มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 157 ทางเข้าเมืองหลวง!
เทียบอันดับสวรรค์จัดว่าเป็นงานใหญ่ของเขตแดนใต้ มันไม่ใช่เพียงหกมหาอำนาจที่เข้าร่วมยังมีตระกูลน้อยใหญ่อีกมากมาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้คนมากมายได้หลั่งไหลกันเข้ามาเมืองหลวงราวกับคลื่นในมหาสมุทร นอกจากผู้ใช้พลังปราณ ยังมีกลุ่มของทหารรักษาการณ์ ชุดเงินเดินทั่วถนนตลอดครึ่งชั่วยาม แววตาของพวกผู้ใช้พลังปราณเผยความหวาดกลัวออกมาเมื่อเห็นทหารเหล่านั้น เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มทหารมีเป็นยอดฝีมือขั้นปราณราชันและขั้นปราณสวรรค์
ในช่วงเดือนนี้พวกทหารจะมีอานาจกระทําก่อนสอบถาม กล่าวคือหากมีผู้ใช้พลังปราณคนใดกล้าสร้างปัญหาในเมืองหลวง เช่นนั้นทหารจะจัดการก่อนรายงานแก่คนระดับสูง
มันไม่ใช่ว่าจักรวรรดิตฉินกระทําเอาแต่ใจ แต่มันได้รับการยอมรับจากทั้งหกมหาอำนาจแล้ว เพราะถ้าพวกเขาไม่กระทําเช่นนี้ ปัญหามากมายก็จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย
ภายใต้กฎการควบคุมเช่นนี้ ต่อให้คนในเมืองจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ปัญหาก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้
ตรงหน้าทางเข้าเมืองหลวงมีเสาวัดพลังปราณตั้งอยู่ เสานี้สูงสามเมตร กว้างหนึ่ง เมตร และมีผลึกติดอยู่ที่ครึ่งล่างของเสา ผลึกฝังลึกลงไปในเสาหินและมีมณีมากมายประดับรอบ
เสาพลังใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของผู้ใช้พลังปราณ เมื่อผู้ใช้พลังปราณโจมตีเสานี้ มณีบนเสาหินก็จะส่องแสงขึ้น ยิ่งมณีเหล่านั้นส่องแสงมากเท่าไหร่ มันก็หมายความว่าผู้โจมตีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ผู้ใช้พลังปราณที่มาวังหลวงมักจะไปวัดพลังของตนเองกันก่อน เพราะนั่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะมีชื่อเสียงได้
เวลานี้มีผู้ใช้พลังปราณมากมายมาอยู่ตรงหน้าทางเข้าวังหลวง เท่าที่เห็นมีมากกว่าหนึ่งหมื่นคน เวลานี้ไม่มีผู้ใดโจมตีเสาวัดพลัง แต่พวกเขากลับไปมองไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่แทน มันราวกับพวกเขากําลังรอบางสิ่ง
หกมหาอานาจถูกห้ามไม่ให้สร้างค่ายกลในเมืองหลวง ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างตรงนอกเมืองแทน
“ไอ้บัดซบคนไหนบอกว่าหกมหาอานาจจะมาวันนี้ พระอาทิตย์กําลังจะตกดินอยู่แล้ว เหตุใดข้ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา?” ชายหนุ่มท่าทางหยาบคายคนหนึ่งถ่มน้ําลายลงพื้นพร้อมเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“รออีกสักครู่ พวกเขาต้องมาเร็ว ๆ นี้แน่!” ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างชายกักขฬะ กล่าว
“ข้ารอตั้งแต่เช้าเพื่อมาดูว่าศิษย์ของหกมหาอานาจแข็งแกร่งเพียงใด หากพวกเขายังชักชําเช่นนี้ ข้าจะกลับไปยังหอเริงรมณ์เพื่อเสพสําราญแล้ว!” ชายกักขฬะสบถต่ออย่างไม่พอใจ
“ทุกคนที่มาที่นี่ก็มาเพื่อเป็นสักขีพยานในเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มรูปงามกล่าวต่อ “ว่ากันว่าศิษย์ของพวกเขามีแต่อัจฉริยะมากมาย แม้แต่ข้ายังต้องการเห็นอัจฉริยะตัวฉกาจเหล่านั้นเช่นกัน”
“อัจฉริยะตัวฉกาจ?” ท่าที่เย้ยหยันปรากฏผ่านมุมปากของชายกักขฬะ “ข้า เล่าหนี จะกระซากไส้ของพวกศิษย์ของสํานักต่าง ๆ พวกนี้เอง และจะแสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกฝนไร้สังกัดต่างหากที่เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง!”
ชายหนุ่มรูปงามยิ้มเมื่อได้ยินแต่ไม่กล่าวสิ่งใด
“เจ้าหน้าสวย แกไม่เชื่อข้างั้นหรือ?” ชายกักขฬะดูโมโหเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามยิ้มแต่ไม่กล่าวสิ่งใด
ชายหนุ่มรูปงามชี้ไปยังเสาวัดพลัง “พี่ชาย ท่านสามารถแสดงพลังของตนเองที่เสานั้นได้เลย ศิษย์ของทั้งหกมหาอานาจจะกระทําเช่นกันยามมาถึง เช่นนั้นพวกเราจะได้ทราบกันว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่ง ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
“ได้!?” ชายกักขฬะมองอย่างเย็นเยือกก่อนจะเดินไปที่เสาวัดพลัง
เขาสูดหายใจลึกพร้อมยื่นมือออกไปแนวตรง หลังจากนั้นยกมือขึ้นเป็นรูปทรงภูผาอย่างช้า ๆ ผ่านไปไม่นาน ชายกักขฬะคํารามดังลั่นก่อนจะใช้มือขวาตบไปที่เสาอย่างรวดเร็ว
“ฝ่ามือผ่าขุนเขา!” ฝ่ามือของเขาตบลงไปอย่างจังแต่เสาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อยจากนั้นมณีเจ็ดสิบเอ็ดชิ้นเปล่งแสงออกมา
ชายหนุ่มส่ายหัวเมื่อเห็นว่ามีหินมณีเปล่งแสงแค่เจ็ดสิบเอ็ดก้อน ชายกักขฬะอยู่ขั้นปราณสวรรค์ระดับเจ็ด ดังนั้นแสงจานวนนี้ถือว่ากาลังพอดีสําหรับผู้ฝึกฝนไร้สังกัด แต่เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับศิษย์ของสํานักต่าง ๆ เช่นนั้นชายกักขฬะแทบจะกล่าวว่าหาเรื่องดูถูกตนเอง
ผู้คนส่วนใหญ่แสดงความชื่นชม แต่บางคนก็แสดงท่าที่รังเกียจ มณีส่องแสงเจ็ดสิบเอ็ดก่อนนับว่าอยู่ระดับกลาง แต่เมื่อไหร่ที่ศิษย์ของสํานักมาถึง เจ็ดสิบเอ็ดก่อนจะถือว่าเป็นระดับต่ำ หรือเปรียบได้กับขยะ
ท่ามกลางฝูงชน สตรีเรือนร่างน่าดึงดูดและเร่าร้อนได้กล่าวดูหมิน “พี่ใหญ่ เขาทําให้หินส่องแสงได้แค่เจ็ดสิบเอ็ดก่อน แต่กลับกล้าโอ้อวดตนเองว่าเป็นอัจฉริยะ คนโง่เขลานช่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดจริง ๆ !”
“ชิงหง เจ้ากําลังเปรียบเปรียบเทียบกับน้องหยางงั้นหรือ?” ชายร่างกายก่ายยืนอยู่ข้างสตรีผู้นั้นกล่าวด้วยท่าทีปกติ “ทําไมเจ้าไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนธรรมดาเอาล่ะ? น้องหยางนั้นหาได้ธรรมดาไม่ เจ้าไม่ทราบหรือไง?”
สตรีผู้นั้นคือชิงหง และชายร่างกายกํายาที่ยืนข้างชิงหงก็คือหมานอนั่นเอง และชายหนุ่มที่ยืนเงียบสงบอยู่ก็คือเฉียวไห่
พวกเขาทั้งสามไม่คิดจะพลาดงานใหญ่โตครั้งนี้!
ชิงหงกัดเม้มริมฝีปากก่อนจะมองไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย “พี่ใหญ่ ท่านว่าหยางเย่จะมาหรือไม่?”
หมานจอยักไหล่ “ข้าจะทราบได้อย่างไร? แต่ข้าคิดว่าเขาคงไม่มาหรอก ถึงแม้น้องหยางเย่จะแข็งแกร่งมาก มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ ถึงแม้เขาต้องการเข้าร่วม สํานักดาบราชั้นก็คงไม่อนุญาตให้ร่วมหรอก เพราะหากไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอก็มีแต่เข้าไปตายเท่านั้น!”
“แต่ข้ารู้สึกว่าเขาจะมา!” ซึ่งหงกล่าวอย่างหนักแน่น
หมานซื้อส่ายหัว นางรู้สึกว่าเขาจะมา? ความรู้สึกนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า?” กล่าวคือเขาไม่ค่อยเชื่อในความรู้สึกเท่าไหร่
“พวกเขามาแล้ว พวกเขามาแล้ว น… นั่นคือศิษย์ของสํานักดาบราชัน สํานักดาบราชันมาถึงแล้ว!” ทันใดนั้นมีคนตะโกนดังขึ้น
สายตาทุกคู่มองไปตามเสียงที่ดังขึ้น ประกายแสงวูบขึ้นตรงค่ายกลเคลื่อนย้ายจากนั้นคนสิบคนได้ปรากฏตัวขึ้น
“นั่นไงหยางเย่ พี่ใหญ่ หยางเย่อยู่นั่น!” ทันทีที่ชิงหงเจอหยางเย่ ดวงตาอันงดงามของนางเต็มไปด้วยอาการตื่นเต้นและดีใจ
หมานจื้อยิ้มเมื่อเห็นหยางเย่ เขามีความประทับใจที่ดีกับหยางเย่ หรือกล่าวได้ว่าเขายอมรับว่าหยางเย่เป็นสหาย ดังนั้นจึงรู้สึกดีใจเช่นกันเมื่อเห็นสหาย
หยางเยู่ไม่ได้สังเกตเห็นซึ่งหง หมานจื้อ และเฉียวไห่ ปัจจุบันเขารู้สึกประหม่าเช่นกันกับคนที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งยังค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นผู้คนมากมาย
“ผู้อาวุโสบัญชาดาบ พวกเขามาเพื่อต้อนรับพวกเราหรือ?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม
คนอื่นก็มองไปที่อวี่เหิงเช่นกัน
อวี่เพิ่งยิ้มออกมาที่อ ๆ “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้นนะ เห็นเสาวัดพลังนั่นไหม? นั่นคือเสาวัดพลัง และมันใช้วัดพลังของผู้ฝึกฝนได้ พวกเขามาเพื่อดูว่าศิษย์ของสํานักนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นอย่าทําให้ข้าผิดหวัง จงทําให้แสงบนเสานั้นส่องขึ้นอย่างน้อยเก้าสิบก้อนเพื่อเป็นเกียรติแก่สํานักดาบราชัน!”
ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ยิน
“พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าศิษย์พี่หญิงซูทําได้เท่าไหร่เมื่อหลายปีก่อน?” ทันใดนั้น ชายข้างซูชิงฉือได้กล่าวขึ้น
สายตาทุกคู่มองไปยังซูชิงฉือ
ดวงตาหยางเย่เองก็แสดงถึงความสงสัยเช่นกัน ซูชิงฉือเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์เมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นผลของนางจะต้องยอดเยี่ยมแน่นอน
“เก้าสิบสาม!” ชายคนนั้นยิ้มพร้อมเอ่ย “พี่หญิงซูของพวกเจ้าทําให้แสงของมณีส่องสว่างได้ถึงเก้าสิบสามก้อน และยังครองอันดับสูงสุดเหนือสํานักภูตผีในเวลานั้น! บางที่พวกเจ้าอาจคิดว่าเก้าสิบสามก้อนนั้นไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าไหร่ แต่จะไม่คิดเช่นนั้นเมื่อได้ไปลองด้วยตนเอง”
“ของพวกโรงเรียนปราณได้เท่าไหร่ในตอนนั้น?” หยางเย่เอ่ยถามขึ้น
เมื่อโรงเรียนปราชญ์อยู่อันดับหนึ่งในเวลานั้น ศิษย์ของพวกเขาจะต้องทําได้มาก เช่นกัน เพราะเมื่อเข้าใจความแข็งแกร่งของโรงเรียนปราชญ์ หยางเย่จะสามารถประเมินความแข็งแกร่งของตนเองได้
คนอื่นก็เผยสายตาที่สงสัยเมื่อได้ยินหยางเย่ พวกเขาสงสัยว่าอัจฉริยะของมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างโรงเรียนปราชญ่นั้นจะทําได้เท่าไหร่!
ชายข้างซูชิงฉือเผยแววตาไม่พอใจเล็กน้อย เขาริเริ่มหัวข้อนี้เพื่อทําให้ซูชิงฉือรู้สึกดี แต่ศิษย์ตรงหน้าเขากลับตั้งค่าถามอื่นเพื่อทําให้ซูชิงฉืออับอาย
ขณะที่กําลังจะตําหนิหยางเย่ ซูชิงฉือได้กล่าวขึ้น “เก้าสิบเจ็ด มันคืออัจฉริยะของโรงเรียนปราชญ์ที่ทําได้มากที่สุดในเวลานั้น และเขายังอยู่อันดับหนึ่งของเทียบอันดับสวรรค์ด้วย ถึงแม้ตัวเลขจะต่างกันเพียงสี่ตัว แต่ความแข็งแกร่งระหว่างข้ากับเขานั้นห่างไกลมากมาย เพราะมันจะยากอย่างยิ่งเมื่อเลยตัวเลขเก้าสิบขึ้นไป พวกเจ้าทุกคนจะเข้าใจเองเมื่อได้ทดสอบ”
เมื่อเห็นซูชิงฉือกล่าวอธิบาย ประกายแห่งความประหลาดใจก็ปรากฏผ่านชายหนุ่มด้านข้าง เขามองไปที่ซูชิงฉือก่อนจะมองหยางเย่
มันห่างกันมากเพียงใดระหว่างเก้าสิบเจ็ดกับเก้าสิบสาม? พวกเขาจะเข้าใจด้วยตนเองเมื่อได้ลองวัดพลัง!
พวกเขาทุกคนได้มาถึงทางเข้าเมืองภายใต้การนําทางของอวี่เพิ่ง เขาหันมากวาดสายตามองทุกคนก่อนจะมองไปที่ซีตูหรง “ซีตูหรง เจ้าเริ่มทดสอบเป็นคนแรก!”
ซีตหรงเผยท่าที่ดีใจ ทั้งยังมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น ผู้อาวุโสบัญชาดาบบอกให้เขาเป็นคนแรก ดังนั้นจะไม่ให้เขาภูมิใจได้อย่างไร? มันราวกับว่าผู้อาวุโสบัญชาดาบคาดหวังกับเขาไว้สูง และเชื่อว่าเขาจะสามารถทําให้สํานักดาบเริ่มต้นได้ดีนับจากตรง