอากาศที่ว่างเปล่าถูกฉีกออกเป็นรอยร้าวหนึ่งรอย ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองคนหนึ่งเดินออกมาจากรอยร้าวดังกล่าว จิตที่จะฆ่าเข้มข้นดั่งน้ำเชี่ยวกราก ปกคลุมทั่วทั้งเมืองแห่งแก้วเทวไปในชั่วพริบตาเดียว
“หึ จ้าวนภาไร้เจตสิกสง่าน่าเกรงขามมากเชียวนะ!”เจ้าเมืองตงฟางทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น เงาร่างของเขาลอยขึ้นฟ้าพลางแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “เมืองแห่งแก้วเทวมิใช่ที่ที่เจ้าจะมาพาลเกเรได้”
“ฮ่าฮ่า ข้าก็ว่าเหตุใดเทพฟ้าในสำนักไร้เจตสิกของเจ้าต้องทำลายกฎเกณฑ์ในสถานประลองยุทธ์ของข้า ที่แท้ก็เป็นเพราะผู้น้อยเทียนหวูเชวนั่นถูกคนอื่นฆ่าไปแล้วนี่เอง”
บัดนี้เจ้าเมืองตงฟางถึงจะทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ เขามองมาทางหลัวซิวที่ยืนอยู่บนแท่นประลองรอบหนึ่ง แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะดังลั่น“ฆ่าได้ดีมาก ฆ่าได้ดีเยี่ยมจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ ก็แค่ร่างแด่เทพเจ้าหนึ่งเองมิใช่หรือ?”
ภายในเมืองแก้วเทวก็มีศิษย์และผู้อาวุโสในสำนักไร้เจตสิกอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เมื่อได้ยินเช่นนี้ทำให้สีหน้าของพวกเขาต่างดูอับอายมาก
โดยเฉพาะจ้าวนภาไร้เจตสิกนั่นที่กำลังลอยอยู่กลางนภา สีหน้าของเขายิ่งหม่นหมองถึงขั้นสุด
ซุ๋นซินเหลียนและซุ๋นหวู่หยาก็ต่างปรากฏอยู่บนแท่นประลองเช่นกัน คอยคุ้มกันอยู่ข้างหน้าหลัวซิว
ซุ๋นหวู่หยามองหลัวซิวด้วยสายตาที่ซับซ้อนรอบหนึ่ง เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าศักยภาพของหลัวซิวจะแข็งแกร่งเช่นนี้ กำจัดเทียนหวูเชวท่ามกลางสายตาที่มากมายของผู้คนด้วยลักษณะท่าทางที่อยู่เหนือกว่ามาก ๆ
ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ในนามของหลัวซิว แต่ตนกลับไม่ค่อยเข้าใจศักยภาพของลูกศิษย์คนนี้เลย จึงรู้สึกแย่จริง ๆ
“มีเจ้าเมืองตงฟางอยู่ด้วย ไม่มีใครสามารถทำร้ายเจ้าได้แน่นอน”ซุ๋นซินเหลียนอมยิ้มพลางกวาดตามองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า“เจ้าไม่เลวเลยนี่ ถึงกับสามารถกำจัดเทียนหวูเชวได้จริง ๆ”
ชื่อเสียงอัจฉริยะอันดับ 1 ของเทียนหวูเชวไม่ใช่ได้มาอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารรุ่นผู้อาวุโส ก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเสมอไป ถึงแม้จะมีผลการฝึกตนอย่างซุ๋นซินเหลียนและซุ๋นหวู่หยา มากสุดพวกเขาก็แค่สามารถเอาชนะ กลับไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถสังหารเทียนหวูเชวได้
แต่ทว่าหลัวซิวกลับทำเช่นนี้ได้ ศักยภาพของเขาสามารถเทียบเคียงกับเทพมารช่วงกลางเป็นต้นไปได้แล้ว
“แฮะแฮะ ทีนี้มีอะไรสนุก ๆ ให้ดูแล้ว เล่ากันว่าเจ้านภาแห่งเมืองแก้วเทวและจ้าวนภาไร้เจตสิกไม่ถูกกันมาก ๆ”ซุ๋นซินเหลียนยิ้มอ่อน สิ่งเดียวที่นางกลัวมีเพียงเรื่องไม่บานปลาย
หลัวซิวกลอกตามองบนอย่างรู้สึกเอือมเล็กน้อย เมื่อกี้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรจ้าวนภาไร้เจตสิกก็ย่างกรายมาถึงแล้ว จากศักยภาพของเขาในตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้านภา เขาคงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน
ส่วนซุ๋นซินเหลียนถึงแม้นางจะฝึกตนมานานหลายหมื่นปี แต่อุปนิสัยของนางยังคงเหมือนหญิงสาวซุกซนที่เดาอุปนิสัยนางไม่ถูก
หลัวซิวแหงนหน้ามองท้องฟ้า จากความสามารถในการประเมินสถานการณ์ของเขา ต้องดูออกเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นเจ้านภาตงฟางหรือจ้าวนภาไร้เจตสิก ต่างไม่ได้มาเยือนด้วยร่างแท้ แต่เป็นร่างแยกร่างหนึ่ง