มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1153
แม้หลัวซิวจะมีความทรงจำจากชาติก่อน ทราบพลังอมตะทั้ง 36 พลังของตระกูลหลี่ในโลกจักรภพ ภายในนั้นพลังที่เกี่ยวเนื่องไปถึงพลังอมตะของกฎชั้นยอดก็มีแค่สองพลังเท่านั้น ต่างเป็นกฎที่เกี่ยวข้องกับกฎปริภูมิพลังอมตะที่เกี่ยวกับกฎการเวียนว่ายตายเกิด จวบจนบัดนี้หลัวซิวแค่เคยสัมผัสกับพลังดังกล่าวแค่หนึ่งพลังเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือตราธรรมจุติมรณะ
ในส่วนของพลังอมตะของกฏเวลานั้น หลัวซิวกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
พลังอมตะส่วนมากล้วนเป็นพื้นฐานของกฎหลักทั้ง 9 เป็นทำนองเดียวกันกับอัสนีวาย หยินหยาง พลังอลวน พลังอมตะที่เกิดจากการรวมตัวกันของกฎทั้งห้านี้มีจำกัดมาก ๆ
พลังอมตะหายาก แต่หลัวซิวกลับไม่ขาดแคลนวรยุทธ์
“บำเพ็ญพลิกทมิฬ?”
จากการใช้เทพแห่งวัฏจักรชีวิต หลัวซิวได้รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกันอย่างรวดเร็ว
บำเพ็ญพลิกทมิฬ เป็นวรยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับผู้ที่ฝึกกฎความตายเพียงกฎเดียว วรยุทธ์นี้แบ่งออกเป็น 9 ขั้น ขอเพียงฝึกขั้นแรกให้สำเร็จ ก็จะสามารถกลายเป็นเทพมาร หากฝึกตนจนบรรลุถึงแดนสมบูรณ์ ก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารขั้นสูง
เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านผลการฝึกตนของตัวเอง หลัวซิวก็ได้รับแค่ขั้นแรกของวรยุทธ์นี้ เห็นได้เลยว่าระดับของวรยุทธ์นี้สามารถเทียบทัดกับวิชาบรรพเทพโลหิตได้เลย
หลัวซิวอยากถ่ายทอดวรยุทธ์นี้ให้แก่เสี่ยวเจียงหมิง แต่เมื่อลองคิดดูอีกที หากถูกซุ๋นซินเหลียนค้นพบละก็ นางต้องไต่ถามถึงที่มาที่ไปของวรยุทธ์นี้แน่นอน จากโลกทรรศและประสบการณ์ของผู้แข็งแกร่งเทพมาร ต้องพบความไม่ธรรมดาของบำเพ็ญพลิกทมิฬแน่นอน
นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกลำบากใจอยู่เล็กน้อย ถ้าจะให้เขามองดูพรสวรรค์ของเสี่ยวเจียงหมิงถูกกลบกลืนไปต่อหน้าต่อตา เขาต้องรู้สึกไม่สบายใจแน่นอน
หลังจากที่ผ่านไปสักพัก เขาก็จูงมือเสี่ยวเจียงหมิงไปถึงสำนักบนเขาทิพย์ เข้าพบซุ๋นซินเหลียน
“กราบคารวะผู้อาวุโสขอรับ”เสี่ยวเจียงหมิงเดินขึ้นไปทำท่าคารวะ
เสี่ยวเจียงหมิงก็ทำท่าคารวะได้เข้าท่ามาก พร้อมกับขานเรียกอาจารย์
“มิต้องพิธีรีตองมากหรอก”ซุ๋นซินเหลียนอมยิ้ม สายตาหยุดอยู่ที่ตัวเสี่ยวเจียงหมิง ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยความรักใคร่เอ็นดู“มานั่งข้างอาจารย์นี่สิ”
“ไม่ขอรับ ข้าอยากอยู่กับพี่ใหญ่”เสี่ยวเจียงหมิงส่ายหน้าอย่างไม่สมัครใจ จับชายเสื้อหลัวซิวไว้แน่น ๆ ไม่กล้าปล่อย
ซุ๋นซินเหลียนรู้สึกตะลึงเล็กน้อย นางรีบยิ้มขมขื่น และนางก็รู้อยู่เช่นกันว่าเด็กคนนี้เคยผ่านความเป็นความตายมาก่อน มีจิตใจที่ระแวดระวังต่อคนรอบข้าง มีเพียงหลัวซิวผู้เดียวเท่านั้นที่เขาไม่รู้สึกเช่นนั้น
“ผู้อาวุโส มีเรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าผู้น้อยควรกล่าวหรือไม่”หลัวซิวเอ่ยปากพูด
“เจ้าว่ามา”ซุ๋นซินเหลียนพยักหน้า
“ผู้น้อยพบว่าฐานกายของเสี่ยวเจียงหมิงเหมาะกับการฝึกกฎความตายมากกว่า ส่วนวรยุทธ์ที่ผู้อาวุโสถ่ายทอดให้เขากลับเป็นการฝึกปราณแท้ธาตุลม ภายหน้าคงทำได้เพียงเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกกฎธาตุลม”
หลัวซิวพูดตรงไปตรงมา: “หากเป็นเช่นนี้ละก็ พรสวรรค์ที่แท้จริงของเสี่ยวเจียงหมิงก็จะถูกกลบกลืน มาตรแม้นจะอาศัยสติปัญญาที่ดีเลิศก็สามารถฝึกกฎธาตุลมให้สูงถึงแดนที่แน่นอน แต่ท้ายที่สุดแล้วผลสำเร็จจะมีขีดจำกัดมาก ๆ”
เมื่อได้ยินหลัวซิวพูดเช่นนี้ ซุ๋นซินเหลียนจึงตอบกลับอย่างลำบากใจว่า“ข้าก็รู้อยู่ว่าเสี่ยวเจียงหมิงเหมาะกับการฝึกกฎความตายมากกว่า แต่ภายในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินไม่มีวรยุทธ์ที่ใช้ฝึกกฎความตาย ถึงมีระดับของวรยุทธ์ก็ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนด้วย ยากที่จะฝึกไปถึงแดนที่สูงลึกได้”
“ภายในโลกเสวียนเทียน มีเพียงสำนักเทียนช่าเท่านั้นที่มีการสืบสานกฎความตายที่สมบูรณ์แบบ แต่ทว่าเสี่ยวเจียงหมิงยังเด็กเกินไป ยังสัมผัสใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ จากการล่มสลายของสำนักเทียนช่า การสืบสานกฎความตายก็แทบจะถือว่าถูกตัดขาดแล้ว”ซุ๋นซินเหลียนตอบกลับ
เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีตที่สำนักเทียนช่าล่มสลาย หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ว่าร่างของเสี่ยวเจียงหมิงที่ยืนอยู่ข้างกายตนสั่นเทาเล็กน้อย เขาไม่ได้รู้สึกกลัว แต่รู้สึกอาฆาต!
หลัวซิวลูบศีรษะเขา ปลอบโยนความรู้สึกของเสี่ยวเจียงหมิง