มหายุทธ์ สะท้านภพ - บทที่ 1142
หลังจากที่ผ่านไปสักพัก ระฆังอลวนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หลัวซิวฟาดฟอกลงบนระฆังอย่างเต็มแรง ทำให้เสียงดังกึกก้องไปทั่ว คลื่นเสียงมโหฬารพันลึก ทำให้เขาทิพย์ที่อยู่ห่างออกไปไกลสั่นสะเทือนจนแตกละเอียด โชคดีที่ไม่มีคนไปเปิดถ้ำฝึกตนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น จึงไม่มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ
หลิงเฟิงกระอักเลือดเฮือกใหญ่ ระฆังอลวนถูกฟาดจนกระเด็นออกไป เสียงกวง ๆ ดังสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างเขาเซถอยกลับ ใบหน้าขาวเผือก จะล้มมิล้มแหล่
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง?……”
หลิงเฟิงทำสีหน้าเหลือเชื่อพลางพูดพึมพำ: “เจ้าก็เป็นแค่ศิษย์ในสำนักกระจอก ๆ คนหนึ่งเท่านั้นแหละ ส่วนข้านั้นเป็นศิษย์สนิทใหญ่ของผู้อาวุโสเทพมาร ต่อให้เป็นศึกการต่อสู้ที่อยู่ในแดนเดียวกัน ผลการฝึกตนของตัวข้าเองคือมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 สามารถใช้วิสัยทัศน์ของแดนสูงมองต่ำลงไปที่แดนต่ำได้อย่างชัดแจ้ง ข้าจะมีทางพ่ายแพ้ให้กับเจ้าได้อย่างไร?”
สภาพในตอนนี้ของหลิงเฟิงเหมือนคนบ้าคลั่ง ราวกับไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงนี้ได้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงเถือก ออร่าที่อยู่บนตัวค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้น ปลดผนึกเคล็ดวิชาที่กดอัดผลการฝึกตนของตน
ชั่วพริบตาเดียว ผลการฝึกตนของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 อีกครั้ง บาดแผลที่อยู่บนตัวก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไปตายซะ!”
เขาตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว อนุภาคของระฆังอลวนถูกเขากระตุ้นอีกครั้ง ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า มีพลังมากพอที่จะสังหารเทพมารองค์หนึ่งแล้ว!
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป นึกไม่ถึงเลยว่าหลิงเฟิงนี่จะแพ้ไม่เป็นมากขนาดนี้ สู้กันโดยที่ผลการฝึกตนอยู่แดนเดียวกัน สุดท้ายเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน จึงจะใช้ผลการฝึกตนของมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 มาสังหารตัวเอง
“ในเมื่อเจ้าอยากตาย เดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าสมความปรารถนาเอง!”
หลัวซิวก็มีจิตใจที่อยากจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามบีบคั้นเขาเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงต้องออมมือ?
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะกระตุ้นพลังแปรเสวียนเทียนเพื่อพลิกสถานการณ์ฆ่าหลิงเฟิงอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงตวาดดังลั่นลงมาจากฟ้า
“หยุด!”
เสียงตวาดดังกล่าวเหมือนดั่งคำเตือนของเทพเจ้าฟ้าดิน กลางอากาศว่างเปล่าที่อยู่เหนือศีรษะทั้งสองฉีกขาด มีมือใหญ่ยื่นออกมา นิ้วหนึ่งจิ้มลงบนระฆังอลวน ระฆังเซียนลูกนี้ก็เริ่มหมุนติ้วแล้วค่อย ๆ หดเล็กลง บินกลับไปที่ตัวหยั่งรู้ตรงกลางหว่างคิ้วของหลิงเฟิง
“หลิงเฟิง เจ้าทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังมาก”
มือใหญ่ดังกล่าวแปรปรวนพรวดพราด กลายร่างเป็นชายหนุ่มที่ดูสุภาพเรียบร้อยคนหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วเหมือนกับซุ๋นหวู่หยาทุกประการ
“อาจารย์……”สีหน้าหลิงเฟิงก็ผงะไปเช่นกัน ระฆังอลวนถูกกำลังบังคับให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม สภาพจิตใจของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง บนใบหน้ามีรังสีแห่งความละอาย
“ขอโทษขอรับอาจารย์ ลูกศิษย์สำนึกผิดแล้ว”หลิงเฟิงก้มหน้าพลางคุกเข่าลงอย่างละอาย
“เจ้ายังรู้จักสำนึกผิด จึงยังไม่ถึงขั้นที่เกินกว่าจะเยียวยา แพ้ให้กับแดนเดียวกันแล้วอย่างไร? ควรรับรู้ถึงความผิดของตนแล้วปรับตัวให้กล้าหาญขึ้น ตั้งใจบําเพ็ญตบะให้มากกว่าเดิม แต่เจ้ากลับมีจิตใจที่อาฆาตเคียดแค้น จิตใจที่คับแคบเช่นนี้ ต่อไปจะมีผลสำเร็จได้อย่างไร?”
“ลูกศิษย์จดจำคำสั่งสอนของอาจารย์แล้วขอรับ!”
“เจ้าจำไว้น่ะดีที่สุดแล้ว อาจารย์จะลงโทษเจ้าโดยการนั่งฌานที่เขาพระแสงเป็นเวลาสามปี เจ้าพอใจหรือไม่”
“ลูกศิษย์ไม่กล้าไม่พอใจขอรับ!”
หลิงเฟิงลุกขึ้นยืน นำสายตามองไปทางหลัวซิว“สามปีภายหน้า ข้าจะกลับมาตามล้างแค้นกับเจ้าอีกหน!”
หลัวซิวนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขาไม่มีความรู้สึกดี ๆ อะไรที่จะพูดกับหลิงเฟิงคนนี้เลยด้วยซ้ำ ในส่วนของเรื่องที่ว่าเขาจะกลับมาประลองกับตนในอีกสามปีภายหน้านั้น ถึงครานั้นความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนมีแต่จะต่างกันมากยิ่งขึ้น!
หลิงเฟิงคารวะอาจารย์ตนอีกครั้ง ก่อนจะรีบบินกลับไปยังเขาพระแสง ให้คำมั่นสัญญาว่าสามปีนี้จะตั้งใจฝึกตนอย่างสุดความสามารถ ถึงครานั้นค่อยกลับมาเอาชนะหลัวซิวโดยที่ผลการฝึกตนอยู่ในแดนเดียวกัน
อย่างไรก็ตามเขากลับไม่รู้เลยว่าสำหรับหลัวซิวแล้ว เขาไม่เคยมองว่าหลิงเฟิงเป็นผู้ที่มีสิทธิ์เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลยด้วยซ้ำ
ซุ๋นหวู่หยาค่อย ๆ หันกลับมา สายตาหยุดอยู่ที่ตัวหลัวซิว“ผู้น้อย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“กราบคารวะผู้อาวุโสหวู่หยา”หลัวซิวประสานมือทั้งสองข้างแล้วทำท่าคารวะ