มรรคาสู่สวรรค์ - ตอนที่ 6 ไม่ว่าจะเป็นหมาดำหรือแมวขาว ขอเพียงดุพอก็เป็นหมาที่ดี (2)
จิ๋งจิ่วมั่นใจแล้วว่าเซียนไป๋เริ่นเป็นคนเล่นงานเขาจนตกลงมายังโลกมนุษย์ ข่ายพลังหมอกควันจางหายเองก็ต้องถูกศิษย์พี่วางกลอุบายอะไรกับมันเอาไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่กลอุบายนี้ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน อย่างเช่นเมื่อสี่ร้อยปีก่อน สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเขาไม่สามารถสังหารศิษย์พี่ในวัดกั่วเฉิงได้ หากในตอนนั้นเขาไม่สลบไป เขาจะต้องบอกฮ่องเต้ว่าไม่ต้องสนใจตนเอง ให้ไปสังหารศิษย์พี่ก่อนค่อยว่ากันอย่างแน่นอน
ต่อให้เป็นเรื่องที่ลับแค่ไหนก็ไม่มีทางปิดบังทุกคนบนโลกได้ หากให้สำนักฝ่ายธรรมะอย่างเรือนอี้เหมารู้ว่าศิษย์พี่หนีไปแล้ว จะต้องเกิดสงครามขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยสำนักจงโจวจะต้องฉวยโอกาสก่อเรื่องอย่างแน่นอน ในอดีตศิษย์พี่ได้ทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดบนแผ่นดินเฉาเทียนตั้งมากมายขนาดนั้น ไม่มีใครสามารถลืมได้
ตอนนี้พายุความวุ่นวายกำลังมาเยือนอีกครั้ง
หากเป็นแต่ก่อน จิ๋งจิ่วไม่มีทางกังวลใจ แต่ตอนนี้สภาวะของเขาอ่อนแอเกินไป
เขามองดูมือขวาของตัวเอง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
มือขวาของเขาบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง คล้ายกับต้นเหมยในกระถางที่ถูกเชือกมัดเอาไว้
หากเป็นดอกเหมยจริงๆ บางทีอาจจะหาความงดงามที่ดูแตกต่างออกไปจากในรูปทรงที่แปลกประหลาดได้ แต่นี่เป็นมือข้างหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญพรตนั้นปรารถนาสิ่งที่เป็นสุดยอด ดังนั้นในอดีตอาจารย์ของชิงซานจำนวนมากเมื่อได้เห็นจิ๋งจิ่ว จึงคิดว่าเขาจะต้องมีอนาคตยาวไกลอย่างแน่นอน เพราะใบหน้าเขาสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก
หากไม่สมบูรณ์แบบ อย่างนั้นก็ต้องมีปัญหา แล้วก็มิใช่ปัญหาง่ายๆ อย่างเช่นความน่าเกลียดด้วย
มือขวาของเขาคือคมกระบี่ที่แท้จริง หากไม่สามารถทำให้เป็นเหมือนเดิมได้ มันจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการต่อสู้ของเขาและการบำเพ็ญเพียรในอนาคตอย่างร้ายแรง
พักฟื้นอยู่ในยอดเขากระบี่มาครึ่งปี สถานการณ์ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ด้วยความเร็วเช่นนี้ หากเขาคิดอยากจะฟื้นฟูมือขวาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายพันปี
จิ๋งจิ่งรู้สึกกลุ้มใจ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นอารมณ์ที่พบเห็นได้น้อยมาก
แต่แน่นอน เดิมทีเขาก็ไม่ค่อยมีอารมณ์อะไรอยู่แล้ว
หากเป็นเมื่อก่อน แม้นจะเจอยอดฝีมือของสำนักฌานอย่างสมณะตู้ไห่นี้ เขาเพียงแค่ชี้นิ้วไปที่ศีรษะก็แทงอีกฝ่ายให้ตายได้แล้ว ไหนเลยจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้
เขาคิดถึงเรื่องที่เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยไล่ตามศิษย์พี่ ก่อนกล่าวถามว่า “ขลุ่ยกระดูกแท่งนั้นกระทั่งกระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยก็ฟันไม่เข้า?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ของข้าด้วย”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ไปยอดเขาซั่งเต๋อ”
……
……
ยอดเขาซั่งเต๋อหนาวเย็นเป็นอย่างมาก บนยอดเขาส่วนใหญ่เป็นไม้ที่ทนต่ออากาศหนาว ดูแล้วมิได้สวยงามอะไร ส่วนใหญ่ดูโดดเดี่ยวราบเรียบ มองนานเข้าก็มักจะรู้สึกเบื่อ
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ด้านล่างยอดเขา แต่ถึงกระนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงลมหนาวที่พัดลงมาจากเบื้องหน้า
ยอดเขาซั่งเต๋อเป็นสถานที่ที่เข้มงวดที่สุดในยอดเขาทั้งเก้า ศิษย์ทั่วไปห้ามมิให้เข้าออกตามอำเภอใจ
หากพวกเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตน พวกเขาก็ต้องหาทางให้ตัวเองเข้าไป
เจ้าล่าเยวี่ยนึกถึงนิสัยเย็นชาของท่านกฎแห่งกระบี่ขึ้นมา กล่าวว่า “ข้าให้หยวนฉวี่มาเปิดทางไหม?”
อาจารย์เรียกศิษย์มาทำเรื่องบางเรื่องให้ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างเช่นใช้เส้นสายอะไรทำนองนั้น
“ข้ารู้จักที่นี่ดีกว่าเขา”
จิ๋งจิ่วพาเจ้าล่าเยวี่ยเดินขึ้นไปในยอดเขา มิได้เดินตามทางขึ้นเขา หากแต่เดินเข้าไปในป่าสน
ลมหนาวพัดผ่านกิ่งไม้ ต้นสนไหวเอนเหมือนเกลียวคลื่น เขาคุ้นเคยกับที่นี่จริงอย่างที่ว่า เห็นๆ อยู่ว่าไม่มีทาง ทุกที่ที่อยู่เบื้องหน้าล้วนแต่เป็นต้นสนที่หนาทึบ แต่เขากลับหาทางเจอได้อย่างง่ายดาย ไม่นานก็มาถึงหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงเชิงเขาตะวันตก ก่อนจะเจอถ้ำแห่งหนึ่ง
อุณหภูมิที่นี่หนาวเย็นกว่าด้านล่างยอดเขา หากมิใช่ผู้บำเพ็ญพรต เกรงว่าคงต้องสวมเสื้อหลายชั้นถึงจะสามารถทนได้
เจ้าล่าเยวี่ยเดินตามเขาเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น ก่อนจะเห็นว่าด้านในไม่มีอะไร น่าจะถูกทิ้งร้างมานานหลายปี
ในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำมีผนังหินอยู่แถบหนึ่ง นางยื่นมือไปลูบ ก่อนจะพบว่าผิวผนังร้อนระอุเป็นอย่างมาก จึงรู้สึกค่อนข้างตกใจ ที่แท้ผนังนี้คือหยกเพลิง
บนกำแพงหินมีข่ายพลังปิดกั้น จิ๋งจิ่วสะบัดมือลบมันทิ้งไป ก่อนจะพานางเดินต่อเข้าไปด้านใน ทะลุซอกหินแคบๆ หลายแห่ง จากนั้นเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์ อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำ หนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ น้ำค้างแข็งที่อยู่บนผนังหินยิ่งจับตัวหนาขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็เดินมาถึงสุดทางในอุโมงค์ ตรงนั้นคือผาขาดแห่งหนึ่ง
ด้านหน้าหน้าผาคือหุบเหวลึก หรือพูดอีกอย่างก็คือโพรงขนาดใหญ่ที่ตรงลงไปยังใต้ดิน แสงอาทิตย์สาดลงมา ส่องสว่างพื้นโพรงที่อยู่ด้านล่าง
หมาสีดำตัวใหญ่ยักษ์ราวภูเขาตัวหนึ่งนอนนิ่งๆ อยู่ตรงพื้นโพรงด้านล่าง
แสงอาทิตย์ส่องประกายไปบนขนที่ดำสนิทบนตัวมัน ดูคล้ายผ้าแพรที่ล้ำค่าที่สุด
จิ๋งจิ่วพาเจ้าล่าเยวี่ยลอยลงไป
หมาดำลืมตาขึ้น ก้มลงมองดูพวกเขา สายตาเย็นยะเยือกและเฉยชา
“นางคือเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อเจ้าล่าเยวี่ย มันคือซือโก่ว”
จิ๋งจิ่วแนะนำตัวให้พวกเขา
หมาดำก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงการคารวะ
เจ้าล่าเยวี่ยคารวะอย่างจริงจัง
หมาดำหลับตาลงอีกครั้ง
จิ๋งจิ่วมองดูมันอยู่ครู่ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในคุกกระบี่
ภายในคุกกระบี่หนาวเย็นเป็นอย่างมาก อากาศเองก็แห้งเป็นอย่างมาก
ภายในห้องขังที่อยู่สองข้างทางของอุโมงค์มีพลังที่น่ากลัวเป็นอย่างมากแผ่ออกมา
นักโทษเหล่านี้บ้างก็เป็นปีศาจยักษ์ที่น่ากลัว บ้างก็เป็นยอดฝีมือของเผ่าหมิง บ้างก็เป็นผู้บำเพ็ญพรตวิถีมารที่สองมือเต็มไปด้วยเลือด ด้วยนิสัยของเจ้าล่าเยวี่ย นางน่าจะรู้สึกสงสัยในเรื่องราวในอดีตของนักโทษเหล่านี้ บางทีอาจจะมีโอกาสได้ลองทดสอบกระบี่ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไร นางไม่แม้กระทั่งเหลือบมองดูห้องขังเหล่านั้น
“คนที่ถูกขังอยู่ในห้องนี้คืออาจารย์อาไท่หลู เจ้าควรจะเรียกเขาว่าปรมาจารย์อา”
จิ๋งจิ่วเห็นว่าเจ้าล่าเยวี่ยมิได้ตอบสนอง จึงเหลียวหน้ามองไป พบว่านางกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างถึงขนาดเหม่อลอย
“ทำไมหรือ?”
“ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแต่พลันรู้สึกว่า ยอดเขาเสินม่อจะเลี้ยงหมาดีหรือไม่?”
เจ้าล่าเยวี่ยได้สติขึ้นมา มองเขาพลางกล่าวถามอย่างจริงจัง
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “หยวนฉีจิงไม่มีทางเห็นด้วย”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาอย่างแปลกใจ ใช้สองมือวาดความยาวออกมาพลางกล่าวว่า “ข้าหมายถึงเลี้ยงหมาตัวขนาดนี้”
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากเลี้ยงหมา?”
“ตอนนี้บนยอดเขามีลิง มีแมว มีจักจั่น อ้อใช่ แล้วก็ยังมีม้าที่ท่านพากลับมาตัวนั้น เลี้ยงหมาสักตัวจะเป็นอะไรไป?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ตอนพวกเราออกไปข้างนอก มันยังช่วยดูแลยอดเขาได้ จะไปหวังพึ่งแมวขี้เกียจตัวนั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ทำไมถึงอยากเลี้ยงหมา?”
“หมาซื่อสัตย์”
“ทำไม?”
“ท่านซือโก่วหล่อมาก”
ทั้งสองคนคุยเล่นกัน จนมาถึงโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของคุกกระบี่
พื้นโถงปูด้วยหิน รอบด้านมีโคมไฟ สว่างกว่าในส่วนอื่นของคุกกระบี่มากนัก แล้วก็อบอุ่นกว่าด้วย
ขวามือของทั้งสองคนมีอุโมงค์อยู่เส้นหนึ่ง ภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟทำให้เห็นว่าอุโมงค์เส้นนี้ตรงไปยังส่วนลึก ปลายทางนั้นมีห้องขังอยู่ห้องหนึ่ง
อุโมงค์และด้านนอกห้องขังห้องนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยเจตน์กระบี่ที่ทรงพลังที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
เมื่อรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่เหล่านั้น สีหน้าเจ้าล่าเยวี่ยพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะมองดูเขา
“นี่ล้วนแต่เป็นเจตน์กระบี่ของข้าในอดีต”
จิ๋งจิ่วพานางเดินตรงไปยังห้องขังที่อยู่ปลายอุโมงค์
เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขามาหาหลิ่วสือซุ่ย เขาเพียงแต่มองดูห้องขังนั้น มิได้เข้าไป
เพราะเขาไม่อยากมองเห็นภาพที่อยู่ในห้องขัง
ในเมื่อนี่เป็นเจตน์กระบี่ของเขา เช่นนั้นมันก็ย่อมต้องเปิดทางให้แก่เขา
ใช้เวลาไม่นาน เขากับเจ้าล่าเยวี่ยก็เดินมาถึงหน้าห้องขัง ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
การตกแต่งภายในห้องขังมีอย่างครบครัน มีเตียงมีโต๊ะ มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีสายน้ำเล็กๆ แล้วก็มีของวิเศษที่คอยฉายภาพท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว
ห้องขังภายในคุกกระบี่นั้นมีแบบนี้เพียงห้องเดียว
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูกระดูกสีขาวที่อยู่บนเตียง คาดเดาได้ว่าที่นี่น่าจะเคยขังใครเอาไว้
เพียงแต่นักพรตไท่ผิงเพิ่งจะหนีออกจากคุกไปได้สามสิบปี ทำไมถึงกลายเป็นกระดูกสีขาวแล้วล่ะ?
จิ๋งจิ่วเดินไปหน้าเตียง พบว่าแขนขวาของโครงกระดูกสีขาวนั้นหายไปตั้งแต่ตรงช่วงข้อศอก
“อย่างนี้นี่เอง”
ทั่วทั้งชิงซาน เขาและศิษย์พี่มีความเข้าใจต่อหลักการสรรพสิ่งล้วนคือกระบี่ลึกซึ้งที่สุด
ดังนั้นกระบี่เล่มนั้นจึงดูไม่เหมือนกระบี่ หากแต่เป็นขลุ่ย
จิ๋งจิ่วมองดูโครงกระดูกสีขาวนั้นเงียบๆ คล้ายมองเห็นภาพต่างๆ มากมาย
ภายในห้องขังที่ตัดขาดกับโลกภายนอกนี้ ศิษย์พี่ได้บำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ ใช้เวลาอันยาวนาน อดทนต่อความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด สุดท้ายบำเพ็ญเพียรจนแขนของตัวเองกลายเป็นกระบี่
จากนั้น เขาก็กระชากแขนขวาข้างนั้นออกมาจากร่างกาย
การที่เขาสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้มากเท่าไร ก็หมายความว่าการทรยศหักหลังของจิ๋งจิ่ว หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่เขามากเท่านั้น
ความเจ็บปวดเหล่านั้น ตอนนี้มาคิดดูแล้วคงจะเป็นความแค้นกระมัง?
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของจิ๋งจิ่ว สายตาเลื่อนจากแขนที่ขาดออกไปของโครงกระดูกมายังมือขวาที่บิดเบี้ยวของเขา ในใจครุ่นคิดว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริงๆ ด้วย